ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาคล้อย มีป้ายห้อยประดับเอวกันทุกคนแต่วัสดุที่ใช้มีความแตกต่างกัน และผู้ที่มีสิทธิ์ใช้ป้ายหยกคือศิษย์สายตรงของเจ้าหุบเขา
ในสำนักเมฆาคล้อยแห่งนี้ มีปรมาจารย์อยู่สามท่าน โดยหุบเขาต้าไป่มีปรมาจารย์หลิงซ่งปกครอง หุบเขาเอ้อร์หงส์มีปรมาจารย์จางหยวน และหุบเขาซานเฮยมีปรมาจารย์หลงขุยเป็นผู้ดูแล
ไป๋โม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หลิงซ่ง นอกจากความสามารถในการฝึกบำเพ็ญของนางแล้ว อีกเหตุผลเป็นเพราะเจ้าสำนักเห็นแก่ท่านพ่อท่านแม่ของนาง
ในอดีตท่านพ่อท่านแม่ของซูลี่เคยเป็นผู้อาวุโสภายในสำนัก แต่ทั้งคู่สิ้นชีพเพราะไปทำภารกิจ ด้วยความรู้สึกละอายใจต่อผู้อาวุโสทั้งสอง ทางเจ้าสำนักจึงมอบหมายให้ปรมาจารย์หลิงซ่งจึงรับไป๋โม่ที่เป็นเด็กกำพร้ามาเป็นศิษย์สายตรงของตนเอง
ปรมาจารย์หลิงซ่งสั่งสอนเลี้ยงดูนางอย่างดีราวกับบุตรีคนหนึ่ง ซึ่งไป๋โม่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังด้วยความสามารถของนาง ในตอนนี้นางกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความก้าวหน้ามากกว่าคนรุ่นเดียวกัน และได้รับฉายาว่าเทพธิดาแห่งขุนเขา
ส่วนฉางคุนศิษย์สายตรงของปรมาจารย์จางหยวนแห่งหุบเขาเอ้อร์หงส์ อันที่จริงปรมาจารย์หลิงซ่งก็อยากได้ฉางคุนที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นเข้ามาเป็นศิษย์สายตรงเช่นกัน แต่ว่าฉางคุนกลับไม่ตกลงและเลือกที่จะเข้าไปเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์จางหยวนแทน
เรื่องที่ฉางคุนไม่อยากเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับไป๋โม่นั้น มีสาเหตุมาจากในช่วงแรกเขาถูกกลั่นแกล้งจากบรรดาเพื่อนร่วมสำนักที่มีระดับการฝึกฝนมากกว่าเขา แต่ฉางคุนไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง
ดังนั้นในช่วงสองสามเดือนแรกที่เขามาที่นี่เขาได้รับบาดเจ็บเกือบทุกวัน แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะกลั่นแกล้งทำร้ายเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมทิ้งการฝึกตน เด็กหนุ่มสาบานในใจว่าวันหนึ่งเขาจะขึ้นสู่จุดสูงสุด และเขาจะตอบแทนความอัปยศคืนให้กับพวกที่รังแกเขาเป็นสองเท่า!
ไป๋โม่ในร่างเดิมก็เคยเห็นในตอนที่พระเอกถูกกลั่นแกล้งเช่นกัน ในตอนนั้นสถานะของคนทั้งคู่แตกต่างกันมาก ไป๋โม่คือศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หลิงซ่งสำนัก ส่วนฉางคุนคือศิษย์สายนอกที่มีระดับพลังต่ำ ในเวลานั้นดวงตาของพวกเขาสบกันโดยบังเอิญ
"ซวยแล้ว!...ศิษย์พี่หญิงมา" เมื่อกลุ่มเด็กที่กลั่นแกล้งฉางคุน เห็นศิษย์พี่หญิงพวกเขาก็วิ่งหนีไป การรังแกเพื่อนร่วมสำนักเป็นสิ่งต้องห้าม หากพวกเขาถูกจับโดยศิษย์พี่หญิงผู้เย็นชาคนนี้ พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน
ไป๋โม่ไม่ได้ไล่ตามเด็กพวกนั้น เพราะนางค่อนข้างดูถูกฉางคุนอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าเขาอายุมากกว่าเด็กพวกนั้น แต่กลับต่อสู้พวกเขาไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดคุยกัน แต่สายตาที่นางมองเขานั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
สายตาเหยียดหยามของไป๋โม่ในวันนั้นเป็นแรงผลักดันให้กับฉางคุน เขาบังคับตนเองอย่างหนัก ฝึกฝนไม่ยอมพักผ่อนเพื่อเพิ่มระดับพลังให้กับตนเอง และด้วยรัศมีของพระเอกเขาก็ได้รับยาวิเศษและตำราฝึกบำเพ็ญที่เหมาะกับรากวิญญาณของเขา
สามปีต่อมาสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไประดับพลังของฉางคุนดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด และระดับการบำเพ็ญก็มาถึงขั้นก่อกำเนิดในตอนที่อายุได้เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
ไป๋โม่คิดว่าพระเอกคนนี้ตั้งป้อมในใจว่านางเป็นศัตรูและต้องการที่จะเอาชนะมาตลอด และในเวลาอันใกล้นี้เขาจะต้องมีระดับการฝึกบำเพ็ญที่สูงกว่านางแน่!
ดังนั้นเวลานี้นางไม่ควรสร้างความแค้นให้กับเขาเพิ่มขึ้น และต่อไปต้องพยายามทำตัวเป็นศิษย์พี่หญิงที่ดีให้กับเขา
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในใจ ฉางคุนก็เดินมาถึงตรงหน้าของนางแล้ว ดวงตาสีดำขลับของเขามองใบหน้าของศิษย์พี่หญิงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หลุบต่ำลง และเอ่ยปากเรียก "ศิษย์พี่หญิง"
ไป๋โม่มองใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของฉางคุน เธอพยักหน้าเล็กน้อยให้กับทั้งคู่ และเดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่มีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับพวกเขาทั้งสอง
ขณะที่นางเดินผ่านไป ฉางคุนได้กลิ่นหอมเย็น ๆ จาง ๆ มาจากตัวของนาง ชายหนุ่มขมวดคิ้วกลิ่นหอมจากตัวของนางทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
หลังจากที่ไป๋โม่เดินจากไป ซูเหมยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ศิษย์พี่หญิงไป๋โม่ท่าทางน่ากลัวเกินไป ทุกครั้งที่ข้าเห็นนาง ข้าพยายามควบคุมลมหายใจให้มีเสียงเบาที่สุดเพราะกลัวว่าจะทำให้นางขุ่นเคือง… แต่ว่าศิษย์พี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบศิษย์พี่หญิงไป๋โม่เลยนะเจ้าคะ"
การที่ซูเหมยถามออกมาเช่นนี้เป็นเพราะว่า ฉางคุนไม่ยอมมองหน้าศิษย์พี่หญิงในเวลาที่พูดคุยกัน ซูเหมยไม่เคยเห็นเขาแสดงกิริยาเช่นนี้กับศิษย์พี่คนอื่นๆในสำนักมาก่อน ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่าชายหนุ่มไม่ค่อยชอบศิษย์พี่หญิงผู้นี้
"เจ้ากลับไปที่สำนักก่อนเถอะ ข้ายังต้องไปฝึกกระบี่อีก" ฉางคุนไม่ได้ตอบซูเหมย เขาหันหลังแล้วเดินออกมา โดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกของซูเหมย ตอนนี้ในใจของชายหนุ่มนึกสงสัยว่าทำไมสายตาที่ศิษย์พี่หญิงมองตนนั้นไม่ได้มีท่าทีดูถูกเหมือนดั่งเช่นเคย...