ตอนชางเยว่อายุได้สามเดือน มารดาก็แข็งแรงพอที่จะออกมาเดินเล่นนอกเรือนได้แล้ว แต่กลับไม่เคยย่างเท้าออกนอกเขตเรือนไปยังบริเวณอื่นๆ ของจวนจิ้งหยางป๋อ เรือนชิงฟางของท่านแม่ล้อมรอบด้วยป่าไผ่ร่มรื่น บริเวณนอกเรือนประดับด้วยสวนหินและไม้กระถางงดงามเรียบง่าย ท่านแม่เป็นหญิงงามดังเช่นในชาติที่แล้ว ในชาตินี้ยังมีท่าทางเคร่งขรึมสำรวมเฉกเช่นบุตรหลานตระกูลใหญ่ ยามเดินเหินชดช้อยน่ามองยิ่ง
ชางเยว่ยังไม่เคยพบหน้าบิดา แต่สังเกตได้ว่าท่านแม่รู้สึกไม่สบายใจนักหากมีคนกล่าวถึงเขา นางได้แต่ฟังแม่นมหลี่ที่เลี้ยงดูมารดามาตั้งแต่ยังเด็กคุยกับเหลียนฮวา พอจับความได้ว่ามารดาแต่งเข้าสกุลชางมาอย่างไม่สง่างามนัก จนทุกวันนี้คนในจวนก็ยังไม่ยอมรับนาง
“เรื่องที่เกิดขึ้นหาใช่ความผิดของนายหญิงแม้แต่น้อย ตระกูลชางมีท่าทีเช่นนี้ชวนให้คนปวดใจเสียจริง”
แม่นมหลี่ทอดสายตามองคุณหนูพลางรำพึงรำพัน ฮูหยินนอนกลางวันอยู่ในห้อง พวกนางเกรงว่าเด็กน้อยจะส่งเสียงร้องไห้รบกวนจึงพาตัวออกมา
ชางเยว่เริ่มคุ้นเคยกับร่างทารก นางง่วงเหงาหาวนอนเกือบทั้งวัน ยามหิวยามเลอะเทอะไม่สบายตัวก็ร้องไห้เองตามธรรมชาติ มีช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละวันที่นางจะตื่นตัวสนใจผู้คนรอบข้าง
“น่าเวทนาก็แต่คุณหนู เป็นหลานสาวสายตรงคนโตที่ไม่มีใครเหลียวแล”
เหลียนฮวาเอ่ยพลางลูบแก้มนุ่มอย่างรักใคร่ คุณหนูน่ารักเลี้ยงง่ายถึงเพียงนี้ เป็นบิดาคนอื่นคงหลงลูกจนโงหัวไม่ขึ้น แต่นายท่านกลับไม่เคยมาพบหน้าสักครั้ง ช่างอาภัพเสียจริง
“หากคุณหนูเติบโตจนรู้ความ ไม่รู้จะเสียใจสักเพียงไหน ได้ยินว่าทางฮูหยินใหญ่เตรียมจะรับอนุให้นายท่าน”
สตรีทั้งสองสบตากัน ต่างก็เห็นแววจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย
“ถ้าหากฮูหยินได้แต่งกับคุณชายเว่ยก็คงดี คุณชายเว่ยรักถนอมฮูหยินยิ่งนัก”
เหลียนฮวาเอ่ยน้ำเสียงห่อเหี่ยว
“ชู่ว์ อย่าพูดไป หากใครได้ยินเข้าจะเสียหายมาถึงฮูหยินได้”
แม่นมหลี่เอ่ยปรามพลางสายตาก็เหลือบมาเห็นคุณหนู ดวงตากลมโตจ้องเขม็งราวกับกำลังตั้งใจฟัง ริมฝีปากน้อยๆ เม้มแน่น
ท่านพ่อไม่รักท่านแม่ ท่านพ่อกำลังจะรับอนุ!
ในใจของชางเยว่เจ็บปวดยิ่งนัก เหตุใดให้นางได้เกิดมาพบท่านพ่อท่านแม่ทั้งที กลับทำให้พวกเขาหมางเมินกันเช่นนี้ แม้ได้ตบแต่งถูกต้องตามประเพณีแต่กลับไร้เยื่อใยต่อกัน ดวงตาของแม่หนูน้อยปริ่มน้ำตา ก่อนที่จะร้องไห้โฮออกมาอีกคำรบ
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวปากไม่ดีเอง”
แม่นมหลี่รีบเอ่ยปลอบพลางอุ้มชางเยว่ขึ้นมาเขย่าในอ้อมแขน
“เหตุใดคุณหนูจึงดูเหมือนจะฟังที่เราพูดคุยกันรู้เรื่อง ข้าสังเกตมานานแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ”
เหลียนฮวาเอ่ยกับแม่นมหลี่
“พูดเป็นเล่นไปได้ คุณหนูเพิ่งจะอายุเท่านี้จะฟังเข้าใจได้อย่างไร คุณหนูเพียงแต่มีจิตใจที่อ่อนโยน รับรู้ถึงความรู้สึกของคนรอบกายต่างหากเล่า นางรู้ว่าพวกเรากำลังเศร้าจึงร้องไห้ออกมาเท่านั้น”
แม่นมหลี่พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองแม้ว่าลึกๆ นางจะคล้อยตามความคิดของเหลียนฮวาอยู่ก็ตาม
ชางเยว่ร้องไห้จนหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในเปลเด็ก เพียงแค่นึกว่าท่านพ่อชิงชังรังเกียจท่านแม่ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก นางกัดริมฝีปากพยายามข่มกลั้นเสียงร้องไห้ ตอนนี้ในห้องเงียบนัก ท่านแม่อาจจะกำลังหลับอยู่ก็ได้ ชางเยว่ไม่อยากรบกวนท่านแม่ นางนอนมองเพดานอย่างห่อเหี่ยวใจ แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกลัดกลุ้มเช่นนี้
มือน้อยๆ กำเป็นหมัดแน่น ดวงตาเจิดจ้าด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
นางจะต้องลงมือทำทุกอย่างให้ท่านพ่อท่านแม่กลับมารักกันให้ได้
พลันชางเยว่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังมาจากเตียงท่านแม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“เยว่เอ๋อร์เป็นอะไร เหตุใดทำหน้าตาขึงขังเช่นนั้น”
ที่แท้ลี่เซียงนั่งมองลูกสาวอยู่บนเตียงมาพักใหญ่ เห็นตั้งแต่ตอนที่นางเพิ่งตื่นนอน ตอนแรกแม่หนูทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ กัดริมฝีปากทำท่าข่มกลั้นไว้ จากนั้นก็มีสีหน้าทอดถอนใจก่อนจะขึงขังจริงจัง ช่างเป็นเด็กทารกที่มีอารมณ์หลากหลายเสียจริง ดูเท่าใดก็ไม่เบื่อ ตั้งแต่มีลูกคนนี้ลี่ซื่อก็มีความสุขมาก ไม่เคยนึกถึงเรื่องราวทุกข์ใจอีกเลย
สองแก้มยุ้ยของแม่หนูน้อยแดงเรื่อ มือกลมป้อมยกขึ้นมาปิดหน้าราวกับกำลังเขินอาย
ลี่ซื่อลุกขึ้นอุ้มลูกสาว
“วันนี้อากาศดี อย่ามัวอุดอู้อยู่ในห้องเลย ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
ชางเยว่ได้ยินก็ยิ้มร่า โบกไม้โบกมืออย่างดีใจ
ไป...ไป อาจจะบังเอิญได้เจอท่านพ่อ
ท่านแม่หยิบผ้าห่มบุนวมผืนหนามาห่อร่างของเด็กหญิงไว้เป็นก้อนกลมจนกระดุกกระดิกไม่ได้ แม้ตอนนี้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่อากาศก็ยังเย็นอยู่มาก ชางเยว่ถูกห่อจนเห็นแค่ดวงตากลมโตและแก้มยุ้ยๆ ที่ล้นออกมา นางกินนมเก่งมากจนตอนนี้แก้มฟู เนื้อตัวนุ่มนิ่มขาวผ่องเหมือนซาลาเปา พอเดินออกจากห้องนอนเหลียนฮวาก็ก้าวเข้ามาทำท่าจะรับนางไปอุ้ม
“ไม่เป็นไร ข้าจะอุ้มนางไปเอง”
เหลียนฮวาทำท่าไม่วางใจ ฮูหยินน้อยเพิ่งคลอด นางกลัวว่าหากต้องถือของหนักจะกระทบกระเทือนต่อร่างกายของนายหญิง กระนั้นในเมื่อนายหญิงปฏิเสธเหลียนฮวาก็เพียงเดินตามไปห่างๆ แม่นมหลี่เปิดประตูเข้ามาพอดีจึงเอ่ยทักทายสองแม่ลูกด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“ฮูหยินจะพาคุณหนูออกไปเดินเล่นหรือเจ้าคะ ในสวนดอกไม้กำลังบานพอดี คุณหนูจะต้องชอบมากแน่ๆ”
เดิมทีลี่เซียงไม่คิดจะออกจากบริเวณเรือน แต่ครั้นได้ยินคำพูดของแม่นมหลี่ก็ลังเล นางอยากให้ลูกสาวได้ชื่นชมความงามของดอกไม้แรกผลิของฤดู เมื่อตรองดูว่าเรือนชิงฟางค่อนข้างห่างไกล ยากนักที่จะพบคนจากเรือนใหญ่ นางจึงค่อยวางใจ อุ้มบุตรสาวก้าวออกจากประตูโดยมีเหลียนฮวาคอยตามอยู่ไม่ห่าง