“วาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าพี่หนึ่งจะเป็นอย่างที่พี่วินพูดจริงๆ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ เลย”
แม้แต่ตอนที่ขับรถ วาสินียังไม่อาจจะขจัดความว้าวุ่นใจออกไปจากสมองของตัวเองได้เลย
ผู้ชายอบอุ่น ใจดีอย่างปรมะเนี่ยนะจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ไม่มีทางหรอก
วาสินียังคงถูกเรื่องราวของปรมะรบกวนหัวใจจนทำให้สมาธิในการขับรถลดน้อยลง จนในที่สุดก็ติดลบและเกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถยนต์หรูคันที่อยู่ข้างหน้าเข้าอย่างจัง
โครม!!!
“โธ่... ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วยนะ คนยิ่งรีบๆ อยู่”
แม้จะรีบแค่ไหน แต่การที่รถยนต์ของหล่อนไปชนท้ายเข้ากับรถยนต์คันหน้าทำให้วาสินีจำต้องขยับรถเข้าจอดข้างทาง จากนั้นก็ลงไปรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น
รถยี่ห้อหรูสีดำที่ถูกรถยนต์ของหล่อนชนท้ายขยับเข้าจอดข้างทางเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย หล่อนรีบเดินเข้าไปหยุดที่ฝั่งของคนขับ แต่คนขับก็ยังไม่ยอมลงมาจนหล่อนต้องเคาะกระจกเรียก
“นี่คุณ... ลงมาคุยกันสิคะ เรื่องจะได้จบๆ ฉันยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
หล่อนหงุดหงิดเพราะอากาศทั้งร้อน และตัวเองก็กำลังรีบด้วย
“คุณ...”
หล่อนเคาะกระจกรถซ้ำสองครั้ง และแรงขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งคนที่เป็นเจ้าของรถสีดำคันงามยอมก้าวลงมา
ผู้ชายตัวสูงในชุดสูทสีครีมอมเทา ดวงตาคมกริบที่อยู่ใต้แนวคิ้วเข้มหนาดกจ้องมองมาที่หล่อนด้วยสายตารำคาญ
หล่อนเผยอปากค้าง ดวงตากลมโตเบิกโพลง เพราะไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้
“พี่สอง?”
สอง...
หรือ ปรมินทร์ น้องชายของพี่หนึ่ง ปรมะ ผู้ชายที่หล่อนหลงรักนั่นเอง
“นี่เป็นรถพี่สองเองเหรอคะ”
“ใช่”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย แถมสายตาที่มองมาก็ยังเฉยเมย ทำเหมือนกับว่าหล่อนเป็นอากาศอย่างนั้นแหละ
พอเห็นท่าทางเย็นชาของปรมินทร์ที่แสดงออกมาแล้ว หล่อนก็อดที่จะขุ่นเคืองใจไม่ได้
“พี่สองเบรกอะไรแบบนี้คะ เห็นไหมว่ารถวาที่ตามหลังมาเบรกตามไม่ทันเลย”
เมื่อเขาทำเย็นชา หล่อนจึงแกล้งโยนความผิดให้เสียเลย
“เธอขับเร็วเองต่างหาก”
“ไม่ใช่สักหน่อยค่ะ”
“ตอนทำใบขับขี่ ไม่ได้ฟังหรือว่าตามกฎหมายให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้ากี่เมตรถึงจะปลอดภัยน่ะ”
หญิงสาวถึงกับอึ้งไปเมื่อเขาหยิบยกความจริงขึ้นมากล่าวอ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้
“กฎหมายจะว่ายังไงก็ช่างสิคะ แต่กฎของวาก็คือพี่สองห้ามเบรกกะทันหันแบบนี้ค่ะ”
“โตแต่ตัว นิสัยยังเหมือนเด็กไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชายหนุ่มถอนใจออกมาอย่างเอือมระอาใจระคนรำคาญ
“พี่สองว่าใครคะ”
“ก็ว่าเธอไงล่ะ พี่คุยอยู่กับเธอไม่ใช่หรือ”
คนฟังที่ถูกต่อว่าซึ่งๆ หน้าถึงกับหน้างอ หล่อนกัดปากแน่นด้วยความโมโห
“พี่สองนิสัยเสียอะ หาเรื่องวาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ยังไม่ยอมเลิกอีกเหรอคะ”
“พี่ไม่ได้หาเรื่องเธอ แต่พี่พูดตามความจริง เธอขับรถเร็วเกินไป จี้ท้ายรถพี่ไม่ยอมเว้นระยะห่างตามที่กฎหมายกำหนด”
“ก็วารีบนี่คะ”
“มันเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลย”
“พี่สอง!”
“ดังนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบซ่อมรถให้พี่ก็คือเธอ”
“โอเคค่ะ เดี๋ยววาจัดการให้ จะซ่อมให้พัง เฮ้ย จะซ่อมให้ดีเลยล่ะค่ะ”
แววตาของวาสินีมีความเลศนัย แต่ปรมินทร์ไม่สนใจ เขาจะเดินกลับขึ้นรถ แต่หญิงสาวคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
“พี่สองจะไปไหนคะ”
วาสินีรีบปล่อยมือจากท่อนแขนกำยำของปรมินทร์เมื่อชายหนุ่มลดสายตามอง
“เอ่อ... พี่สองไม่อยู่รอประกันก่อนเหรอคะ”
“ขืนอยู่รอประกันคนไข้พี่ตายกันพอดี เธอก็จัดการซ่อมรถตัวเองไปก็แล้วกัน เดี๋ยวรถของพี่ พี่จัดการซ่อมเอง”
มือหนาสีขาวสะอาดคว้าที่จับประตูรถ และดึงมันเปิดออก แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป
“อ้าว ไหนพี่สองบอกว่าจะให้วาซ่อมรถให้ยังไงล่ะคะ”
“พี่ไม่รบกวนเด็กน้อยอย่างเธอหรอก”
“ใครเด็กน้อยไม่ทราบ”
พอถูกเรียกว่าเด็กน้อย วาสินีก็เชิดหน้า แอ่นอกสูง และมองเขาอย่างเอาเรื่อง
ปรมินทร์ยิ้มบางๆ และไม่มองต่ำกว่าปลายคางของหญิงสาวเลย
“เธอรู้ดีว่าพี่หมายถึงใคร”
“พี่สอง!”
“พี่ไปล่ะ”
แล้วเขาก็ก้าวขึ้นรถสีดำที่ถูกหล่อนชนท้ายจนเป็นรอยถลอก พร้อมกับขับจากไปด้วยความเร็ว
“ผู้ชายเย็นชา”
หล่อนย่นจมูกไล่ตามท้ายรถหรูของปรมินทร์ไปจนลับตาอย่างหมั่นไส้
“เวลาผ่านไปตั้งไม่รู้กี่ปี น้ำแข็งยังไม่ยอมละลายอีกเหรอเนี่ย”
หล่อนบ่นอุบอิบ ก่อนจะกดรับโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น และก็พบว่าบริษัทประกันรถของตัวเองโทรกลับเข้ามา
“ค่ะ รออยู่ค่ะ ใกล้ถึงแล้วใช่ไหมคะ รีบๆ หน่อยนะคะ พอดีมีธุระค่ะ” หล่อนถามไปด้วยความร้อนใจ
“โอเคค่ะ”
หล่อนตัดสายสนทนา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปนั่งอยู่ในรถเพื่อรอบริษัทประกันภัย