ยามกลับมาถึงเรือนซวี่หยาง ชางฉือหมิงยังคงอารมณ์ดี ในหัวมีแต่ภาพของเด็กน้อยจ้ำม่ำหน้าตาน่ารัก พออาบน้ำชำระกายเสร็จแล้วก็เตรียมจะเข้านอน สายตาพลันเหลือบไปเห็นปิ่นหยกที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถอนใจออกมา
มิใช่ว่าไม่อยากจะมอบให้ แต่เกรงว่านางจะเข้าใจผิด เขาเดินไปหยิบปิ่นหยกไว้ในมือ ในใจนึกย้อนไปถึงคืนสมรส
การแต่งงานนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเหมาะสม กว่าจะได้สมรสเขาถึงต้องกับขัดแย้งกับมารดา เดิมทีเจาซื่อต้องการให้รับลี่เซียงเข้ามาเป็นอนุ แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุตรชายนางเป็นคนผิด แต่เจาซื่อยังคงต้องการเก็บฐานะภรรยาเอกเอาไว้ให้จินหลิง
เพราะมารดาไม่เห็นชอบ งานสมรสของบุตรชายจึงมิอาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ควรจะมีก็มีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ล้วนแล้วแต่เป็นบุตรชายของนางจัดการ
ตอนก้าวเข้าไปในห้องหอ ชายหนุ่มใจเต้นรัว ถึงนางจะมิใช่สตรีที่มารดาของเขาหมั้นหมายไว้ให้ แต่ในใจของชางฉือหมิงกลับมิได้นึกเสียใจแม้แต่น้อย กับจินหลินที่เป็นคู่หมาย เขาก็เพียงทำตามคำสั่งผู้ใหญ่ หาได้มีความรู้สึกอื่นใด จะว่าไปแล้วตั้งแต่ได้เห็นลี่เซียงครั้งแรกในกระโจมคืนนั้นเขาก็ไม่อาจลบนางจากความคิดได้
ลี่เซียงนั่งคลุมหน้ารอเขาอยู่ที่ขอบเตียง ร่างอรชรสวมชุดสีแดงสดนั่งตัวตรง สองมือที่ประสานอยู่บนตักบีบแน่น เผยให้เห็นอารมณ์ตึงเครียดของเจ้าสาว ยามที่ผ้าคลุมหน้าสีแดงเลื่อนหลุด เขาพลันเห็นดวงหน้างามแฉล้มนั้นก้มลงอย่างเอียงอายและหวาดหวั่น ในใจพลันบังเกิดความเอ็นดูขึ้นมาหลายส่วน เขาพยุงนางลุกขึ้นไปดื่มสุรามงคล ตั้งใจว่าแต่งนางมาแล้วจะปฏิบัติต่อนางอย่างให้เกียรติ นางคงมีชีวิตที่ยากลำบากในตระกูลเดิมเพราะมีมารดาเลี้ยง แต่จากนี้เขาพร้อมจะเป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาและคอยบังลมฝนทั้งหลายให้
คราบสุราฉ่ำวาวติดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มแดง ปรางแก้มเป็นสีระเรื่องามจับตา ยามที่เขาอุ้มนางไปที่เตียงก็สัมผัสได้ว่าร่างนั้นสั่นน้อยๆ ชางฉือหมิงรู้ว่าพฤติการณ์หยาบช้าที่เขากระทำต่อนางในคราวก่อนคงจะยังทิ้งเงามืดไว้ในใจของหญิงสาว คืนนี้เขาจึงกระซิบถ้อยคำปลอบประโลมและสัมผัสนางอย่างอ่อนโยนยิ่ง เบื้องหลังม่านมุ้งสองร่างแนบชิดรัญจวน เขากอดก่ายนางอย่างกระหาย หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแทบจะอดใจรอให้ถึงคืนนี้ไม่ไหว แม้จะร่วมรักกับนางไปหลายครั้ง ความปรารถนาที่อดกลั้นไว้ก็ยังไม่อาจสงบได้โดยง่าย แต่พอเห็นร่างน้อยชื้นเหงื่อนอนระทดระทวย ก็จำต้องห้ามใจมิให้รังแกนางอย่างยากลำบาก
"เซียงเอ๋อร์"
เขากระซิบริมหูนาง กอดนางไว้ในอ้อมอก รู้สึกพึงใจยิ่งนัก มือแข็งแรงลูบไล้ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสลวยอย่างแผ่วเบา
ลี่เซียงหลับไปด้วยความสะลึมสะลือ นางฝันไปว่าตนเองยังเป็นเด็กหญิงอยู่ในเรือนเดิม มารดาของนางสิ้นแล้ว รอบกายเหลือเพียงแม่นมหลี่และบ่าวอื่นๆ ที่จงรักภักดี ท่านพ่อไม่สนใจนาง เขายังมีลูกสาวลูกชายคนอื่นที่โปรดปรานมากกว่า ยามนั้นนางราวกับเป็นคนแปลกหน้าในจวนของตัวเอง
มีเพียงคุณชายสามเว่ยที่ติดตามบิดามาที่จวนที่จะคอยถามไถ่สารทุกข์นางเป็นบางครั้ง ทั้งสองตระกูลต่างก็ตั้งใจให้เด็กทั้งคู่สนิทสนมกัน เว่ยเส้าเฉียงชอบเด็กหญิงที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาในจวนตระกูลลี่ บิดามารดาบอกว่าโตขึ้นไปนางจะเป็นภรรยาเขา มาที่เรือนคราใดเขาก็มักจะนำขนมหรือของฝากมาให้นางเสมอ
"เซียงเอ๋อร์ของข้างดงามกว่าใคร โตขึ้นข้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยา จะดีต่อเจ้าให้มากๆ"
เว่ยเส้าเฉียงในวัยสิบสองขวบให้คำมั่นสัญญา ตอนนั้นพวกเขายืนอยู่ใต้ต้นท้อ ดอกท้อโปรยปรายราวกับเกล็ดหิมะสีชมพู ลี่เซียงในวัยเก้าขวบพยักหน้าดีใจ นางยังเด็ก หาได้มีความรู้สึกฉันชายหญิง เพียงรู้สึกดีที่มีใครสักคนต้องการนาง ชีวิตในจวนแห่งนี้ว้าเหว่เหลือเกิน แม้จะยังมีบริวาร พวกเขาก็ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกนี้ได้ ทุกครั้งที่เว่ยเส้าเฉียงมา เขามักจะมาอยู่เป็นเพื่อนและเล่นกับนาง นางมีความสุขและชอบเขามาก
นางเฝ้ารอวันที่เขาจะเติบใหญ่และพานางไปจากจวนแห่งนี้ อยู่ๆ ภาพฝันก็กลับเลือนราง นางเงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องบน ต้นท้อที่มีดอกบานสะพรั่งกลับเหลือเพียงกิ่งก้านไร้ใบ รอบด้านถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาวเหน็บ ลี่เซียงเหลียวมองไปรอบตัวกลับไม่เห็นใคร มีเพียงต้นท้อที่ราวกับยืนต้นตายและแผ่นดินขาวโพลนเวิ้งว้าง
"เซียงเอ๋อร์" นางได้ยินเสียงกระซิบข้างหู ศีรษะก็คล้ายกับมีคนลูบอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่มารดาตายไป นอกจากแม่นมหลี่ ก็ไม่มีใครสัมผัสนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้อีก นางถอนใจอย่างเป็นสุข ไม่นึกหวาดกลัวสถานที่อันหนาวเหน็บอ้างว้างแห่งนี้อีก
จู่ๆ นางกลับเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของใครคนหนึ่งค่อยๆ ห่างออกไป นางจำได้ว่านั่นคือเว่ยเส้าเฉียง ระยะหลังนางไม่ค่อยได้เจอเขา เหมือนเขาจะกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสอบ แต่เขายังคงให้คนส่งของมาให้นางอยู่เนืองๆ
"พี่สามเว่ย!"
นางตะโกนเรียกเขา แต่เขาไม่หันกลับมา ลี่เซียงพยายามวิ่งตามไป แต่เขากลับห่างออกไปทุกที ใจของลี่เซียงมีเพียงความเศร้า นางรู้ว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว จึงวิ่งไปร้องไห้ไป พลางตะโกนเรียกเขาไปด้วย
น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนุ่มแผ่วเบาแต่ชางฉือหมิงกลับได้ยินถนัดหู นางกำลังละเมอ เอ่ยถึงบุรุษอื่นที่มิใช่เขา! มิหนำซ้ำสองตาที่ปิดสนิทยังเปียกชื้นด้วยน้ำตา ชางฉือหมิงนิ่งขึงไปชั่วอึดใจ ในใจรู้สึกขมปร่า ความรู้สึกทั้งหึงหวงทั้งอิจฉาริษยาที่เขาไม่เคยรู้ตัวว่ามีอยู่ท่วมท้นในอก ทำลายความหวานชื่นของคืนเข้าหอไปสิ้น นึกอยากจะกำจัดเว่ยเส้าเฉียงผู้นั้นให้พ้นทาง
แต่มโนธรรมในใจเตือนให้เขาระลึกถึงความจริงที่ว่านางมิได้ผิด! คุณชายสามเว่ยก็มิได้ผิด! เป็นเขาเองที่แทรกกลางเข้ามาระหว่างคนทั้งคู่ ผิดที่ตัวเขาเองที่ทำลายวาสนาของคนทั้งสอง!
ชางฉือหมิงรู้สึกราวกับตนเป็นคนชั่วช้า นางมิได้รักเขา ยามที่เขาร่วมรักกับนาง นางคงจะรู้สึกเหมือนโดนข่มเหงเช่นเดียวกับในค่ำคืนนั้น
กระนั้นชางฉือหมิงก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยขอโทษ นางร้องไห้ละเมอถึงชายคนรัก ทำให้เขาอดนึกรังเกียจตัวเองมิได้ เขาไม่อยากให้นางฝืนใจ ทั้งกลัวตัวเองห้ามใจมิได้ ตั้งแต่คืนเข้าหอก็มิได้แวะเวียนมาที่เรือนของนางอีกเลย