ตึกสูงเฉียดฟ้านี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสไตล์ที่ทันสมัยมากขึ้น เนื่องด้วยตัวบริษัทที่มีมานานทำให้อาคารเก่าหมดอายุการใช้งานไปแล้ว การก่อสร้างตึกใหม่นี้เพิ่งแล้วเสร็จไม่นาน
เดอะเกรทฟีเจอร์กรุ๊ปเป็นเครื่องหมายการค้าที่หลายคนรู้จักหรือเห็นโดยทั่วไปจากอักษรย่อจีเอฟ (Gf) กลุ่มบริษัทซึ่งประกอบด้วยหลาย ๆ บริษัทที่ประกอบธุรกิจหลากหลายภายใต้เครือบริษัทเกรทฟีเจอร์ จำกัด
ประธานบริหารถูกสืบทอดอำนาจผ่านสายเลือดในตระกูลเกียรติภูมิแม้ว่าจะมีนักลงทุนเวียนเข้ามาซื้อหุ้นหลายต่อหลายคน แต่การมีความน่านับถือและความเชื่อมั่นยังตกเป็นของตระกูลนี้เช่นเดิม
วิลล์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เขาเป็นที่รู้จักในนามของผู้สืบทอดอำนาจนี้ วิลล์ในวัย 26 ปีเข้ามาฝึกงานในทีมคณะกรรมการบริหาร (Board of Directors ) เพื่อฝึกประสบการณ์เรียนรู้ที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดในอนาคตนั่นคือ...ประธานบริษัท
ใบหน้าคมสัน และเครื่องหน้าครบส่วนถูกถ่ายทอดจากผู้เป็นบิดาที่มีแฝดเป็นคุณอาของเขา ซึ่งคุณอาของเขาเป็นท่านประธานให้กับบริษัทนี้ ในขณะที่พ่อของเขาเคยเข้ารับการแต่งตั้งเป็นประธานบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง
ธนกฤธ เกียรติภูมิ หรือไทป์ เป็นชื่อของผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแห่งนี้ เขาเป็นมีศักดิ์เป็นคุณอาของวิลล์ อาไทป์เป็นชื่อเรียกที่วิลล์ใช้เรียกตั้งแต่เด็ก และตอนนี้เขาต้องเรียกอีกฝ่ายว่าท่านประธานเช่นเดียวกับทุกคนในบริษัท
วันนี้เป็นอีกวันที่วิลล์ถูกเรียกเข้าพบ เนื่องจากการฝึกงานที่ไม่ใส่ใจนักของเขาทำให้งานหลาย ๆ อย่างไม่เป็นไปตามระเบียบแผนงานที่ถูกวางไว้
“เห้อ...” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาพร้อมกับสบสายตากับหลานชายคนเดียวนี้ด้วยความรู้สึกปวดกบาล ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุดเต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ
“ขอโทษครับ” เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงด้วยความรู้สึกผิด ธนกฤธส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ หลานชายของเขามีปัญหาในการเข้าร่วมกับผู้คนเยอะ ๆด้วยความที่ไม่ชอบคนเยอะเป็นนิสัยส่วนตัว การเข้ามาในบริษัทที่มีพนักงานหลายร้อยคนมันจึงเป็นเรื่องยาก
“มันยากมากเลยใช่ไหมล่ะ ทั้งต้องฝืนตัวเองมาทำงานกับคนเยอะ ๆ ไม่ได้เป็นหมออย่างที่อยากเป็นอีก...เห้อ”
“เอ่อ ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ” วิลล์เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองเช่นเดียวกัน หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำมันได้เลย
“พอแค่นี้แหละ ยังไงเราก็ต้องรักษาบริษัทของเราเข้าใจไหม จะให้ใครมาบริหารแทนไม่ได้”
“ครับ ผมจะพยายาม งั้นผมขอตัวเลยนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางค้อมศีรษะให้กับคุณอาของเขาอีกครั้งก่อนที่จะหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานขนาดใหญ่นี้ไป
“เห้ออ...” วิลล์พ่นลมหายใจออกจากปลายจมูกของเขา ก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเพื่อโทรหาแฟนสาวของตน ชายหนุ่มต้องการกำลังใจจากเธอ หากแต่ว่าพอยกโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมานั้น
ครืดด ครืดด~
กลับมีเสียงเรียกเข้าเสียอย่างนั้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความมึนงงเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์แปลก ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าเบอร์ของเขาทุกคนจะสามารถโทรเข้าได้ ดังนั้นอาจจะเป็นเพื่อนของเขาที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ของตนโทรก็ได้ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็กดรับสายในทันที
ติ๊ด!
“ฮัลโหลครับ” วิลล์กรอกเสียงลงไป แต่กลับไร้เสียงตอบกลับ ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่พูดผมวางนะครับ” ทว่ารอบนี้กลับมีเสียงตอบกลับจากต้นสาย
[หวัดดี]
“หือ...”
[ออกมาหาหน่อย]
“อิทธ์??” น้ำเสียงคุ้นหูนั้นทำให้วิลล์ดึงโทรศัพท์ออกจากหูราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าต้นสายที่โทรหาเขานั้น...เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง
[ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม มีเรื่องจะพูดด้วย]
ติ๊ด!!
“เห้ย! เดี๋ยวสิวะ!” เสียงตัดสายของต้นสายทำให้วิลล์ร้องออกมาเสียงดัง ชายหนุ่มยังคงตกใจไม่หายเพราะว่าเขาไม่นึกคิดว่าอิทธ์จะโทรหาเขาและการตัดสายไปเสียดื้อ ๆแบบนี้ทำให้เขาหัวเสียไม่น้อย ซึ่งเป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่อีกฝ่ายไม่เคยติดต่อเขามาเลย...
ขณะเดียวกันที่อิทธ์ได้เดินทางมายังร้านกาแฟที่อยู่ตรงกันข้ามกับตึกสูงเฉียดฟ้านี้ ชายหนุ่มหันหน้าไปมองยังชั้นสูงสุดของตึกด้วยความรู้สึกบางอย่าง
บิดาผู้ให้กำเนิดเขาคงอยู่ในนั้น ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อตนยังมีความคิดว่าเขาคนนั้นเป็นพ่อของตนอยู่ ทั้ง ๆที่วันที่เขาจากลามาชายผู้นั้นได้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกจากเขาไปแล้ว เสียงของเขายังคงก้องกังวานในหัวไม่เสื่อมคลาย
“หึ พ่อ? ว้าวลืมไปเลยว่ามีลูกอีกคน”
“ทำไมล่ะครับ คิดว่ามีลูกคนเดียวทีหลังก็ไม่ต้องมายุ่งกับผม ไม่ต้องตามและห้ามยุ่งกับผมอีก”
“หึ โอเค”
“ชีวิตที่ไร้เงินมันจะสอนมึงเอง”
“ไทป์...”
“ออกไปสิ แล้วอย่าลืมว่าก้าวขาออกไปเอง”
“หึ หึ งั้นผมไปก่อน คุณจะได้มีลูกคนเดียวสมใจอยาก”
“อิทธ์!”
“อ้อ ผมยังเป็นลูกแม่ ไม่ต้องห่วง”
แม้ว่าเข็มของนาฬิกาจะหมุนวนจนทำให้เวลาล่วงเลยมามากกว่าห้าปีแล้ว ภาพจำในวันที่เขาก้าวขาออกมาจากบ้านหลังใหญ่ยังคงไม่เลือนราง มันยังคงมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา แต่หากถามเขาว่าเขาจะกลับเข้าไปอีกไหม ชายหนุ่มคงตอบได้เต็มปากว่า...ไม่
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสง่างามของวิลล์กำลังตกเป็นเป้าสายตาของอิทธ์ ความร่ำรวยเงินทองเขาที่เคยได้สัมผัสมัน แต่ตอนนี้ข้าวไข่เจียวคงเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับเขา
ขณะเดียวกันที่วิลล์ก็ได้เดินข้ามถนนมาด้วยความร้อนรนใจ เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอน้องชายคนนี้ ด้วยความที่พ่อของทั้งสองเป็นฝาแฝดกันและแน่นอนว่าแม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน คนทั้งคู่ก็มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน
กรี๊ง~
เสียงกระดิ่งหน้าบานประตูดังขึ้นเมื่อวิลล์เปิดประตูเข้ามา ก่อนที่เขาจะมองไปยังน้องชายของเขาที่กำลังมองมาที่เขาเช่นเดียวกัน แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจนั้นปรากฏบนใบหน้าของวิลล์เพียงคนเดียว เพราะอีกฝ่ายมีสีหน้านิ่งเรียบ
“ไง...” ชายหนุ่มเอ่ยปากทักอิทธ์ ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชิญ
“ก็ไม่ไง มองดูก็น่าจะดูออก” ขณะเดียวกันที่อิทธ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง การแต่งกายที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวนั้นมันดูยากเสียอย่างนั้นหรือ เสื้อยืดสีดำที่เริ่มซีดแล้วของเขากับกางเกงยีนตัวเก่ามันก็บ่งบอกว่าเขานั้นเป็นอยู่อย่างไรแล้ว อีกฝ่ายจะถามเขาเพื่อตอกย้ำอย่างนั้นใช่ไหม ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างนั้น
“ดีใจที่ได้เจอ นานมากแล้วนะที่ไม่ได้เจอมึง” วิลล์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นมิตรอะไรกับเขา
“กูรู้ข่าวมึงจากเพียงฝัน เห็นบอกว่าก็สบายดี”
“อืม เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” แม้อีกฝ่ายพยายามจะชวนคุยหากแต่อิทธ์กลับไม่ได้สนใจอะไรในความเป็นห่วงเป็นใยจากวิลล์
“มีอะไรล่ะ แล้วทำไมมึงรู้จักเบอร์กู”
“เอากับฝัน...” วิลล์พยักหน้าเข้าใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของอิทธ์แล้วนึกหมั่นไส้ เพราะจริง ๆแล้วคนที่ควรจะได้ขึ้นบริหารงานต่อจากคุณอาของเขาคืออิทธ์ที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ส่วนเขาเป็นเพียงคนในตระกูลที่มีหุ้นส่วนรองลงมา แต่ด้วยความเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน และเหตุผลบางอย่างเรื่องแฟนสาวของเขาทำให้วิลล์ยอมรับเงื่อนไขนี้ไปโดยปริยาย
“มีอะไร แล้วเมื่อไรจะยอมกลับมา”
“ไม่กลับหรอกไม่ต้องคิด แค่อยากจะมาบอกให้พี่รับผู้หญิงคนหนึ่งเข้าทำงานหน่อย”
“ใคร...แฟน?”
“เปล่า เพื่อน”
“หึ”
“ขำอะไร”
“คนอย่างมึงจะทำเพื่อเพื่อน ยอมมาเจอกูเพราะเพื่อน?”
“ก็เพื่อน...ทำไม”
“เปล่า” รอยยิ้มมุมปากของวิลล์ทำให้อิทธ์ดวงตาแข็งกระด้างด้วยความไม่พอใจ แต่ทำไงได้ตอนนี้ตนมาร้องขอความช่วยเหลือ
“ก็รับไป รับเธอเข้าไปทำงาน เธอชื่อพัดชา”
“ไม่ได้หรอก ก็รู้ว่าอาไทป์ไม่ชอบพวกใช้เส้น มึงไปคุยดิเผื่อได้ หึ”
“ตลก” อิทธ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ขณะที่วิลล์ก็ได้พ่นลมหายใจออกมาจากปลายจมูกคม เขาแค่อยากพูดให้อีกฝ่ายยอมกลับไปคุยกับพ่อของตนก็เท่านั้น
“กูมาฝึกงานที่นี่ได้สองปีมันก็ไม่ได้แย่หรอกนะการเป็นผู้บริหาร มันเหมาะกับมึงมาก” อิทธ์รับรู้ว่าพี่ชายของเขานั้นไม่ชอบงานบริหาร ขณะที่เขาก็ไม่ชอบการเป็นผู้บริหารเช่นกัน เพราะการเป็นผู้บริหารแบบพ่อเขาทำให้เขากลายเป็นบุคคลในความลับจนเติบใหญ่
“มันไม่ได้แย่พี่ก็ทำไปไง ถ้าทำไม่ได้ก็ไปบอกไอ้อัทธ์มัน”
“อัทธ์? อันนั้นยิ่งแล้วใหญ่” วิลล์หมายถึงอัทธ์ที่เป็นฝาแฝดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา
“แม่งลำเอียงชิบ” อิทธ์สบถออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเสยผม ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าอัทธ์ที่เป็นพี่ชายฝาแฝดของเขานั้นได้รับความรักจากพ่อบังเกิดเกล้ามากกว่าเขา
“เห็นว่าจะกลับมาเรียนกฎหมายที่นี่” สิ่งที่วิลล์พูดทำให้อิทธ์เลื่อนสายตามาสบตากับพี่ชายของเขา ก่อนที่เขาจะพ่นลมหายใจออกมา ใครจะมาใครจะไปก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาแล้วเพราะเขาเป็นคนเลือกเดินออกมาจากครอบครัวนี้เอง
“ผมไปละ มาบอกแค่นี้แล้วอย่าลืมทำให้...ตอนนี้เธอน่าจะรอสมัครงานอยู่ พี่ไปสัมภาษณ์เองก็ได้นะ แล้วก็อย่าบอกว่าผมช่วย” วิลล์เพียงแค่ยกยิ้มออกมา อิทธ์อาจจะไม่รู้ตัวว่าแววตาเวลาที่เขานั้นเอ่ยพูดถึงหญิงสาวผู้นั้นเป็นอย่างไร แต่เขาในฐานะคนมองนั้นดูออก
“อาแอนนี่บ่นคิดถึงอยู่นะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกผมโทรหาแม่ทุกวัน”
“กลับบ้านมาเถอะ มึงยังเลือกได้ ก็แค่เข้าไปขอโทษ แล้วคุยกันดี ๆ มันอาจจะ...” วิลล์ยังพูดไม่จบอิทธ์ก็ลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจเสียงของเขาเลยสักนิด
สายตาคมกริบมองตามแผ่นหลังหนานั้นด้วยความรู้สึกยากจะควบคุม อิทธ์และอัทธ์เป็นลูกของคุณอาของเขา และแน่นอนว่าทั้งคู่เป็นน้องชายของเขา ด้วยเหตุผลจากอดีตทำให้น้องของเขาไม่ชอบพอในตัวของคนเป็นพ่อมากนัก และการเป็นใหญ่เป็นโตในสังคมนั้นเป็นเรื่องที่น้องชายคนนี้ขยาด
หลายชั่วโมงต่อมา...
-พัดชา-
อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเกิดมาจน เป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าทำให้ฉันไม่เคยศรัทธากับอะไร และแน่นอนว่าเวทมนตร์ที่อิทธ์พูดนั้นฉันไม่เชื่อ แต่วันนี้...
ฉันต้องเชื่อแล้วล่ะ
“กรี๊ดดดด~” ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังภายในห้องน้ำของบริษัทจีเอฟ ต้นเหตุเสียงกรีดรองของฉันคือฉันได้งานแล้ว!
ใช่! ฉันได้งานแล้วและใช่อีกที่เวทมนตร์ของอิทธ์เป็นจริง ตอนนี้ใจของฉันยังเต้นแรงเหมือนกับตอนที่ฝ่ายบุคคลบอกฉันว่าฉันได้งานโดยไม่ต้องสัมภาษณ์ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มากจนฉันลนลานไปหมดรวมถึงตอนนี้ที่มือฉันสั่นมาก แต่ว่าฉันต้องโทรไปบอกอิทธ์ให้เขารับรู้ว่าเวทมนตร์ของเขาเป็นจริงแล้ว
คิดได้ดังนั้นฉันก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอิทธ์ซึ่งก็เป็นฉันเองที่มีเบอร์ของเขาอยู่แล้วในเครื่อง
ตื๊ดด ตื๊ดด~
รอสายนานพอสมควรกว่าที่ปลายสายจะกดรับ ซึ่งทันทีที่เขากดรับฉันก็กรอกเสียงลงไปในทันที
ติ๊ด!
“อิทธ์!! ฉันได้งานแล้ว!”