“ไปแล้ว”
“สรุปคือใคร”
เมื่อหันกลับไปมองที่ประตูก็ไม่เห็นอีกคนแล้วอย่างที่ยัยจินว่า เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าพร้อมกับความสงสัยของใครหลายคน รวมถึงฉัน…
จึงถามพวกมันทันทีด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่เพราะสนใจแต่เพราะความสงสัยจริง ๆ
“น้ำค้างแกไปอยู่นรกขุมไหนมาเนี่ยถึงไม่รู้จักพี่ฟิวส์”
“อย่าไปว่ามัน ชีวิตมันว่างไถจอดูผู้ชายแบบแกไหม” จินต่อว่าระรินที่กำลังบ่นเรื่องฉันไม่รู้จักพี่ฟิวส์ของมันอยู่ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“พี่ฟิวส์นายกสโมฯ ไงเพื่อน แกไม่เคยเห็นเลยเหรอ”
“อ๋อ ก็ว่าคุ้น ๆ”
คุ้นที่ว่านั้นคือการเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่ได้จำ เอาจริงก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เรื่องของสโมสรนักศึกษาแทบไม่ใช่ประเด็นสำคัญกับการใช้ชีวิตของฉันเลย
“ชาตินี้แกจะมีผัวไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกนะเพื่อน เพราะถึงมันไม่รู้จักผู้ชายแต่ผู้ชายรู้จักมันค่ะ มันสวย” จินหันไปบอกระรินอย่างหน่าย ๆ
“เออเนอะ ฉันก็ลืมคิดไป”
ฉันส่ายหน้ากับเพื่อนสองคนที่เถียงกันไปมา ก่อนที่จะจบบทสนทนาเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะอาจารย์เข้าสอน
ครู่หนึ่งฉันก็คิดได้ว่าควรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูความเคลื่อนไหวเพราะปิดเสียงแจ้งเตือนหนีปัญหาเรื่องเงินอยู่ พลันคิ้วก็ต้องขมวดเข้าหากันพร้อมกับหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเพราะคำขู่ที่ถูกส่งผ่านข้อความเข้ามา
‘คิดจะหนี เจอดีแน่'
“เป็นอะไรยัยค้าง มองหาอะไร” จินถามพลางชะเง้อคอมองตามฉันบ้าง
“สงสัยเหมือนกันวันนี้แกทำตัวแปลก ๆ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ฉันปฏิเสธทั้งที่รู้แก่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร เอาจริงก็ไม่ได้อยากจะหนีผู้ชายคนนั้นหรอกแต่ฉันกลัวว่าเขาจะขู่เอาเงินแล้วทำให้เสียหน้า เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วค่อยปลีกตัวไปโทรหาเขาอีกทีก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ นี้ จ้องจะจัดการฉันได้ตลอดเวลา
“แล้วเรื่องวันนั้นเป็นไง เจ้าของรถโทรมายัง”
ยัยจินจับจุดอ่อนฉันได้อีกแล้ว เหมือนมันแอบอ่านใจฉันอยู่เลย แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะสงสัยเพราะมันอยู่ในเหตุการณ์แล้วยังมาเห็นฉันทำตัวหวาดระแวงอยู่ด้วย
“อืม”
“แกว่ายังไง” ระรินถามบ้าง
“เขาจะเอาเงินจากฉันสองหมื่น” ฉันบอกพวกมันไปด้วยสายตาหมดหวังก่อนจะเม้มริมฝีปากตัวเองพูดต่อ
“แต่ฉันไม่มีจะให้ ก็เลยหลบเขาอยู่”
“หา !”
“สองหมื่นเลยเหรอ”
ฉันพยักหน้าเป็นคำตอบ แค่ลองนับหลักตัวเลขในใจก็เหนื่อยและท้อเต็มทน ชีวิตนี้เคยจับก็แค่เงินหลักพันที่พอจะหามาเองได้ ค่าเทอมก็รับจากทุนการศึกษาทั้งนั้น สองหมื่นบ้าบออะไร จะเอาที่ไหนมาให้กัน
“แกก็เลยระแวงว่าเขาจะมาตามตัวน่ะเหรอ”
“อือ”
“เขาไม่เก่งขนาดนั้นหรอกมั้ง อย่างเก่งก็ไปตามหาที่บ้าน” ระรินออกความเห็น
“เขาโทรนัดให้เจอเช้านี้ที่คณะ แต่ฉันไม่รับสายเพราะกลัวเขาจะขู่เรื่องเงิน”
เอาเข้าจริง ๆ ฉันก็รู้สึกผิดที่ไม่ยอมไปตามนัด เพราะบางที แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดก็ได้ ขอผ่อนผันอีกสักหน่อย อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้ ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง โดนจ้องทำร้ายอยู่เลย
“ถ้านัดให้มาเจอคณะแปลว่าเขาต้องเป็นคนที่อยู่ในมหา’ลัยเราน่ะสิ” จินขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงระแวง”
“แล้วพอแกไม่ตอบไม่รับสายเขาว่ายังไงบ้าง”
“ส่งข้อความมาขู่ นี่ไง”
ฉันหยิบเอาโทรศัพท์มาเปิดข้อความที่เพิ่งได้รับจากอีกฝ่ายส่งไปให้เพื่อนทั้งสองคนดูพวกมันทำตาโต ก่อนจะพึมพำ เหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“แจ้งความดีไหม แบบนี้ดูอันตรายนะ น่ากลัวมาก ถ้าเกิดเขา ไม่พอใจแล้วดักทำร้ายแกจะทำยังไง” ยัยจินออกความเห็น
“ไม่หรอก ฉันว่าจะติดต่อเข้าไป เพราะว่ายังไงฉันก็เป็นฝ่ายผิดที่ทำให้เขาเสียหายแบบนั้น”
“แล้วแกจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเขาล่ะน้ำค้าง” ระรินถาม สีหน้าของพวกมันดูกังวลคงเพราะว่าเป็นห่วงฉันนั่นแหละ
“ว่าจะขอผ่อน แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะเท่าที่คุยกัน ครั้งนั้นเขาดูเป็นคนไม่ค่อยยอมใครเท่าไร”
“แล้วแกจะพอใช้เหรอ งานก็ได้ทำแค่สามวันเอง หรือจะขอเจ้าของร้านเขาเพิ่มวันทำงานให้ เพราะแกจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ”
“อืม คิดว่าอย่างนั้น”
ตอนนี้มันก็มีอยู่แค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือฉันต้องไปขอผู้จัดการร้านที่ทำงานอยู่ตอนนี้ เพิ่มวันทำงานให้ฉันเต็มทั้งอาทิตย์ เพราะปกติจะทำแค่อาทิตย์ละสามถึงสี่วันเท่านั้น
หลังจากทานข้าวกับพวกมันเสร็จ ฉันก็ปลีกตัวออกมาแล้วกลับหอ ทำใจอยู่นานว่าจะโทรหาผู้ชายคนนั้นแล้วเริ่มพูดจากตรงไหนดี เพราะเมื่อเช้าฉันดันนี่แหละผิดนัดกับเขา ทำใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องไม่พอใจแน่ ๆ เหมือนกับที่ส่งข้อความมาข่มขู่ อารมณ์ของเขาตอนนั้น คงเดือดเป็นน้ำร้อนเลย
(“…”)
รอสายเพียง ไม่กี่วินาที คนปลายสายก็กดรับแต่กลับไม่พูดอะไรเลย จนฉันต้องเลื่อนมือถือมาดูอีกรอบว่ามีอะไรผิดพลาดอยู่หรือเปล่า แต่ก็เห็นว่าเขากดรับและมีเวลาขึ้นบนหน้าจอจริง ๆ
“สวัสดีค่ะ”
(“เมื่อเช้าเธอหนีนัดทำไม”)
“ไม่ได้หนี ฉันแค่มีเรียน เลยไม่ทันไปตามนัด”
(“...”)
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด น่าแปลกที่ฉันคิดว่าเขาจะโวยวายมากกว่านี้แต่เขากลับเงียบ จนฉันเดาไม่ถูกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอย่างไรอยู่
“ฉันไม่สะดวกจะนัดเจอ เราเพิ่มเพื่อนกันได้ไหม ส่วนเรื่องเงินฉันบอกคุณแล้วว่า ถ้าให้จ่ายทั้งสองหมื่นทีเดียวฉันไม่มีปัญญาแน่ จะขอผ่อนเอาแล้วกัน”
(“งั้นก็หามาจ่าย แล้วฉันจะคืนบัตรให้”)
“ค่ะ คุณเพิ่มเพื่อนมาหน่อย เบอร์นี้”
(“อืม”)
ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ แต่ก็โชคดีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าถ้าเผชิญหน้าเขาจะเป็นอย่างตอนนี้หรือเปล่า หรือบางทีเขาอาจจะเหนื่อยใจที่ต้องมาทวงเงินกับฉัน เท่าที่ดูเขาคงรวยมากไม่อย่างนั้นคงไม่ขับรถบิกไบก์ราคาแพง ๆ แบบนั้นแน่
หลังจากวางสายด้วยความรู้สึกโล่งใจ ฉันก็กระโดดลงเตียงนอนเอาเรี่ยวแรง เพราะคืนนี้ต้องไปทำงานที่ร้าน กว่าจะได้นอนก็คงตีหนึ่งตีสองอย่างทุกที แล้วเย็นนี้รุ่นพี่ก็ยังนัดไปคุยเรื่องชมรมอีก
ครืด~
F เพิ่มคุณเป็นเพื่อนแล้ว