ออกจากเรือนมารดาแล้วชายหนุ่มกลับเรือนซวี่หยางของตนไปผลัดเสื้อผ้า ล้างมือล้างหน้าอย่างพิถีพิถัน เขาไม่รีบร้อนเพราะจำได้ว่าเมื่อวานตอนไปถึงอาเยว่เพิ่งจะหลับไป มิสู้ให้นางนอนเต็มอิ่มเสียหน่อย พอได้เจอหน้ากันจะได้เล่นด้วยกันนานๆ เขาให้อาตงบ่าวรับใช้ข้างกายไปเปิดคลังส่วนตัวหยิบหีบใบหนึ่งออกมา ของส่วนใหญ่ในคลังล้วนเป็นท่านปู่อดีตจิ้งหยางป๋อผู้ล่วงลับมอบให้กับเขาด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจะรู้ว่าบุตรชายตนเป็นอย่างไร เกรงว่าจะรักษาสมบัติตระกูลเอาไว้ไม่ได้ ปีนั้นจึงเรียกชางฉือหมิงผู้เป็นหลายชายคนโตเข้าไปพบเป็นการลับ แล้วให้คนโยกย้ายสมบัติกึ่งหนึ่งมาไว้ในคลังส่วนตัวที่เรือนของเขา
ที่ผ่านมาชางฉือหมิงแทบไม่เคยแตะต้องสมบัติเหล่านี้ วันนี้คิดจะไปหาลูกสาว จึงคัดเอาหยกชั้นดีหมายเอาไปมอบให้เป็นของขวัญ กล่องเล็กๆ เรียงวางซ้อนกันอยู่ในหีบใหญ่เป็นกองพะเนิน ล้วนเป็นเครื่องประดับล้ำค่า อันที่จริงเขาอยากมอบของขวัญมากมายให้กับลูกสาว แต่นางเพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น คงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ ทำได้แค่เพียงให้กุญแจอายุยืนที่ทำจากหยกชั้นเลิศ เอาไว้รอให้นางโตอีกสักหน่อย ลูกสาวของเขาย่อมไม่น้อยหน้าผู้ใด
กล่องบุผ้าไหมใบเล็กถูกเปิดเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ชางฉือหมิงกำลังจะเก็บลงหีบ สายตาก็เหลือบไปเป็นปิ่นหยกมันแพะที่แกะสลักเป็นรูปหางหงส์ลวดลายอ่อนช้อย หยกสีขาวเนื้อดีมันวาว หากประดับอยู่บนเรือนผมดำสนิทคงจะงามนัก ไวเท่าความคิดมือก็เอื้อมไปหยิบออกมาวางคู่กันกับกุญแจหรูอี้ ปิดหีบแล้วก็สั่งให้อาตงยกไปเก็บ เขาไปนั่งอ่านตำราอีกสักครู่จึงค่อยลุกขึ้น แต่ยามจะออกจากเรือนกลับหยิบกุญแจหรูอี้ไปเพียงชิ้นเดียว ทิ้งปิ่นหยกให้วางอยู่บนโต๊ะเช่นนั้น
“อาตง ของที่ข้าให้ถือกลับเรือนมาก่อนเล่า”
เขาถามตอนที่เดินออกมาถึงหน้าประตู เมื่อครู่แยกไปพบมารดา กลัวว่านางจะเห็นของชิ้นนี้จึงให้บ่าวถือกลับมาที่เรือนก่อน
อาตงรีบนำแมลงปอสานมาส่งให้ ตอนนั่งเกี้ยวกลับจวน ชางฉือหมิงเห็นเด็กๆ ยืนมุงกันอยู่ ไม่รู้ว่าบุตรสาวจะชอบหรือไม่ ถึงกับลงจากเกี้ยวมาซื้อด้วยตนเอง
เรื่องราวภายในครอบครัวซับซ้อน บิดาเป็นคนไม่เอาไหน มารดาจึงต้องเหนื่อยยากคิดอ่านทุกอย่างเพื่อจวนจิ้งหยางป๋อ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีร้ายกาจเจ้ากี้เจ้าการไปบ้าง แต่เขาก็ไม่นึกโกรธนางแม้แต่น้อย หากไม่มีมารดา จวนอันทรงเกียรติแห่งนี้อาจจะล่มสลายไปแล้ว
ยามก้าวย่างไปยังเรือนชิงฟาง ชางฉือหมิงใจลอยอยู่บ้าง แต่พอถึงหน้าเรือน เพียงแค่คิดว่าจะได้เจอหน้าอาเยว่ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก เหมยฮวาที่มาเปิดประตูชะงักไปเล็กน้อยก่อนรีบเชื้อเชิญเขาเข้าเรือนอย่างพินอบพิเทา เหลียนฮวาที่เดินออกมาดูยังอดประหลาดใจมิได้ นายท่านมาติดๆ กันถึงสองวันเลยหรือ หรือว่ามีธุระเร่งด่วนอะไร
ชางฉือหมิงไม่พูดไม่จา สาวเท้าเข้าไปในห้อง ยังไม่ทันจะแหวกม่านเข้าไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสราวระฆังเงินลอยออกมา
“คิกๆ เยว่เอ๋อร์ ทำหน้าอย่างนั้นให้แม่ดู จะให้แม่หัวเราะจนท้องแข็งตายหรือไร”
ใจของชางฉือหมิงพลันอบอุ่น นึกอยากเห็นว่าใบหน้าที่ทำให้ภรรยาหัวเราะอย่างร่าเริงเช่นนี้ได้เป็นอย่างไร จึงรีบสาวเท้าเข้าห้องไปอย่างไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง ไปยืนอยู่เบื้องหลังภรรยาที่นั่งอยู่ข้างเปลเด็ก ทันได้เห็นอาเยว่น้อยยิ้มเผล่ เอามือเล็กๆ ดันแก้มยุ้ยจนใบหน้ายู่ยี่ ทั้งดูน่ารักน่าขันยิ่งนัก
อาเยว่เห็นท่านพ่อ ร่างน้อยๆ พลันหยุดมือ สองตากลมโตเบิกกว้าง อยู่ดีๆ ก็มีน้ำตาคลอ สีหน้าสีตาตัดพ้อชัดเจน ลี่เซียงเห็นอยู่ดีๆ ลูกสาวก็หยุดเล่นพลางทำท่าจะร้องไห้ก็ตกใจ รีบชะโงกเข้าไปในเปล
“เยว่เอ๋อร์เป็นอะไร คนดีของแม่ร้องไห้ทำไมหรือ”
มือของนางยังไม่ทันแตะถูกลูกสาว ร่างกายพลันถูกเบียดด้วยไอร้อนกระแสหนึ่ง ชางฉือหมิงปรากฏตัวอยู่ข้างกายนางพลางก้มลงอุ้มลูกสาวไปเสียแล้ว
“อาเยว่...อาเยว่ คนเก่งไม่ร้องไห้”
เขาเริ่มพูดกับเด็กเป็นขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากฟังภรรยา เด็กน้อยต้องชมให้มาก ไม่เรียกคนเก่งก็คนดี
ชางเยว่น้ำตาไหลริน ขบริมฝีปากจนยู่ ดวงหน้ากลมเล็กแดงก่ำเหมือนดอกไม้ดอกน้อย แม้กำลังร้องไห้ก็ช่างเป็นทารกหญิงที่งดงามเสียจริง ชางฉือหมิงกอดนางไว้ในอ้อมอก ภรรยายืนอยู่ข้างกายมองมาทางเขาด้วยสายตางุนงง เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร มาถึงก็แย่งเยว่เอ๋อร์ไปจากนางเสียแล้ว
ชางฉือหมิงเห็นลูกสาวเปลือกตาและปลายจมูกแดงก่ำก็นึกสงสาร ยกมือขึ้นลูบใบหน้านุ่มนิ่มแล้วก้มไปจูบหน้าผากเสียทีหนึ่ง กลิ่นผิวเด็กหอมติดจมูกจนแทบไม่อยากวาง อยากจะกอดนางแนบอกเช่นนี้ไปตลอด ชางเยว่ยกมือกลมๆ ขึ้นปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองบิดา เอ่ยปากต่อว่าต่อขานไม่หยุด พวกผู้ใหญ่ได้ยินแต่เสียงอ้อแอ้ๆ หัวใจนึกเอ็นดูยิ่งนัก ตัวแค่นี้ยังมิอาจกล่าววาจาก็รู้จักตัดพ้อแล้ว
ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวไปนั่งที่ขอบเตียง เอ่ยกับนางเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยิน
"อาเยว่ วันนี้พ่อเอาของขวัญมาให้เจ้า ลองดูสักหน่อยว่าชอบหรือไม่"
พอได้ยินคำบิดา ริมฝีปากน้อยๆ ก็แย้มยิ้ม สองตาที่มองบิดาเจิดจ้าราวกับฟังคำพูดของเขาเข้าใจ ชางฉือหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบกล่องผ้าไหมและแมลงปอสานออกมา เขามองไปทางภรรยา สายตาสื่อให้นางเข้ามาช่วยเขาจับลูก
ลี่เซียงเห็นเขาทางหนึ่งอุ้มลูก อีกทางหนึ่งหยิบของออกมา ทั้งยังทำท่าจะเปิดกล่องผ้าไหม กลัวว่าเขาจะทำลูกหลุดมือจึงรีบเข้ามานั่งข้างๆ แล้วเอื้อมมือมาจะอุ้มลูกสาว แต่ชางฉือหมิงไม่ยอมปล่อย เบี่ยงแขนที่อุ้มลูกอยู่ออกห่างจนนางต้องโน้มกายเข้ามาใกล้ ไหล่บอบบางของนางแนบอยู่กับอกกว้าง
"ช่วยข้าถือของเหล่านี้ก็พอ"
ชางเยว่เหลือบตามองบิดาทีมองมารดาที แม้ท่าทางของทั้งสองยังไม่สนิทสนมแต่อย่างน้อยก็เข้าใกล้กันโดยไม่รู้ตัว ท่านแม่นั้นมีแต่เป็นห่วงนางแต่ท่านพ่อนั้นยังไม่แน่ เด็กน้อยคาดเดาเจตนาของบิดาไม่ออกว่าจงใจให้มารดามาใกล้ชิดหรือไม่
ลี่เซียงเห็นท่าทีเขาไม่ยินยอมส่งลูกให้จึงรับกล่องผ้าไหมและแมลงปอสานในมือมาถือไว้
"เจ้าหยิบหยกหรูอวี้ออกมาให้อาเยว่ดูหน่อยเถอะ" กล่าวจบก็ก้มลงพูดกับลูกสาว "อาเยว่ชอบหรือไม่ ไว้เจ้าโตกว่านี้พ่อจะหาของขวัญของเล่นมาให้เจ้าเยอะๆ"
ชางเยว่ยิ้มแล้วเอาแก้มนุ่มๆ เบียดต้นแขนบิดาที่นางพาดอยู่อย่างน่ารัก สองหนุ่มสาวถึงกับมองเหม่อ อยากเอาเจ้าตัวน้อยกอดไว้แนบใจ พอประจบท่านพ่อจนพอใจแล้วชางเยว่ก็ยื่นมือออกมา ทำท่าจะขอรับของขวัญจากมือท่านแม่ ท่านพ่อหยิบกุญแจหรูอี้จากในกล่องมาให้นางถือไว้
"เด็กยังไม่รู้ความ ของล้ำค่าอย่าให้นางเล่นเลย"
กล่าวจบลี่เซียงก็ดึงหยกหรูอี้จากมือลูกสาว ชางเยว่ทำตาปริบๆ ถึงร่างกายจะยังเล็กแต่จิตใจก็เป็นผู้ใหญ่ที่ชมชอบของมีราคา ชางฉือหมิงมองตามสายตาละห้อยของลูกสาวแล้วก็อดหัวเราะออกมามิได้ ลี่เซียงกลัวนางจะร้องไห้จึงรีบยัดแมลงปอสานใส่มือให้นางแทน
นี่ทดแทนกันไม่ได้เสียหน่อย!
ชางเยว่แอบบ่นในใจ แต่ต่อหน้าท่านพ่อนางก็แสร้งทำสีหน้าดีใจ สองมือลูบคลำแมลงปอสานตัวนั้นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ท่านพ่อเห็นอย่างนั้นก็หน้าบาน ในใจนึกรักบุตรสาวคนนี้ยิ่งนัก นางช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน