บทที่ 4 ขโมยวาสนา

1723 Words
บทที่ 4 ขโมยวาสนา บรรยากาศความวุ่นวายถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง สายตาหมาดมั่นขัดกับใบหน้าอ่อนเยาว์ดูเป็นแม่นางน้อยไม่ประสาของเจ้าตัว ตกอยู่ภายใต้สายตาคู่หนึ่งที่เพ่งพินิจดู และก้าวย่างตามมาอย่างใคร่รู้ ไป๋ลี่เฟยที่เดินลัดมายังประตูเก่าที่ถูกปิดการใช้งานไปแล้วของสำนักศึกษาหลวง นางลอดออกไปยังตรอกที่เป็นทางเชื่อมกับตลาด ทว่าเมื่ออยู่ในตรอกที่เงียบสงัด เสียงฝีเท้าที่คราแรกปัดไปว่าเป็นเสียงของคนในสำนัก ก็ยังคงดังก้องต่อเนื่อง เมื่อหันไปก็พบกับอาจารย์ผู้หนึ่งที่ยืนยิ้มแย้มรออยู่ก่อนแล้ว “หากไม่รู้ตัวไปนานกว่านี้ ข้าคงผิดหวังแล้ว” ชายวัยกลางคนผู้นั้นเผยรอยยิ้มคล้ายเอ็นดูลูกหลาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจูจูก็นำตัวไปขวางระหว่างชายในอาภรณ์สีเขียวอ่อนและคุณหนูของตนไว้ ผู้ที่เดินตามมาคือ ‘อาจารย์โฉ่โม่จิน’ ผู้ที่นางกราบกรานเป็นหนึ่งในศิษย์เอกเมื่อภพที่แล้ว แต่ยามนี้ลี่เฟยเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยังไม่มีความโดดเด่นใดให้อยากรับเป็นศิษย์ คุณหนูไป๋จึงสับสนว่าเหตุใดอาจารย์โม่จึงลอบติดตามมา “ลี่เฟยไม่คิดว่าจะมีผู้ใดสนใจติดตามแม่นางน้อยผู้หนึ่งมาเช่นนี้ จึงไม่ได้ระวังตัว” นางตอบไปเพียงเท่านั้นมิได้เผยอะไรไปมากเกินจำเป็น และสะกิดบ่าวด้านหน้าให้หลบออกไป “เด็กหญิงที่ยังไม่เข้าสำนักศึกษาแต่กลับใช้วิชาปกปิดพลัง ทั้งยังเป็นรูปแบบการขัดปราณที่ข้าคิดค้นขึ้น มีศิษย์เอกของข้าสอนสั่งเจ้าไว้หรือ” อาจารย์โฉ่ตามออกมา เพราะสิ่งที่คุณหนูใหญ่แห่งจวนสกุลไป๋ทำเมื่อครู่สะดุดตาเขาเข้าทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยทั้งที่พึ่งพบเจอเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะโชคช่วย แต่ท่าทางของเด็กหญิงผู้นี้ยามเด็กขึ้นแท่นวัด มีท่าทางกึ่งมั่นใจกึ่งกระวนกระวายจึงทำให้ตัวอาจารย์โฉ่จับตาเป็นพิเศษ นั่นทำให้เขาเห็นในสิ่งที่อาจารย์คนอื่นไม่ทันเห็น “ไม่มีใครสอนสั่งเจ้าค่ะ…” ลี่เฟยคิดหาคำแก้ตัวไม่ได้จึงเลือกที่จะเงียบลง นางใช้วิชาที่อาจารย์สอนในชาติเดิมจนชินชา หลงลืมไปว่าลักษณะเฉพาะย่อมทำให้จับสังเกตได้ว่าใครเป็นผู้สอนสั่งมา “เช่นนั้นรู้ได้อย่างไร คิดเอาเองหรือ ทั้งการปกปิดนั่นอีก แสร้งเป็นคนพลังน้อยไปด้วยเหตุผลใดกัน” โฉ่โม่จินที่แม้จะสงสัยในตัวลี่เฟย แต่กลับมีความรู้สึกเอ็นดูอยู่ จึงมิได้จับตัวไปคาดคั้นเอาความอย่างรุนแรงอันใด “เรื่องสาเหตุที่ปิดพลัง ศิษย์คงไม่อาจแจ้งความนี้กับผู้ใดได้ แต่เรื่องที่รู้วิชาได้อย่างไร หากข้าพูดความจริง ท่านอาจารย์ต้องหาว่าลี่เฟยผู้นี้เสียสติเป็นแน่” “เล่ามาเถิด ข้าจะตัดสินเองว่าสติของเจ้าสูญสิ้นไปแล้วหรือไม่” เมื่ออาจารย์ตอบมาเช่นนี้ ลี่เฟยจึงสั่งให้จูจูยืนรอห่างไปสามช่วงตัว อย่างไรคนผู้นี้ก็เปรียบเสมือนเป็นบิดาคนที่สองของนาง ไป๋ลี่เฟยเล่าว่าเคยใช้ชีวิตนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว บอกรายละเอียดทุกอย่าง แม้กระทั่งความลับของอาจารย์โฉ่ที่มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้ก็ยกมากล่าวพิสูจน์ จะเว้นไว้ก็แต่เรื่องสุสานของจักรพรรดิหูหลงฉาง และความแค้นของนางที่มีต่อองค์ชายสามสารเลวผู้นั้น อาจารย์โฉ่เมื่อฟังจบก็ออกสีหน้าคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทำให้ลี่เฟยรู้สึกคล้ายสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้งก็ไม่ปาน “ท่านอาจารย์ทำสีหน้าเช่นนั้นเหมือนยามจี้จับโกหกข้าและศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีผิด เรื่องนี้มีวิธีพิสูจน์ท่านอาจารย์รอลี่เฟยเข้าเรียน ก็สามารถเรียกมาทดสอบกับแท่นหินใหม่ได้ ขอเพียงไม่มีคนอยู่รอบข้างก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากเก็บเป็นความลับ” ไป๋ลี่เฟยที่แม้จะอยู่ในชาติใหม่ก็ยังคงเคารพอาจารย์ของตนเช่นเดิม นางไม่อาจปล่อยให้เขาคิดว่านางโป้ปด “ไม่ต้องรอถึงขนาดนั้นหรอก หากทนได้ถึงเขียวขั้นต่ำย่อมหมายความว่าเจ้ามีปราณในกายสีเขียวขั้นกลางจริงๆ” โฉ่โม่จินยื่นมือออกมาให้เด็กหญิงตรงหน้าจับ หากเรื่องที่ไป๋ลี่เฟยพูดเป็นจริงการส่งลมปราณเข้าไปตรวจสอบก็สามารถประเมินระดับพลังได้คร่าวๆ เช่นกัน แม้ไม่แม่นยำเท่าหินทดสอบแต่ก็ทดแทนได้ การส่งพลังเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงเค่อ ไป๋ลี่เฟยยืนได้อย่างสบายๆ จนถึงระดับเขียวขั้นต่ำ และเริ่มต้านไม่ไหวเมื่อขึ้นไปยังระดับที่เท่ากับปราณในกายตน จึงทำให้อาจารย์โฉ่อยากลากตัวนางเข้าไปในสำนัก เพื่อทดสอบความรู้ให้หมดสิ้น อาจารย์โฉ่ดีใจจนเนื้อเต้น หากที่เด็กคนนี้พูดเป็นจริง นั้น ย่อมหมายความว่าชาตินี้คุณหนูไป๋จะสามารถเรียนรู้ต่อยอดจาดชาติเดิม และเก่งกาจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ก็ต้องถูกขัดคอ เพราะลี่เฟยไม่อาจรั้งรอไปได้มากกว่านี้ “ไว้ตรวจสอบเพิ่มภายหลังเถิด ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจฝึกฝน และเป็นศิษย์เอกที่ท่านปลุกปั้นให้โดดเด่นจนผู้คนร่ำลือ แต่ตอนนี้ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวเท่านั้น แล้วก็รีบวิ่งออกไปโดยที่จูจูร้องเรียกก็ไม่ได้ทำให้ลี่เฟยวิ่งช้าลง ร้องบอกเพียงว่า ‘ตามมา’ ขอให้ทันเถิด มิเช่นนั้นแผนการณ์นี้อาจพังไม่เป็นท่า ภาพในจอที่เห็นจากโลกอนาคตฉายให้เห็นว่าซินหยานมีองค์ชายมาติดพันหลายพระองค์ และนั่นเป็นจุดที่ทำให้จ้าวหลินไฉ่ละสายตาจากไป๋ซินหยานไม่ได้ ความต้องการเอาชนะคงเคลื่อนผ่านกายองค์ชายสามอย่างห้ามไม่อยู่ ในภพนี้นางต้องการชิงความสนใจนั้นมาไว้ที่ตนเองแทน มิใช่เพื่อเรียกร้องความรัก แต่เพื่อคัดเลือกหาตัวละครใหม่ที่ลี่เฟยจะผลักดันให้ได้ตำแหน่งรัชทายาทแทนที่องค์ชายสามผู้นั้น หากจะดึงมาร่วมแผนย่อมต้องสนิทสนมไว้ เสียงคึกคักของตลาดดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท สายตาดอกท้อหันมองหาเด็กขอทานเป้าหมายของตน เมื่อกวาดสายตาก็พบเห็นเด็กน้อยกำลังยื้อแย่งยาต้มห่อหนึ่งกับหญิงชราที่กลางถนนคนเดิน ฟ้ายังเป็นใจสินะ “ท่านป้า เด็กน้อย พวกท่านมีปัญหาอันใดกัน อ๊ะ” แม้หน้าตาของทั้งสองจะแตกต่างจากคนแสดงในจอประหลาด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากนี้ ไป๋ลี่เฟยจึงแทนกตัวไปขัดขวางไว้จนถูกลูกหลงทุบตีไปหลายครา “ข้าซื้อยาเทียบนี้ แต่เจ้าเด็กสกปรกนี่กลับมาฉุดยื้อแย่งไปจากข้า สันดานขโมยต้องตีให้ตาย” เมื่อพูดจบหญิงชราคนดังกล่าวก็เอื้อมมือจะไปตบตีอีก ฟาดลงบนตัวจูจูแทน แม้บ่าวตัวน้อยอย่างจูจูจะไม่เข้าใจการกระทำของเจ้านายตน แต่ก็เอาตัวไปบังไว้ไม่ให้ลี่เฟยเจ็บ คุณหนูไป๋สวมหน้ากากแม่พระผู้มีจิตใจอ่อนโยนหันไปถามเอากับเด็กน้อยด้านหลัง “ที่ท่านป้าพูดมาจริงหรือไม่” เด็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางใจดีบริสุทธิ์เช่นนี้จึงไม่กล้าโกหก แต่ก็ยังพูดจาให้เหลือช่องเอาตัวรอดไว้ “จริงขอรับ แต่ข้ามีเหตุผล” “เช่นนั้นคืนของให้ท่านป้าไปเสีย หากเจ้าต้องการยาข้าจะซื้อให้เอง” ไป๋ลี่เฟยส่งยิ้มที่แฝงด้วยไอความเป็นพี่สาวผู้ใจดี แม้จะโตกว่าเด็กอีกคนแค่สามสี่ปี แต่อาจเป็นเพราะดวงจิตมีอายุมากกว่าร่างกาย จึงส่งกลิ่นไอที่ทำให้เด็กน้อยยินยอมแต่โดยดีออกมา “ท่านป้า ให้อภัยเด็กเถิดหนา” เมื่อส่งของคืนแล้วลี่เฟยก็ลอบส่งตำลึงเงินใส่มือไปด้วย ทำให้หญิงผู้นั้นไม่ติดใจเอาความใด หากจะให้ลับฝีปากกับท่านป้าผู้นี้อย่างซินหยาน ข้าไม่ยอมเสียเวลาหรอก แม้นางจะมาช่วยเหลือเหมือนกัน แต่จะให้ลี่เฟยไปก่นด่าคนที่ถูกขโมยของก็เห็นจะใช่ที่ และประเด็นสำคัญคือองค์ชายผู้นั้นเพียงประทับใจในความมีน้ำใจของซินหยานที่พาเด็กน้อยไปซื้อเทียบยาใหม่เท่านั้น “เจ้าจะเอายาไปทำสิ่งใด มีคนที่บ้านป่วยหรือ” ลี่เฟยหันไปสอบถาม เมื่อเห็นที่หางตาแล้วว่าจ้าวโจวเฉิงยังลอบมองเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่จากหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี๊ยม “น้องสาวของข้าไม่สบายจึงอยากนำยาไปให้นาง” “เช่นนั้นไปร้านยา อธิบายอาการของน้องสาวเจ้าให้หมอยาจัดเทียบให้ถูกต้องดีกว่าหรือไม่ และคราวหลังห้ามขโมยเจ้าใจหรือไม่ ต่อให้ลำบากก็ต้องไม่ทำความผิด” ไป๋ลี่เฟยจัดการทุกอย่างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางไม่ทำอะไรที่มากไปหรือน้อยไป ก่อนจะออกจากตลาด ลี่เฟยเงยหน้าขึ้นไปมององค์ชายหกที่ยังคงมองออกมานอกหน้าต่าง แสร้งทำสีหน้าสงสัยส่งไปเล็กน้อย ชายผู้นั้นส่งรอยยิ้มเป็นมิตรตอบกลับมา จึงทำให้คุณหนูใหญ่จวนไป๋มั่นใจแล้วว่าวาสนาที่เคยเป็นของซินหยานคงตกมาเป็นของนางเรียบร้อยแล้ว . . . “โกเว่ย แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นบุตรหลานสกุลใด ตามไปดูที” โจวเฉิงหันไปถามองครักษ์ข้างกาย ที่ไม่โต้ตอบสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วติดตามแม่นางน้อยผู้ช่วยเหลือเด็กน้อยไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD