9 ไม่อยากนอน

1427 Words
ชางฉือหมิงอุ้มลูกสาวเดินไปเดินมาในห้องอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แรกๆ จึงยังมีท่าทางเก้กังอยู่บ้าง พอเห็นว่าชางเยว่หยุดร้องไห้แล้วจึงอุ้มนางไปนั่งเล่นที่ขอบเตียง ชางเยว่นอนหงายอยู่ในอ้อมแขนบิดา แหงนหน้ามองเขาด้วยดวงตาสุกใส พอท่านพ่อมองลงมานางก็ยิ้มหวานให้จนตาหยี มือเท้าเล็กๆ โบกสะบัดอย่างอารมณ์ดี ความรักที่มีให้ท่านพ่อฉายชัดออกมาทางแววตาโดยไม่เสแสร้ง ลี่เซียงไม่เคยเห็นลูกสาวมีท่าทางดีใจเช่นนี้ ก็หักใจพานางไปนอนไม่ลง นางสงสารลูกสาว อยากให้ชางเยว่ได้มีเวลาอยู่กับบิดานานขึ้นอีกสักนิด ถึงอย่างไรชางฉือหมิงก็ไม่ได้แวะเวียนมาบ่อยนัก ไม่รู้ว่าชางเยว่จะได้พบหน้าบิดาอีกทีเมื่อใด ชางเยว่ยังพูดไม่ได้ แต่นางอยากบอกบิดาเหลือเกินว่านางคิดถึงเขามากเพียงไร ในชาตินี้ท่านพ่อเพิ่งจะอายุยี่สิบ ไม่เคยช่วยท่านแม่ดูแลนาง แม้แต่จะหยอกล้อหรือคุยกับเด็กก็ทำไม่เป็น ได้แต่ก้มลงมองและเอามือลูบศีรษะนางอยู่อย่างนั้น สองพ่อลูกสบตากัน มีเพียงเสียงอ้อแอ้ของชางเยว่ที่พยายามคุยกับท่านพ่อที่เอาแต่จ้องนางนิ่ง พอท่านพ่อเอานิ้วมาจิ้มแก้มนาง ชางเยว่จึงคว้าเอาไว้แล้วเอานิ้วท่านพ่อเข้าปากเสียเลย “ฮ่าๆๆๆ อาเยว่! เจ้าทำอะไรน่ะ นิ้วของพ่อไม่อร่อยหรอกนะ” ชางฉือหมิงหัวเราะเสียงดัง สีหน้าที่ดูจริงจังอยู่เป็นนิจค่อยดูผ่อนคลายจนคล้ายหนุ่มน้อยขี้เล่น แม่หนูคลี่ยิ้มทั้งที่ยังกัดนิ้วท่านพ่อไว้ด้วยเหงือกนุ่มลื่น ดวงตาที่มองท่านพ่อเหมือนกำลังเล่นด้วย ในใจของชางฉือหมิงคันยุ่บยั่บไปหมด อยากจะจับเจ้าก้อนแป้งน้อยขึ้นมากอดแน่นๆ ให้หายมันเขี้ยวแต่ก็กลัวนางเจ็บ เขาได้แต่ปล่อยให้นางขบนิ้วตัวเองอยู่อย่างนั้น กลับกลายเป็นท่านแม่ที่ทนดูไม่ได้ นางเห็นชางฉือหมิงเอานิ้วให้บุตรสาวอมก็ขมวดคิ้ว ตอนนี้นางหลบไปนั่งปักผ้าที่ตั่งข้างหน้าต่าง เห็นเขาหัวเราะจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาดูเหตุการณ์ “ท่านเอานิ้วออกมาเถอะ หากไม่สะอาดนางจะไม่สบายเอาได้” เขาเพิ่งกลับจากข้างนอก มือไม้จับอะไรมาบ้างก็สุดรู้ ลี่เซียงไม่มีทางยอมเสี่ยงให้ลูกสาวเจ็บป่วยเป็นอันขาด “วางใจเถอะ เมื่อครู่ข้ากลับเรือน ล้างหน้าล้างมือสะอาดแล้วจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาที่นี่” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังก้มลงมองลูกสาวไม่วางตา บรรยากาศระหว่างสองพ่อลูกราวกับว่าในโลกนี้มีเพียงพวกเขาสองคน ลี่เซียงได้แต่ถอนใจแล้วก้มลงปักผ้าต่อ สองพ่อลูกเล่นด้วยกันอยู่พักใหญ่ หลักๆ เป็นชางเยว่ชวนท่านพ่อคุย เขาฟังไม่รู้เรื่อง แต่แค่เห็นลูกสาวที่ยังพูดไม่เป็นภาษานอนเจื้อยแจ้วอยู่ในอ้อมอก หัวใจของคนเป็นพ่อก็มีความสุขเหลือเกิน ชางเยว่คุยจนเหนื่อย แถมยังง่วงนอนจนทนไม่ไหว นางไม่อาจฝืนธรรมชาติของทารกได้ ถึงเวลานอนร่างกายก็เอาแต่จะนอน ยิ่งตอนนี้เป็นเวลานอนตอนบ่ายของเด็ก หากนางมัวแต่เล่นก็จะนอนไม่พอ อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตได้! แต่นางยังไม่อยากหลับเลย! ยังอยากจะเล่นกับท่านพ่อให้นานอีกนิด ไม่รู้ว่าหากนางหลับไป ตื่นขึ้นมาจะได้เจอท่านพ่ออีกหรือไม่ นางกลัวว่าท่านพ่อจะไม่มาหาอีก จึงพยายามเบิกดวงตาที่หรี่ปรือครั้งแล้วครั้งเล่า ศีรษะทุยที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มละเอียดก็ทำท่าจะห้อยตกอยู่หลายครั้ง ชางฉือหมินเห็นท่าทางของนางแล้วก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู เอ่ยกับลูกสาวเสียงอ่อน “ง่วงก็หลับก่อนเถิด อย่ามัวห่วงเล่นอยู่เลย” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดูไม่เหมือนใต้เท้าชางที่ทั้งดุทั้งเคร่งขรึมยามอยู่ในศาล ลี่เซียงยังอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมอง เอาเถอะ หากเขาเอ็นดูชางเยว่ ชีวิตในวันหน้าของลูกก็คงไม่ลำบาก ลี่เซียงไม่คาดหวังว่าเขาจะมีความรักใคร่โปรดปรานให้กับนาง ขอเพียงลูกสาวมีอนาคตที่ดี นางก็ดีใจแล้ว ราวกับแม่หนูจะฟังที่บิดาพูดเข้าใจ นางเงยหน้าขึ้นมาส่งเสียงประท้วง “อือ...อือ…” (ไม่...ไม่นอน) ชางเยว่ฝืนทนง่วงจนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด ปากเล็กๆ อ้าออกกว้าง หาวจนน้ำหูน้ำตาไหล ทั้งน่าขันและน่าเอ็นดู สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว มือกลมป้อมจึงจับนิ้วของท่านพ่อไว้แน่นแล้วแนบใบหน้าอุ่นร้อนของตนกับฝ่ามือท่านพ่อ ลมหายใจแผ่วเบาเป่ารดฝ่ามือของชายหนุ่ม แก้มยุ้ยๆ ที่เบียดอยู่บนมือเขาช่างนุ่มนวลอบอุ่น ชางฉือหมิงนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกเพราะกลัวลูกสาวจะตื่น สองตาหลุบลงมองร่างน้อยที่หลับใหลอย่างสงบ กลับเป็นลี่เซียงที่เห็นเขานั่งอยู่กับที่มาพักใหญ่แล้ว นึกว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ จึงลุกขึ้นมารับชางเยว่ไปวางในแปล เด็กน้อยส่งเสียงประท้วงอืออาในลำคอเล็กน้อยก่อนจะนอนหลับต่อ ลี่เซียงไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่เพียงเพราะต้องการมาเล่นกับลูกสาว นางเรียกให้เหลียนฮวาเข้ามาเฝ้าอยู่ข้างเปล ก่อนจะหันไปเชิญสามีออกไปนั่งพูดคุยที่ห้องด้านหน้า ชางฉือหมิงกลับมาเป็นชายหนุ่มที่เคร่งขรึมเย็นชาดุจเดิม เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าแล้วเดินตามนางออกไป ลี่เซียงรินน้ำชาแล้วยื่นให้เขาก่อนจะรินให้ตัวเอง ชางฉือหมิงยกชาจิบ สองตามองภรรยาที่มีท่าทีห่างเหินราวกับเขาเป็นคนแปลกหน้า เดิมทีนางไม่ควรเป็นของเขา หากมิใช่เพราะเหตุการณ์คราวนั้น บัดนี้นางก็คงเป็นฮูหยินของเว่ยเส้าเฉียงไปแล้ว ตระกูลเว่ยมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉางของมารดานาง หากได้เป็นสะใภ้บ้านนั้นนางคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี อยู่ที่นี่คนในตระกูลชางล้วนเย็นชา ช่วยไม่ได้ที่นางจะชิงชังเขายิ่งนัก เห็นเขายังคงจิบชานิ่งเฉยพลางมองสำรวจนาง ลี่เซียงก็ขยับตัวอย่างอึดอัด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน "ใต้เท้าชางแวะมาวันนี้ คงมีเรื่องจะกล่าวกับข้ากระมัง" แม้แต่คำเรียกขานก็ยังฟังดูห่างเหิน นางไม่เคยเรียกเขาว่าท่านพี่ ชางฉือหมิงยกมุมปากราวกับจะยิ้มเยาะตัวเอง "ทำไมหรือ หากไม่มีเรื่องจะกล่าวกับเจ้า ข้าจะแวะมาไม่ได้หรือ" ลี่เซียงหลุบตาลงมองมือตัวเองที่วางประสานกันอยู่บนโต๊ะ อันที่จริงนางก็พอจะเดาได้ เขาคงจะมาพูดเรื่องรับอนุกระมัง เรื่องนั้นนางเองก็ได้ยินสาวใช้เอ่ยถึงอยู่บ้าง เขาเพียงแต่งกับนางเพราะพลาดพลั้ง จะช้าก็เร็วย่อมเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว กระนั้นหากเขาไม่พูด ลี่เซียงก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยถึงก่อน นางมิอาจให้เขามองว่าตนเองเป็นสตรีที่ชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทา เห็นนางไม่พูดอะไร ชางฉือหมิงจึงเอ่ย "อาเยว่น่ารักเหลือเกิน ขอบใจที่เจ้าคลอดนางอย่างปลอดภัยและเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดี" ลี่เซียงช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างประหลาดใจ นางคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ การคลอดและเลี้ยงดูบุตรมิใช่หน้าที่ของมารดาอยู่แล้วหรือ จู่ๆ เขามาขอบคุณนางทำไม ท่าทางของนางน่ารักจนมุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ชายหนุ่มไม่รอให้นางเอ่ยอะไร เขาเพียงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากเรือนชิงฟางไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD