“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม”
“ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสาร เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ
“ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบ
ไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ
“วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…”
“ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกิน
ปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าหล่อนไม่ได้คิดดีกับฉันเลย แต่ทั้งหมดนี้น่าจะมีผลมาจากคนที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้าง ๆ นี้
พี่เมย์นั่นชอบพี่ฟิวส์อยู่แน่นอน! ฉันฟันธง!
“หนูกลับได้กี่โมงคะ”
นั่งทำงานไปสักพักท้องก็เริ่มหิวเลยแกล้งถามพี่ฟิวส์ไป แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นจากงาน มองฉันด้วยสีหน้ารำคาญ
“ทำงานได้นิดหน่อย หาเรื่องจะกลับอีกแล้ว ขี้เกียจจังวะ”
“ไม่ได้ขี้เกียจ แต่พี่ควรแจ้งเวลาหน่อยว่าหนูต้องทำงานถึงกี่โมง บางวันหนูก็ต้องไปทำงานร้านเหล้า ไม่ได้มาแบบนี้ทุกวัน” ฉันเถียง เมื่อถูกกล่าวหาอย่างนั้น ถ้าขี้เกียจไม่นั่งทำตั้งแต่บ่ายสามจนถึงหกโมงแบบนี้หรอก “แล้วก็ควรบอกด้วยว่าจะให้มาช่วยงานถึงเมื่อไหร่ หนึ่งเดือน สองเดือนหรือสามเดือนถึงจะพอที่ต้องจ่ายให้น่ะ”
“…ทีอย่างนี้ล่ะเก่ง” พี่ฟิวส์หัวเราะเบา ๆ แล้วขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง “วันนี้เธอต้องทำให้เสร็จกองนั้น วันอื่นยังไม่ได้คิดเวลา”
พูดจบเขาก็เดินหนีออกไปนอกห้อง ไม่รอให้ฉันโวยวายต่อ มันน่าโมโหนัก แล้วงานที่กองอยู่นั่นผ่านมาสามชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงครึ่ง ถ้าทำงานโดยไม่มีเป้าหมายว่าจะใช้หนี้หมดตอนไหนขอไม่ทำดีกว่า
ทว่าสุดท้ายฉันก็ต้องนั่งก้มหน้าทำงานต่อ วันนี้ไม่เคลียร์พรุ่งนี้ก็ต้องจัดการเองให้รู้แล้วรู้รอด
พี่ฟิวส์กลับมาหลังจากที่เขาหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในมือถือถุงใสที่มีข้าวกล่องอยู่สองกล่อง เขาหยิบมันขึ้นมา ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะของฉัน ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะทำงาน โดยที่ไม่พูดไรสักคำ แถมยังทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ฉันอีกต่างหาก
“ขอบคุณค่ะ ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้” ฉันขอบคุณเป็นมารยาทก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวกล่อง กล่องนั้นขึ้นมา
ถามว่าเขินมั้ยที่ต้องทานข้าวของเขา ตอบเลยว่าไม่เพราะตอนนี้ฉัน หิวจนแสบท้องหมดแล้ว อย่างน้อยเขาก็ใจดีที่อุตส่าห์ซื้อมันมาให้
หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ ส่วนพี่ฟิวส์ก็ทำงานของตัวเอง ทั้งห้องมีเพียงเสียงเพลงที่พี่ฟิวส์เปิดเอาไว้เพราะทั้งฉันและเขาต่างทำงานของตัวเอง อีกอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร พอคุยกันเมื่อไหร่ก็เหมือนเราจะมีปากเสียงกันตลอด
“ไอ้ฟิวส์ ยังไม่กลับเหรอ”
“อืม ทำงาน”
รุ่นพี่คนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พอเห็นฉันเขาก็ทำสีหน้าแปลกใจเช่นเดียวกันกับรุ่นพี่คนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เขาถามแล้วมองเพื่อนตัวเองสลับกับมองฉันไปมาพอพี่ฟิวส์ตอบเขาก็พยักหน้ารับรู้
“กูเข้ามาเอาของพอดีเห็นเปิดไฟไว้ เลยเข้ามาดู งั้นกูไปก่อนนะ”
“เออ เจอกัน”
พอประตูห้องปิดลงฉันก็ก้มมองนาฬิกาของตัวเองที่อยู่บนข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว งานที่กองอยู่บนโต๊ะก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย คำนวณเวลาแล้วคงเกือบสี่ทุ่มกว่าจะได้กลับหอ คิดว่าวันนี้จะได้นอนพักยาวเพราะพรุ่งนี้ต้องไปร้าน สุดท้ายก็คงได้นอนดึกเหมือนเดิม
“เหลือเยอะไหม” พี่ฟิวส์หยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ แล้วเขาก็เอื้อมมือไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกัน
“อีกสิบโครงการค่ะ” ฉันตอบ แล้วดันเอกสารที่ยังไม่ได้ตรวจไปตรงกลางโต๊ะ
ฉันลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเขากำลังหยิบเอกสารไปดู เพราะเห็นว่าตอนนี้มันดึกมากแล้วเขาคงอยากช่วยนั่นแหละ หรือเอกเหตุผลก็คือ เขาไม่อยากเฝ้าชั้นจนดึกดื่น อยากกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน
พี่ฟิวส์เป็นคนที่หน้าตาดีมาก ถ้าไม่ติดที่เขาชอบหาเรื่องทะเลาะล่ะก็ มั่นคงดูมีเสน่ห์กับฉันมากกว่านี้ ไม่แปลกใจหรอกที่ใคร ๆ แต่ก็ชอบและชื่นชมเขาทั้งหน้าตาดีมีความสามารถ ขนาดว่าเพื่อนสองคนของฉัน เห็นแล้วยังทำอย่างกับเห็นดารานักร้อง
ส่วนฉันนั้นไม่ค่อยรู้จักใครหรอกเพราะมัวแต่สนใจเรื่องงานกับครอบครัวที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย ถึงแม้จะได้ทุนเรียนฟรี แต่ แต่ผู้ใหญ่เขาก็รับผิดชอบเพียงแค่ค่าเทอมเท่านั้นส่วนค่ากิน ค่าใช้ทุกอย่างฉันกับยายต้องเป็นคนหายเอง เล่นตอนนี้ย้ายมาเดือดร้อนเรื่องของหน้า อีก ก็เหลือแต่ฉันที่ต้อง หาเงิน ให้ตัวเองและน้อง
“มองอะไร”
“เปล่า” ฉันรู้ตัวอีกทีว่าแอบมอง เขานานเกินไป ก็ตอนที่ถูกถาม จึงต้องรีบก้มหน้าดูงานของตัวเอง อย่างเนียน ๆ ก่อนที่จะนึกได้ว่า มีบางอย่างที่ต้องบอกพี่ฟิวส์ “พรุ่งนี้หนูต้องไปทำงานที่ร้านนะไม่ได้มาช่วย”
“...”เขาเงียบไปพักนึง แล้วจึงเอ่ยปากถามเบา ๆ “วันไหนบ้าง”
“ไม่แน่นอนค่ะ พอผู้จัดการร้านจะเป็นคนจัดวันให้ แต่อาทิตย์นี้มีวันจันทร์ พุธ ศุกร์เเล้วก็วันเสาร์”
“คิดยังไงไปทำงานนั้น” คำถามของเขาฟังไม่ออกว่ายินดียินร้าย น้ำเสียงที่ดังออกมาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด คงอยากรู้ไปอย่างนั้น
“เพื่อนแนะนำมาค่ะ แล้วมันก็ได้เงินดีกว่า งานที่เคยทำมาด้วย”
“ร้อนเงิน?”
“ค่ะ ร้อนเงิน ร้อนมากด้วย พอจะมีให้ยืมสักสองสามพันไหม”
ฉันตอกกลับไปเมื่อเจอคำถามของเขาที่ออกแนวดูถูก ไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้นหรอกแต่คนเราเวลาได้ยินอะไรแบบนี้มันรู้สึกไม่ดีนัก ไม่แปลกที่เขาจะมองฉันแบบนั้นเพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ค่าเทอมค่อนข้างสูง คนส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนได้ไม่ใช่แค่เพราะเรียนเก่งอย่างเดียวแต่ต้องมีฐานะด้วย
เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่าฉันจน แต่มีเด็กในมหาวิทยาลัยไม่กี่คนหรอกที่จะทุ่มเทเวลาหลังเลิกเรียนไปหาเงิน และคงมีไม่กี่คนเหมือนกันที่หาเงินมาจ่ายค่าห้องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตอนที่สอบชิงทุนได้ฉันก็ดีใจรีบรับโอกาสดี ๆ นี้ไว้ แต่ลืมไปว่าแค่ทุนเรียนฟรีมันไม่ได้เป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว เงินที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ไหนจะมีค่าหอพัก ค่าเดินทางอีก เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าฉันจะใช้มันครบหรือเปล่า