บทที่ 5 พบหน้าคู่หมาย
หลังเรื่องว้าวุ่นในวันนี้จบลงไป๋ลี่เฟยนั่งรับลมราตรีที่หอบเอากลืนหอมสะอาดบางเบาของเหล่าบุปผาในสวนข้างเรือนมาหมุนวนรอบกายบาง
เรือนนอนของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งยังเป็นเรือนส่วนตัวแยกจากมารดา ไป๋ลี่เฟยถูกเอาออกเอาใจเป็นพิเศษเพราะถูกวางตัวเป็นชายาขององค์ชายตั้งแต่คลอดออกมาได้ไม่กี่ชั่วยาม มารดาของนางและมู่กุ้ยเฟยเป็นสหายสนิทกันมาตั้งแต่เกิด จึงคิดให้บุตรชายบุตรสาวได้ดองเป็นครอบครัว
ไป๋ลี่เฟยแค่นยิ้มบางๆ วันพรุ่งนี้แล้วที่นางต้องได้พบจ้าวหลินไฉ่อีกครั้ง ครานี้บทนางรองผู้สนับสนุนและปักใจจะส่งเสริมว่าที่สามีจะไม่ใช่ตัวนางที่เป็นผู้รับ ลี่เฟยจะเป็นนางร้ายผู้ไม่ส่งเสียง วางแผนทำลายอยู่เบื้องหลัง แสแสร้งแกล้งทำด้วยใบหน้าอ่อนโยนประดับรอยยิ้มอาบยาพิษ เป็นนางร้ายที่มีมี่สอนสั่งว่าเป็นมารดาของนางร้ายทั้งปวง
หากจะมีสิ่งใดที่นางเสียดายเมื่อต้องกลับมา คือการต้องจากลากับสหายผู้นั้น แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่มิตรภาพที่นางให้คือสิ่งที่จริงแท้
“หวังว่าข้าจะได้พบเจอเจ้าอีกครา มีมี่” ลี่เฟยพึมพำกับตนเอง
“คุณหนูว่าอย่างไรนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินไม่ชัดเจนนัก” จูจูที่ยืนเฝ้าอยู่ริมห้องเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเจ้านายตนบอกกล่าวบางอย่าง
“ไม่มีอันใด ข้าบอกว่าข้าจะนอนแล้ว ดับตะเกียงได้ พรุ่งนี้เจ้าก็พักผ่อนเถอะ ถูกตีหลายครั้งเช่นนี้ควรหยุดงาน” ลี่เฟยส่ายหน้ายิ้มให้บ่าวคนสนิทที่ดื้อดึง ไม่ยอมไปพักผ่อนทั้งที่นางสั่งแกมบังคับไปหลายครา
“เจ้าค่ะ จูจูยินยอมแล้ว”
“ดียิ่ง อืมที่ข้าสั่งไว้ อย่าลืมหาโอกาสไปจัดการ” ลี่เฟยย้ำกับบ่าว
“เมื่อเสร็จสิ้นแล้วบ่าวจะมารายงานเจ้าค่ะ” จูจูตอบพร้อมกับดับตะเกียงลงจนทั้งห้องมืดสนิท
ลี่เฟยเข้านอนโดนไม่รู้เลยว่าบนต้นไม้ข้างเรือนมีชายผู้หนึ่งแฝงตัวมาลอบมองอยู่ องค์ชายหกที่ได้คำตอบว่าแม่นางน้อยผู้ยัดเงินตำลึงให้คู่กรณีของผู้อื่นเพื่อจบปัญหาเป็นใคร ก็ตามมาดูด้วยความสนใจ
เมื่อเห็นสายตาที่เสมือนแบกโลกไว้ทั้งใบก็ยิ่งดึงดูดให้ต้องอยู่ดูต่อจนเห็นว่าในเวลาเค่อหนึ่ง ไป๋ลี่เฟยผู้นี้พลิกสีหน้าไปแล้วเป็นร้อยๆ นั่นทำให้ความสงสัยเกิดขึ้นในใจของจ้าวโจวเฉิงผู้เป็นองค์ชาย ‘แม่นางวัยสิบสองปีผู้มีหน้าตาจิ้มลิ้ม ทั้งยังเป็นบุตรีภรรยาเอกมีเรื่องมากมายอันใดให้ขบคิดกัน’
หลังจากที่เห็นว่าตะเกียงภายในห้องนอนถูกดับลงแล้ว ก็พยักหน้ากับองครักษ์ให้ออกจากจวนท่านเจ้ากรมไป๋ในทันที
.
.
.
เช้าตรู่วันถัดมามีสารจากจวนองค์ชายสามมาส่งที่จวนไป๋ว่าจะเข้ามาพบในยามซื่อ ดั่งที่เกิดขึ้นในชาติเก่าไม่มีผิดเพี้ยน
ไป๋ลี่เฟยเลือกใส่อาภรณ์สีม่วงซึ่งเป็นสีที่องค์ชายผู้นี้ไม่ชมชอบ แต่ในชาตินี้นางจะไม่ปรับเปลี่ยน เพื่อความชอบของคนชั่วช้าผู้นี้อีก หากนางชอบนางก็จะใส่
หากเจ้าทนมองไม่ได้ก็ควักลูกตาออกมาเสีย นี่ไม่ใช่ปัญหาอันใดของข้า
เมื่อประโคมจนทั้งกายจนเต็มไปด้วยสีม่วงในทุกส่วนลี่เฟยก็พึงพอใจ และออกไปพบองค์ชายสามที่นั่งรออยู่ในศาลาริมสวน
จ้าวหลินไฉ่ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังอันใด เมื่อหันมาเห็นว่าอาภรณ์ของนางเป็นสีที่ตนไม่ชมชอบก็แสดงสีหน้าซับซ้อนยากจะอ่านความออกมา แต่ตัวลี่เฟยที่หัดตีความความรู้สึกของคนผู้นี้มาถึงหกปีเต็มรู้ดีว่าใบหน้าเช่นนี้หมายความว่ากำลังขุ่นเคือง
“ถวายพระพรองค์ชายสามเพคะ” ลี่เฟยย่อกายลงทำความเคารพอย่างจำใจ แม้ใบหน้าจะประดับรอยยิ้มแต่ภายในใจต้องการกระชากตัวคนตรงหน้ามากระทืบให้ตายแทบเท้าตนไปเสีย
“ตามสบายแล้วมานั่งเถอะ เสด็จแม่มู่กุ้ยเฟยสั่งให้ข้านำของขวัญมาแสดงความยินดีกับผลวัดระดับของเจ้า” หลินไฉ่ผายมือเชิญให้ลี่เฟยนั่งลง
ลี่เฟยที่อยากจะกลอกตาต้องสะกดอาการของตนไว้แล้วยิ้มแย้มดังเดิม “ท่านป้าใส่ใจเช่นนี้เสมอ”
“แค่ระดับทั่วไป ไม่รู้ว่าจะให้ข้าเร่งเอาของขวัญมาให้เจ้าไปเพื่ออันใดกัน” องค์ชายสามพูดออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่ายเต็มทน
สิ่งที่เห็นทำให้ไป๋ลี่เฟยอยากจะหัวเราะร่าออกมาดังๆ คือชายผู้นี้ติดอยู่ระดับเขียวขั้นต่ำมาสองปีเต็มมีสิทธิ์อันใดมาดูแคลนตัวนางที่เริ่มต้นด้วยระดับเขียวขั้นกลางแต่แรกกัน ท่าทีช่างแตกต่างจากชาติเดิมจนทำให้ประหลาดใจแล้ว เมื่อไม่เห็นประโยชน์ก็ถากถางแสดงอาการไม่ชมชอบอย่างตรงไปตรงมาทันที
ดียิ่ง อายุมากกว่าข้าถึงสี่ปี แต่กลับมานั่งจิกกัดแม่นางน้อยที่ไม่เคยไปทำอันใดให้
“หม่อมฉันทำสิ่งใดให้องค์ชายไม่พอใจหรือไม่เพคะ” ลี่เฟยเอียงคอถามแกล้งทำสีหน้าโง่เขลา บีบให้ตาฉ่ำน้ำดูน่าเห็นใจ
องค์ชายสามไม่ได้ตอบอันใดออกมา เกรงว่าจะทำให้แม่นางน้อยตรงหน้าหลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ เพราะสำหรับตัวเขาแค่นางเกิดมาเป็นหญิง ทำให้ต้องกลายมาเป็นคู่หมายของตน โดยที่เข้าไม่มีสิทธิ์เลือกเช่นนี้ ก็ทำให้มีความผิดในสายตาองค์ชายผู้เอาแต่ใจแล้ว
ยามที่มีอายุได้สี่หนาวถูกมารดาบังคับว่าต้องรักและดูแลทารกหน้าตาน่าเกลียดผู้หนึ่ง ต่อมาไม่นานก็ต้องยกของเล่นชิ้นโปรดให้อย่างไม่เต็มใจ จึงตั้งแง่เกลียดชังมาโดยตลอด
ความเงียบบังเกิดขึ้นอย่างน่าอึดอัด แต่ไป๋ลี่เฟยไม่คิดจะพยายามเติมเต็มความเงียบอย่างที่เคยอีก นางเพียงยกน้ำชาขึ้นจิบ และชิมขนมที่โรงครัวเตรียมไว้ ไม่ได้ทักท้วงเสียด้วยซ้ำว่าหลินไฉ่ยังมิได้นำของขวัญออกมามอบให้ ทำให้บรรยากาศอึดอัดยากเกินจะบรรยาย
“จูจูไปแจ้งโรงครัวให้นำขนมมาเพิ่มที” ลี่เฟยพูดไปเช่นนั้นเพื่อให้ในบริเวณนี้ไม่มีคนยืนใกล้ๆ ครู่หนึ่ง เพราะดูออกว่าหลินไฉ่อยากก่นด่าตนเต็มที
“เจ้านี่เหมือนสตรีทั่วไปไม่มีผิดเพี้ยน น่ารำคาญ” เมื่อจูจูไม่อยู่เป็นพยานหลินไฉ่ก็กล่าวอย่างที่ใจคิดออกมา
“ดียิ่ง” ลี่เฟยคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า ไม่มีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย ในใจกำลังขบขับที่หลินไฉ่ดูตกใจที่นางแสดงออกเช่นนี้
“ข้าด่าว่าเจ้าน่ารำคาญ เสียสติไปแล้วหรือไร”
ไป๋ลี่เฟยไม่ตอบโต้ออกไป นางเพียงแค่จิบน้ำชาและกินขนมอย่างคนไม่ทุกข์ร้อน อีกไม่เกินเค่อหนึ่ง ซินหยานจะวิ่งทั้งน้ำตาผ่านมาทางนี้ ชาติก่อนนางไม่ได้สังเกตสีหน้าของจ้าวหลินไฉ่ยามพบเจอน้องรอง มัวแต่กังวลว่าจะทำให้องค์ชายผู้นี้ชมชอบตนได้อย่างไร จะหาเรื่องใดมาพูดคุยจึงจะไม่กระอักกระอ่วน แต่เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้วจึงคิดว่าจะลอบมองเสียให้รู้แจ้ง
หากช่างสังเกตกว่านี้นางอาจรู้ตัวเร็ว และไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ใครใช้เพื่อผลักดันตนเองไปข้างหน้า แต่ครานี้หากคนอื่นจะถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการหลินไฉ่บ้าง ลี่เฟยก็ยินดีทดลองทำ
โอ๊ะ! มานั้นแล้ว
_______
ยามซื่อ หมายถึงเวลา 09:00 - 10:59น.