บทที่ 3 ทดสอบพลัง
ดวงตาดอกท้อเบิกโพลง สะดุ้งตัวขึ้นมานั่ง ร่างเล็กของไป๋ลี่เฟยหอบหายใจอยู่บนเตียงกว้าง เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามกรอบหน้า นางก้มลงมองร่างของตนเอง ควานหาคันฉ่องเล็กที่มักเก็บไว้ข้างหมอน
ยังไม่ตายจริงด้วย!
เมื่อตั้งสติไปประมาณหนึ่งไป๋ลี่เฟยจึงเริ่มสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อให้ใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้สงบลง ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่กรอบหน้าก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะยามที่ลากมือผ่านหน้าผากมีแสงสีม่วงลวดวายดั่งไม้ใหญ่ที่เคยพบเมื่อครั้งแรกที่ไปยังภพประหลาดนั้น
แปลว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง แล้วข้ากลับมาที่ช่วงเวลาใดกัน…ใบหน้าเช่นนี้คงไม่เกินสิบสามปีเป็นแน่
ไม่นานเกินรอบ่าวประจำตัวที่ได้ยินเสียงนางขยับเขยื้อนก็ยกน้ำเข้ามาเตรียมรอให้ไป๋ลี่เฟยล้างหน้าบ้วนปาก
“คุณหนูตื่นเร็วนัก วันนี้ต้องไปวัดระดับพลัง เหตุใดจึงไม่นอนเอาแรงอีกเสียหน่อยเจ้าคะ” จูจูข้ารับใช้คนสนิทเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่งให้ลี่เฟยรู้ว่ายามนี้นางมีอายุสิบสองปี
“อาจเป็นเพราะข้าตื่นเต้นเกินไป เป็นสตรีชั้นสูงพลังไม่มากก็ไม่เป็นอันใดหรอกจูจู” คุณหนูไป๋ภายนอกดูพูดจาเจือความขบขัน แต่ภายในใจนั้นกำลังนึกถึงซินหยาน
น้องสาวต่างมารดาผู้ที่แม้พลังจะกลางๆ แต่ก็ดึงความสนใจของคู่หมั้นของนางไปได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้เปิดหูเปิดตาไป๋ลี่เฟยแล้วว่าการได้รับความรักมาไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด หรือเพียบพร้อมที่สุดแม้สักนิด
ไป๋ลี่เฟยคิดอย่างจนใจเพราะหากจะฉุดชะตาขององค์ชายสามอย่างที่ตั้งใจไว้ ย่อมเท่ากับว่านางอาจต้องทำร้ายซินหยานทางอ้อม แต่เมื่อนึกถึงภาพที่เขาใช้เท้าเขี่ยตัวนางที่ล้มพับลงไปเช่นนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาจนเส้นโลหิตร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครา
หากรักกันจริง แม้หมดโชควาสนาก็ต้องพร้อมฟันฝ่า จ้าวหลงไฉ่จะไม่มีวันได้สิ่งที่มันต้องการอีก!!
“จูจูเตรียมอาภรณ์สีกลีบเหลียนฮวาให้ข้าด้วย” นางหันไปสั่งบ่าว ก่อนจะบรรจงผัดหน้าให้สลัดความจืดชืดทิ้งไป เพราะนักแสดงที่เล่นเป็นนางจืดชืดเสียจนลี่เฟยเก็บเอามากังวล แต่นางก็ยังออมมือเพื่อคงความสดใสตามวัยที่ควรจะเป็นอยู่ เพียงแค่ใช้สีเข้มอ่อนตามจุดต่างๆ ของใบหน้าเพื่อเพิ่มมิติตามที่มีมี่เคยสอนยามว่าง
หลังตรวจสอบใบหน้า ทรงผมและอาภรณ์จนพร้อม ไป๋ลี่เฟยก็เดินไปยังเรือนของบิดาที่มีไป๋ซินหยานยืนรอกับท่านพ่อและแม่รองอยู่ก่อนแล้ว แม้จะบอกว่าไป๋ซินหยานเป็นน้องแต่เหตุที่ตัวนางและน้องรองผู้นี้ ถึงคราวทดสอบพลังพร้อมกันเป็นเพราะฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรอง คลอดบุตรในช่วงเวลาห่สงกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“คาระวะท่านพ่อ คาระวะแม่รองเจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้าเล่าไปไหนเสียแล้ว” ไป๋ลี่เฟยที่ไม่เห็นมารดาของตนจึงร้องถาม ชาติแรกท่านแม่ของนางยืนรออยู่ก่อนมิได้หายไปเช่นนี้
“แม่เจ้าฝันเลวร้าย ทำให้ออกมาช้าเสียหน่อย” ท่านพ่อของนางตอบด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
ลี่เฟยพยักหน้ารับไม่ได้กดดันถามรายละเอียดต่อ จึงไม่ได้รู้เลยว่าความฝันของมารดาคือเรื่องราวที่ไป๋ลี่เฟยพบเจอมาในชาติเดิม
.
.
.
คนสกุลไป๋เดินทางออกมาพร้อมกันทั้งหมดสี่รถม้าด้วยกัน บรรดาพี่ชาย และน้องสาวน้องชายที่เหลือต่างอยากมาดูไป๋ลี่เฟยและไป๋ซินหยานทดสอบพลัง
ชาติก่อนนางขึ้นไปทดสอบก่อน เมื่อพลังออกมาในขั้นที่สูงที่สุดในบรรดาผู้ทดสอบหญิง จึงทำให้ซินหยานที่ทดสอบตามหลังไม่ได้รับความสนใจ
ลี่เฟยรู้ว่าเหตุหนึ่งที่องค์ชายสามไม่ปล่อยนางไปก็เป็นเพราะพลังนี้ ความกลัวแผดเผาไปทั่วแผ่นหลังเล็กๆ นี้
“คุณหนูใหญ่เหตุใดจึงทำหน้าคล้ายตื่นตกใจกลัวเช่นนั้น หากพลังไม่ถึงขั้นก็ยังมีทางออกอีกมาก มารดาเจ้าก็มาฝันร้าย อาจเป็นลางไม่ดีจริงๆ” เสียงจิกกัดของฮูหยินรองดังออกมาในระหว่างที่ลี่เฟยกำลังตัดสินใจ
“คำพูดนี้ของแม่รอง มีเจตนาช่วยเหลือข้าหรือทำให้เจ็บช้ำกันแน่” ฮูหยินรองผู้นี้ไม่เคยทำอะไรรุนแรง แต่คำพูดของนางก็มักจะทำให้ชี่เฟยรู้สึกขัดหูอยู่เนืองๆ
“ลี่เฟยเป็นบุตรฮูหยินเอก ทั้งยังมีคู่หมายเป็นถึงองค์ชาย ต่อให้ไม่มีพลังก็ไม่มีวันลำบาก เจ้าห่วงตนเองเถิด” มารดาของลี่เฟยที่ไม่ชอบใจกับการมาจิกกัดกันนอกบ้านให้เป็นที่จับตาจึงเอ่ยปรามออกมาบ้าง
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จากที่ลี่เฟยเคยคิดว่าจะใช้วิชาปกปิดระดับพลังของตน จนคล้ายว่าไม่มีพลังอันใดก็ต้องเปลี่ยนใจให้ยังเหลือไว้บ้างไม่ให้เป็นเป้าหมายแก่ ‘แม่รอง’ มากจนเกินไป แม้นั่นจะทำให้การใช้วิชาปิดพลังยากเย็นขึ้นแต่นางก็ยินยอมแลกมา
ระดับขั้นในภพนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดขั้นหลักตามสีที่ปรากฏ คือ ส้ม แดง ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง ขาว และย่อยเป็นสามขั้นตามความเข้มข้นของพลัง คือขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง พลังระดับสีเหลืองขั้นกลางไปจนถึงขาวขั้นสูงนั้นไม่ถูกพบมาหลายร้อยปี พลังสีขาวขั้นสูงคนล่าสุดที่ปรากฏในใต้หล้าคือจักรพรรดิหูหลงฉาง ผู้สร้างสิ่งล้ำค่าไว้ให้คนรุ่นหลังตามล่า และแย่งชิงมากมายผู้นั้น
แต่ทว่าการตรวจวัดครั้งแรกนั้นไม่เคยปรากฏพลังสี เหลือง และสีขาวมาก่อน การได้สีน้ำเงินก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ที่สีแดงขั้นสูงจนถึงสีม่วงขั้นกลางเท่านั้น
ในภพก่อนนี้นางตรวจวัดได้ระดับสีเขียวขั้นกลาง นับว่าเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดไปมากมาย พลังระดับน้ำเงินขั้นต่ำของซินหยานจึงดูจืดจางไปเสียสนิท เมื่อต้องมาเปรียบเทียบกัน
ชาตินี้คงต้องให้น้องรองได้เฉิดฉายบ้าง…
“ไป๋ลี่เฟยขึ้นแท่นทดสอบได้”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก นางก้างเดินอย่างมั่นคงตั้งสมาธิกดลมปราณ และหันหลังให้คณาจารย์ทั้งหลัง เพื่อเดินวิชากดพลัง พรางไว้ด้วยท่าทีกระวนกระวาย จากนั้นจึงแตะมือลงไปบนหินก้อนใหญ่ที่จะแสดงสีของพลังผู้รับการวัดออกมา ภายในช่องท้องของลี่เฟยปั่นป่วน กลัวว่าวิชากดพลังที่ใช้จะไร้ผลกับหินทดสอบนี้ และการปิดบางส่วนนั้นยากกว่าการปิดทั้งหมด ทำให้เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเสียมากมาย ทั้งมือเล็กยังสั่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ความกังวลตบตีอยู่ภายใน ทั้งยังต้องต่อสู้กับไอปราณของหินทดสอบที่พยายามจะทะลุทะลวงเส้นปราณเพื่อวัดค่า จนลี่เฟยรู้สึกอยากจะอาเจียน และล้มเลิกไปหลายหน แต่เมื่อใกล้จะหมดแรงไอปราณที่ออกมาจากหินปรากฎเป็นสีม่วงสมใจหวัง
สำเร็จม่วงขั้นต่ำ!
นางเดินลงจากแท่นด้วยความรู้สึกโล่งโปร่งอย่างถึงที่สุด เมื่อระดับอยู่ในขั้นดาดดื่น ประโยชน์ของนางในสายตาหลินไฉ่คงลดน้อยลงไปแล้ว หน้ากากแสแสร้งคงจะแตกออกไวขึ้นหลายเท่าตัว
ก็ลองมาดูเถิดว่าหากพลังของข้าไม่ได้มีส่วนส่งเสริมให้เจ้ามีชื่อเสียงดีงามอีกแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อ…หึ
เรื่องราวหลังจากนั้นเป็นอย่างที่นางคาด เมื่อไม่มีใครที่ได้ระดับสีเขียวปรากฎตัวขึ้น ระดับน้ำเงินของน้องรองก็ดึงดูดอาจารย์ และคนรอบข้างให้ไปรุมสนใจ
แน่นอนว่าสายตาและคำพูดถากถาง จากฮูหยินรองก็ตามมาทิ่มแทงลี่เฟยอย่างทันท่วงทีเช่นกัน ขัดกับซินหยานที่ส่งสายตาขอโทษแทนมารดาของตนมาให้
“ซินหยานของข้ามีบุญบารมีอย่างแท้จริง” ฮูหยินรองหันไปพูดกับบรรดาฮูหยินที่มาดูบุตรหลานของตนทดสอบ
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตื่นเต้นกับซินหยาน ลี่เฟยจึงขอท่านแม่ของตนออกไปเดินผ่อนคลาย เมื่อคนเป็นแม่เห็นเช่นนั้น ก็คิดไปเองว่าบุตรสาวอาจน้อยใจที่ผลออกมาเช่นนี้ จึงปล่อยให้ไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าบุตรผู้นี้มิได้เสียใจอันใด แต่นางมีความคิดจะไปขโมยวาสนาของผู้อื่นต่างหาก!
________
เหลียนฮวา หมายถึงดอกบัว