หลังจากที่เดินตามพี่ฟิวส์เข้ามาในห้อง ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่ได้นัดกับพี่ฟิวส์แต่นัดกับพี่ไมเนอร์ต่างหาก แล้วทำไมฉันถึงตามเขาเข้ามาด้วยเล่า
“พี่ไมเนอร์ล่ะคะ”
“...”
“ แล้วเขาจะเข้ามาตอนไหน”
“...”
เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ทั้ง ๆ ที่ฉันคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว เขาหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงกลางโต๊ะแล้วหันมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ขี้เก๊ก!
“เอางานนี้ไปทำ”
“...” ฉันเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยปาก ถาม “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็หนูรับปากกับพี่ไมเนอร์ว่าจะทำงานให้เขา ไม่ได้ทำงานให้พี่”
“แล้วเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เธอติดหนี้ฉันไม่ได้ติดนี่ไอ้ไมเนอร์”
“ก็หนูจะทำงานให้เขา แล้วพี่เขาจะจ่ายเงิน เพื่อใช้หนี้พี่ไง”
“...” เขาหัวเราะในลำคอ เหมือนเรื่องที่ฉันพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องตลก
ขำอะไรไม่ทราบ!
ฉันได้แต่คิดในใจแบบนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะขืนพูด คงมีเรื่องแน่ คนอย่างพี่ฟิวส์พร้อมที่จะมีเรื่องกับฉันได้ทุกเวลาอยู่แล้ว
“งั้นหนูไปตามหาพี่ไมเนอร์ที่ชมรมก็ได้ค่ะไม่รบกวนแล้ว” พูดจบ ฉันหันหลังทำท่าจะเดินออกไปแต่อีกคนก็ห้ามเอาไว้ด้วยประโยคหนึ่ง
“มันบอกให้ฉันสั่งงานเธอ ถึงไปก็ต้องกลับมาอยู่ดี”
“...” ฉันหันกลับมา มองเขาเหมือนไม่อยากจะเชื่อนัก ก่อนที่จะเหลือบไปมองยังเอกสารบนโต๊ะกองหนึ่ง ที่เขาเพิ่งเอามันออกมาวาง ตรงนั้น “แล้วพี่จะให้หนูทำอะไร”
“ตรวจเอกสารตรงนั้น” เขาไม่ได้แค่พูดแต่ยังกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ใจหนึ่งก็อยากฉีกหน้าด้วยการเดินออกไป แต่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะฉันติดเงินเขาอยู่ตั้งสองหมื่นและยังไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว
ทำงานให้พี่ฟิวส์หรือพี่ไมเนอร์ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก สุดท้ายก็ต้องใช้หนี้เขาอยู่ดี
“ทำยังไงคะ สอนหน่อยหนูไม่เคยทำงานแบบนี้”
ฉันเอื้อมมือไปหยิบเอกสารเล่มบนสุดที่กองอยู่บนโต๊ะมาดู มันไม่ใช่น้อย ๆ เลย เพราะน่าจะโครงการอะไรสักอย่างที่แต่ละคณะส่งมา ถ้าให้เดาคงเป็นโครงการที่เขาส่งกันเพื่อเสนอจัดกิจกรรมสำหรับนักศึกษา หากโครงการไหนที่ผ่านและได้รับอนุมัติ จากทางสโมสรนักศึกษาหรือทางอาจารย์ ถึงสามารถจัดกิจกรรมนั้นได้ล่ะมั้ง
“...” เขามองหน้าฉันนิ่ง ๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร สุดท้ายก็เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง “ตรวจดู โครงการที่พวกสโมสรแต่ละคณะส่งมา อันนี้เป็นตัวอย่างของคณะรัฐศาสตร์”
แล้วพี่ฟิวส์ก็อธิบายเกี่ยวกับพื้นฐานงานโครงการพวกนั้นที่ฉันต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะตรวจดูว่า โครงการไหนสมบูรณ์โครงการไหนที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่วนไหนที่ไม่สมบูรณ์ฉันจะต้องทำการขีดเส้นใต้เอาไว้ และเขาจะเป็นคนตรวจมันอีกที
โต๊ะของพี่ฟิวส์อยู่ตรงกลางห้อง ส่วนตัวที่ฉันนั่งอยู่ถัดจากเขาไม่แน่ใจว่าเป็นโต๊ะของใครเพราะบนโต๊ะนี้แทบไม่มีเอกสารอะไรวางอยู่เลย มันว่างและสะอาดตาที่สุด จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อวานมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
ทั้งห้องนี้มีแค่เราสองคน ภายในห้องจึงมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงของเมาส์และแป้นพิมพ์ที่พี่ฟิวส์กำลังทำงานอยู่เท่านั้น บรรยากาศมันจึงแลดูอึดอัดชอบกล
“อะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าฉันลอบมองอยู่
“คือว่า เปิดเพลงได้ไหม เงียบจัง”
เขาไม่ตอบ หันหน้ากลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตัวเอง ไม่ถึงนาทีเสียงดนตรีของเพลงฮิตเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น ฉันจึงหันไปยิ้มและขอบคุณตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ”
“เรื่องมาก ให้ทำงานยังจะขอเพลง”
ฉันไม่ตอบได้แต่ยิ้มกับความใจดีเรื่องแรกที่เจอจากเขา ตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไป จนกระทั่งมีโครงการหนึ่งที่ตัวเองสงสัยจึงลุกจากเก้าอี้ไปถามอีกคน
“ขอถามอันนี้หน่อยได้ไหม”
“อืม”
ฉันถามไปพี่ฟิวส์ก็อธิบายกลับมาอย่างละเอียด ไม่คิดเลยว่าเขาจะเก่งขนาดนี้ เรียนวิศวะก็ว่าหนักแล้ว มาอยู่สโมสรนักศึกษาอีก ถ้าเป็นฉันสมองคงแตกตั้งแต่แรกแล้ว
ระหว่างที่กลับมานั่งทำงานไม่ถึงนาที ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเขาคือหนึ่งในห้าคนเมื่อคืนนี้ ทันทีที่เขาเห็นฉันก็มีท่าทีแปลกใจ แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นสีหน้าก็ถูกปรับให้เป็นปกติ
“พวกมันล่ะ”
“พวกมันไม่เข้ามาแล้ว”
รุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ฉันสังเกตเห็น ดูเย็นชาและไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นด้วย
“ออ”
“พี่ไมเนอร์ก็ไม่มาเหรอคะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้ เพราะเขาคือรุ่นพี่ในคณะ มันเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุดถ้าเทียบกับทุกคนที่อยู่ในสโมฯกลาง
“ไม่ มันไปกับ…สาว”
“ออ ค่ะ”
ฉันพยักหน้ารับรู้แล้วก้มทำงานของตัวเองต่อ แอบฟังพวกเขาสองคนคุยกันด้วยแต่ไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องงานที่พี่ฟิวส์กำลังทำอยู่นั้น จับใจความได้คร่าว ๆ งานนั้นคงเป็นโปรเจกต์จบของพวกเขา
เพิ่งสังเกตเห็นว่าสองคนนั้นใส่เสื้อช็อปมาเหมือนกันและเรียนสาขาเดียวกันด้วย นั่นหมายความว่าพี่ฟิวส์กับรุ่นพี่คนนี้คงสนิทกันมากที่สุด แต่ฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสนิทสนมนั้นเลยเพราะเพื่อนพี่ฟิวส์ดูเงียบขรึมสุด ๆ
“พี่เขาชื่ออะไรเหรอ” ฉันถามด้วยความอยากรู้เมื่อรุ่นพี่คนนั้นเดินออกไป แค่รู้จักชื่อกันไว้ก่อนครั้งต่อไปจะได้เรียกถูก
“…” พี่ฟิวส์ไม่ตอบ เขาทำเหมือนว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดอีกเช่นเคย “ให้มาทำงาน ไม่ได้ให้มาสนใจเรื่องผู้ชาย”
“แค่อยากรู้ชื่อค่ะ เผื่อครั้งหน้าเจอกันอีกจะได้เรียกถูก” ฉันวางเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วหันไปมองเขาอย่างเอาเรื่อง “อย่ามาหาเรื่อง”
“...” เขาหัวเราะในลำคอ เกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ชะมัด มันเหมือนเขาตัดบทด้วยการพูดว่าไม่เชื่อ “ทำงานไปอย่าพูดมาก”
ฉันสะบัดหน้ากลับมา แต่ตั้งใจทำงานของตัวเองไม่เท่าไหร่เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นยัยรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ พอเห็นฉันหน้าเธอก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ