ตอนที่ชางเยว่ตื่นขึ้นมา ในห้องก็ไม่มีเงาของท่านพ่อแล้ว เด็กน้อยขยี้ตาก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นเหลียนฮวานั่งเย็บเสื้ออยู่ข้างเปล พออีกฝ่ายเห็นนางขยับตัวก็รีบวางมือแล้วชะโงกหน้ามาดู
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
ชางเยว่ชูมือเป็นเชิงให้อุ้มนางขึ้นมาจากเปล เหลียนฮวาจึงรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นแล้วช้อนร่างน้อยๆ เข้ามาในอ้อมอก นางรักคุณหนูยิ่งนัก ตามใจทารกน้อยคนนี้แทบจะทุกอย่าง อยู่ในอ้อมแขนของเหลียนฮวาทำให้มองเห็นรอบตัวได้ชัดขึ้น ชางเยว่กวาดสายไปมองไปรอบๆ สบตากับมารดาที่มองมายิ้มๆ
“เยว่เอ๋อร์หิวหรือยัง”
พอได้ยินเสียงมารดาถามอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยก็ชูแขนไปหา เหลียนฮวาจึงอุ้มนางไปส่งให้นายหญิง มารดาปลดเสื้อ เตรียมจะป้อนนมให้ลูกสาวจอมตะกละ แต่ยังเห็นแม่หนูมองไปมองมามองมาเหมือนกำลังหาอะไร
“ท่านพ่อกลับไปแล้ว”
ลี่เซียงเอ่ยเสียงเบา พอพูดจบก็เห็นแม่หนูน้อยก็มีสีหน้าสลด ศีรษะทุยนั้นหยุดหันไปหันมา เพียงซบเข้ากับอกมารดาแล้วดูดนมเงียบๆ ที่หางตามีคราบน้ำตาซึมเล็กน้อย
เด็กคนนี้ช่างรู้ความจนน่าปวดใจ ลี่เซียงอดคิดไม่ได้ว่าลูกสาวของนางดูเหมือนจะมีความคิดอ่านเกินทารกทั่วไปอยู่มาก นางเพิ่งจะอายุสามเดือนเองมิใช่หรือ ลี่เซียงรีบปัดความคิดที่ว่าร่างเล็กๆ นี้ถูกสิงสู่โดยวิญญาณใด ความคิดนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว! นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้! อาเยว่เป็นเพียงทารกธรรมดาคนหนึ่ง!
ลี่เซียงลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน พอกินนมอิ่มแล้วก็จับนางพาดบ่า แม้เมื่อครู่เด็กน้อยจะมีท่าทางหงอยเหงาอยู่บ้าง แต่พอได้เล่นกับมารดาก็กลับมามีท่าทางร่าเริงเป็นปกติ ตอนอาบน้ำแกล้งวักน้ำใส่เหลียนฮวาแล้วหัวเราะคิกคักเสียด้วยซ้ำ
วันรุ่งขึ้นเจาซื่อเรียกบุตรชายไปพบ นางสอบถามจากบ่าวไพร่ได้ความว่าเมื่อวานพอออกจากเรือนอวิ๋นโซ่วของนาง เขาก็ตรงไปเรือนชิงฟางทันที เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อฟังคำพูดนางเป็นอย่างมาก คงจะนำความไปบอกสตรีผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว จากนี้นางจะได้เตรียมการรับสะใภ้คนใหม่เข้ามาในเรือนให้เรียบร้อย แม้จะเป็นเพียงอนุแต่เจาซื่อก็ตั้งใจจะจัดเกี้ยวแปดคนหามและสินสอดต่างๆ ให้สมฐานะอีกฝ่าย จินหลิงต่างหากเป็นสะใภ้ที่คู่ควรกับบุตรชายนาง
ระหว่างที่รอลูกชายมานางก็นึกกระหยิ่มใจ สตรีตระกูลลี่ที่น่าชังนั่นคงจะผิดหวังมากกระมัง ไม่เพียงบุตรชายของนางไม่เคยแวะเวียนไปหาที่เรือนชิงฟาง บุตรสาวที่ลี่เซียงคลอดออกมาด้วยความยากลำบาก เขาก็ไม่เคยไปดู ตอนนี้ยิ่งมีแผนที่จะรับอนุ ความคิดเพ้อฝันที่ลี่เซียงจะมีโอกาสกลับมาได้รับความรักใคร่โปรดปรานคงจะเป็นไปไม่ได้
ครั้นเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก้าวเข้ามาในเรือน นางก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี เขายังคงสวมชุนขุนนาง คงจะเพิ่งกลับมาจากศาลจึงยังมิได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไฉนไม่กลับไปผลัดชุดที่เรือนให้เรียบร้อยก่อนเล่า”
นางถามอย่างอาทรยามที่เห็นเขานั่งเรียบร้อยดีแล้ว
“ลูกเพิ่งกลับมาถึง เกรงว่าท่านแม่จะรอนาน จึงแวะมาก่อนขอรับ”
ชางฉือหมิงตอบมารดาอย่างอ่อนน้อม ขณะนั้นชางเจวี๋ยจิ้งผู้เป็นบิดาก็เดินเข้ามาในเรือน เขาเพิ่งมีอายุสี่สิบแต่กลับดูแก่ชรากว่าวัย ดวงตาเยิ้มดุจคนเมามาย เส้นผมหงอกขาวเริ่มแซมที่ขมับ กระนั้นก็ยังหลงเหลือเค้าความหล่อเหลาในวัยหนุ่มอยู่บ้าง
“หมิงเอ๋อร์มาหาท่านแม่เจ้าทำไมรึ หรือว่าเรื่องอนุสกุลจินนั่น ฮ่าๆๆๆ ลูกชายเราช่างโชคดีไม่น้อย ขนาดคุณหนูสกุลจินยังยินดีลดตัวแต่งมาเป็นอนุให้เจ้า”
ชางฉือหมิงเพียงก้มศีรษะ เจาซื่อหน้าตึงอย่างพยายามข่มกลั้นโทสะ สามีผู้เป็นจิ้งหยางป๋อแม้จะเกิดมาบนกองเงินกองทองเพียบพร้อมด้วยยศศักดิ์ชาติตระกูล กลับทำตัวสำมะเลเทเมาชวนให้คนเหยียดหยาม เขาถูกเลี้ยงดูตามใจมาตั้งแต่เด็ก พอโตก็ได้รับตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ไม่เล็ก หากประพฤติตนดีก็คงจะอยู่ในตำแหน่งไปได้ตลอดชีวิต แต่เขามีนิสัยชอบผลาญเงินทอง มีแต่มิตรสหายประจบสอพลอชวนกันไปสังสรรค์ ทั้งยังชอบสะสมของเก่าล้ำค่า ตั้งแต่รู้นิสัยสามี เจาซื่อก็เข้มงวดกับค่าใช้จ่ายของเขา ทรัพย์สมบัติในจวนจึงยังคงรักษาไว้ได้ กระนั้นกลับเป็นการผลักดันเขาให้หลงกลผู้อื่น พอเงินขาดมือก็ถือโอกาสรับสินบนโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นกับดัก จึงถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ยังดีที่ชางฉือหมิงสอบผ่านเค่อจวี่เป็นขุนนางตั้งแต่อายุสิบหก ตระกูลชางจึงพ้นความตกต่ำมาได้
“ท่านป๋อมาถึงเรือนอวิ๋นโซ่วมีธุระอันใด”
เจาซื่อถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา ชางเจวี๋ยจิ้งที่ยามนี้เหลือเพียงบรรดาศักดิ์ก็มิได้วางท่า ยิ้มเอาใจภรรยาแล้วนั่งลงเคียงข้าง
“ได้ยินว่าในงานประมูลวันพรุ่งนี้จะมีแจกันหยกคู่ของราชวงศ์ก่อน สภาพสมบูรณ์เช่นนี้หาไม่ง่ายเลย”
เจาซื่อข่มกลั้นสีหน้าขุ่นมัว
“ฉือหมิงจะรับอนุ ยังมีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก ช่วงนี้ท่านก็ประหยัดเสียหน่อยเถอะ”
เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ เจาซื่อยิ่งรู้สึกว่าการเกี่ยวดองกับตระกูลจินยิ่งจำเป็น ถึงแม้คนตระกูลนั้นจะไม่มีใครเป็นขุนนางใหญ่โต แต่เรื่องเงินทองกลับไม่ขาดมือ อย่างน้อยวันหน้ายังเกื้อหนุนบุตรชายของนางได้
แม้โดนภรรยาปฏิเสธ ชางเจวี๋ยจิ้งก็ยังไม่ได้จากไป นานๆ จึงจะมีโอกาสพบหน้าลูกชายเสียทีหนึ่ง มิหนำซ้ำเขายังเป็นบุตรชายคนสำคัญที่กู้หน้าตาให้กับจวนจิ้งหยางป๋อได้ เจาซื่อมิได้เอ่ยปากไล่สามี เพียงหันไปถามบุตรชาย
“ฉือหมิง เจ้าบอกเรื่องนั้นกับนางแล้วหรือ นางมีท่าทางอย่างไร”
ชางฉือหมิงมีหรือจะไม่รู้ว่ามารดาของเขารู้สึกอย่างไรกับลี่เซียง เขาหลุบตาลงเก็บงำประกายซับซ้อนในดวงตา
“ยังไม่ได้บอกขอรับ”
เจาซื่อขมวดคิ้ว น้ำเสียงเข้มขึ้นทันที
“เหตุใดไปถึงเรือนแล้วจึงยังไม่ได้บอก”
ไม่แปลกที่นางเจาซื่อจะระแวง แม้จะชังน้ำหน้าตระกูลลี่นักแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลี่เซียงผู้นั้นรูปโฉมไม่สามัญ
“ตอนที่ข้าไปถึง อาเยว่กำลังร้องไห้ จึงยังไม่สะดวกเอ่ยขอรับ”
เขาไม่ได้โกหก อาเยว่ร้องไห้จริงๆ เขาจึงต้องปลอบลูก ภายหลังเห็นสีหน้าของภรรยาอย่างนั้นก็ยิ่งไม่อยากบอก
เจาซื่อถอนใจ
“เช่นนั้นวันนี้ก็ไปใหม่ บอกให้เรียบร้อยไปเสีย จากนั้นจะได้ไม่ต้องข้องแวะกันอีก”
น้ำเสียงของเจาซื่อชัดเจนว่าไม่ต้องการให้บุตรชายมีความสัมพันธ์ใดกับทางนั้น ได้ยินลูกชายเรียกหลานสาวคนนั้นว่าอาเยว่ นางก็ยิ่งใจคอไม่ดี กลัวว่าเขาจะเกิดรู้สึกผูกพันกับลูกสาวขึ้นมา ประเดี๋ยวจะกลับกลายเป็นพัวพันกับคนแม่เข้าไปอีก นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น