4 แรกพบ

1702 Words
ตั้งแต่แต่งเข้ามาในจวนจิ้งหยางป๋อ ลี่เซียงมีแม่นมหลี่และสาวใช้อีกสี่คนติดตามมาจากบ้านเดิม ต่อมาทางจวนจะส่งสาวใช้มาเพิ่มให้ แม่นมหลี่ก็คัดเลือกคนที่ท่าทางเรียบร้อยไม่ปากมาก ทั้งยังให้ทำงานอยู่ภายนอก มิให้เข้ามาปรนนิบัติใกล้ชิดในเรือน คนในเรือนชิงฟางอยู่กันอย่างสงบ ไม่สุงสิงกับคนจากเรือนอื่นๆ ลี่เซียงก็แทบไม่ย่างเท้าออกจากเรือน ทำราวกับเรือนแห่งนี้เป็นกำแพงเหล็กที่ปิดกั้นนางไว้จากคนอื่นๆ ในจวนและโลกภายนอก แม้สะใภ้ผู้นี้จะไม่เป็นที่ต้อนรับแต่ก็นับว่ายังได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี นางยังคงได้รับการจัดสรรเบี้ยหวัดและข้าวของเครื่องใช้อย่างเป็นธรรม กระนั้นก็เพียงเพราะจวนจิ้งหยางป๋อเกรงจะเสียหน้าเป็นที่ครหา ลี่ชางสองตระกูลเดิมทีก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว หากมีข่าวลือว่ารังแกสะใภ้ออกไปแม้แต่นิดเดียวต่อให้มีร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว การต้องรับบุตรสาวของศัตรูมาเป็นสะใภ้จึงทำให้แต่ละฝ่ายลำบากใจอย่างที่สุด ทำได้เพียงต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเช่นนี้ ชางเยว่ซุกอยู่ในอกมารดา สายลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิโชยมาปะทะใบหน้า สองแก้มโดนความเย็นจนกลายเป็นสีแดงเรื่อ นางมองเห็นท้องฟ้าสีครามสดใส กลิ่นหญ้าและไอแดดทำให้เด็กน้อยรู้สึกสดชื่น ครู่หนึ่งมารดาก็หยุดเดิน เหลียนฮวาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเก้าอี้หินริมสระบัวก่อนที่จะพยุงลี่เซียงนั่งลง ดอกสุ่ยเซียนสีเหลืองสดเบ่งบานกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ปีนี้อากาศอุ่นเร็ว เพิ่งย่างเข้าเดือนสาม พืชหัวเหล่านี้ก็เริ่มบานแล้ว ต้นอิงเถาออกดอกสะพรั่ง สีชมพูสลับกับสีขาวงดงามยิ่งนัก ชุดม้านั่งหินตั้งอยู่ใต้ต้น จึงมีกลีบดอกไม้โปรยปรายลงมา ชางเยว่เงยหน้ามองอย่างสุขใจ ใช่ว่านางจะไม่เคยเห็นทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้มาก่อน นึกถึงชีวิตที่ว้าเหว่ในชาติที่แล้ว ยามนี้ได้ชมดอกไม้บานอย่างอุ่นสบายในอ้อมกอดของมารดาย่อมเป็นสุขอย่างหาใดเปรียบ พอได้เห็นแววตากลมโตสุกใสและใบหน้าแย้มยิ้มของบุตรสาว ลี่เซียงก็รู้สึกว่าตนเองตัดสินใจถูกต้องแล้วที่พานางออกมาเปิดหูเปิดตา กลีบดอกไม้ร่วงหล่นบนแก้มใส ลี่เซียงจึงก้มลงเป่าออกให้ ชางเยว่รู้สึกจักจี้ที่ใบหน้าจึงหัวเราะคิกๆ สองแม่ลูกนั่งเล่นกันอยู่เป็นครู่ใหญ่ สาวใช้ที่กวาดพื้นอยู่ไกลๆ เมียงมองมาทางพวกนางอย่างประหลาดใจ ครั้นเห็นไม่คุ้นหน้าก็นึกขึ้นได้ว่าคงจะเป็นคนในเรือนชิงฟาง คิดได้ดังนั้นจึงทิ้งไม้กวาดแล้วรีบวิ่งกลับไปรายงาน เจาซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ฟังสาวใช้รายงานจบก็โบกมือให้กลับไป นางเป็นคนสั่งสาวใช้ให้คอยจับดูความเคลื่อนไหวของคนในเรือนชิงฟางไว้ เจาซื่อยกชาขึ้นจิบ สีหน้าใช้ความคิด “หรือนางจะได้ยินเรื่องที่ข้าจะรับอนุให้ฉือหมิง จึงคิดจะออกมาเคลื่อนไหว หาไม่แล้วอยู่ๆ นางจะออกจากเรือนชิงฟางมาทำไม เห็นทีคงจะออกมาดูลาดเลา หาโอกาสยั่วยวนฉือหมิงกระมัง” น้ำเสียงของเจาซื่อฉายแววรังเกียจอย่างปิดไม่มิด แม่นมตู้ที่รับใช้ใกล้ชิดพูดจาคล้อยตามเอาใจ “ที่ผ่านมานางแสร้งทำเป็นไม่แยแสผู้ใด คงจะคิดว่าหากคลอดบุตรชายอย่างไรเสียพวกนายท่านก็ไม่อาจเมินเฉย แต่โชคร้ายที่นางคลอดบุตรสาว มิหนำซ้ำคุณชายใหญ่ก็หาได้ไยดี จนบัดนี้ยังไม่เคยพบหน้าเด็กคนนั้นเลยเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนี้เจาซื่อก็อารมณ์ดีขึ้น มุมปากหยัดขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ “แม้แต่บุตรสาวเขายังไม่คิดจะไปดูหน้า เห็นทีคนเป็นมารดาก็คงหมดหวัง หากแต่งคุณหนูจินเข้ามาเมื่อใด สองแม่ลูกนั่นคงไม่มีโอกาสได้โงหัวแล้วกระมัง เอาไว้รอให้คนในเมืองหลวงลืมการแต่งงานครั้งแรกของฉือหมิงไปก่อน ตอนนั้นค่อยหย่านางแล้วให้อาหลิงมาเป็นภรรยาเอกของเขาแทน” เจาซื่อวาดหวังถึงอนาคตอย่างอารมณ์ดี จินหลิงต่างหากที่เหมาะสมกับบุตรชายของนาง ไม่เพียงพวกเขาจะสวามิภักดิ์กับองค์ชายสามผิงอันอ๋องเหมือนกัน ตระกูลจินก็มั่งคั่งร่ำรวย หากบุตรชายคิดจะก้าวหน้าในเส้นทางขุนนางย่อมอาศัยความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ไม่ยาก “ฉือหมิงกลับมาหรือยัง หากกลับมาแล้วให้คนไปตามเขามาพบข้า” ครู่ใหญ่ชางฉือหมิงก็ก้าวเข้ามาในห้อง เขาผลัดเปลี่ยนชุดขุนนางออกเป็นเสื้อผ้าใส่อยู่บ้านแล้ว ล้างหน้าล้างตาดูสดชื่น ปีนี้เขาเพิ่งอายุยี่สิบปีก็ได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นหกในกรมอาญา หน้าตาหล่อเหลามีสง่าราศี พอเห็นมารดาก็คารวะอย่างอ่อนน้อม "ท่านแม่" เจาซื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาถึงก็ให้คนไปยกขนมน้ำชามาให้ พอเขานั่งลงแล้วนางจึงเอ่ย "เรื่องที่บอกเจ้าไปคราวก่อน หากเจ้าไม่ขัดข้องอะไร ทางตระกูลจินยินดีให้บุตรสาวแต่งเข้ามาเป็นอนุ น่าเสียดายแม่หนูจินหลิง เดิมทีตั้งใจจะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอก กลับต้องยอมกล้ำกลืนเป็นอนุภรรยา เรื่องนี้พวกเราผิดต่อนาง ต่อไปเจ้าต้องดีกับนางให้มากๆ" ชางฉือหมิงเพียงรับคำสีหน้าเรียบเฉย มิได้ดีใจหรือเสียใจ เจาซื่อเห็นลูกชายปกติก็เป็นคนเงียบขรึมเช่นนี้อยู่แล้วจึงมิได้เอ่ยอะไร คิดว่าเขาเหนื่อยก็ไล่ให้รีบกลับไปพักผ่อน ชางฉือหมิงลูกขึ้นยืนคารวะมารดาอีกครั้ง บอกให้นางรักษาสุขภาพดีๆ แล้วก้าวออกจากเรือนไป ครั้นออกจากเรือนอวิ๋นโซ่วของมารดา สีหน้าเรียบเฉยเย็นชาเมื่อครู่ก็พลันขมวดคิ้ว แทนที่จะเดินกลับเรือนซวี่หยางของตน เขากลับเลี้ยวไปยังทิศทางตรงข้าม ลี่เซียงพาบุตรสาวกลับเรือนมาพักใหญ่แล้ว วันนี้ชางเยว่ได้ออกไปนอกเรือนจึงดูตื่นเต้นมาก เดินเล่นข้างนอกกับมารดาอยู่พักใหญ่จนรู้สึกอ่อนเพลีย พอกลับมาถึงเรือนก็กินนมแล้วนอนหลับไป ลี่เซียงให้นมบุตรสาวอยู่ในห้องตามลำพัง กำลังจะจับบุตรสาวนอนในเปลพลันได้ยินเสียงดังมาจากภายนอก เพียงอึดใจเดียวเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา ม่านหยกในห้องกระทบกัน บุรุษสูงใหญ่คมคายก้าวเข้ามา เขาเป็นสามีนาง สาวใช้จึงไม่กล้าขวาง ทั้งยังไม่กล้าทำตัวรู้ดีวิ่งมาแจ้งนางล่วงหน้า ชางฉือหมิงพอรู้จากสาวใช้ว่านางอยู่ในห้องก็สาวเท้าเข้ามาทันทีโดยไม่ถามไถ่ ห้องนอนของนางหอมละมุนกลิ่นดอกไม้จากเครื่องอบถุงหอม นางไม่ได้จุดกำยานเพราะกลัวว่ากลิ่นควัันหอมฉุนจะไม่เหมาะกับเด็ก ร่างอรชรนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง สาบเสื้อเปิดอ้าเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่ม ผิวขาวผุดผาดของนางดูมีน้ำมีนวลยิ่งนัก ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยอ้วนขาวกำลังหลับใหล พอลี่เซียงเห็นเขาก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ดวงหน้างดงามของนางกลายเป็นสีแดงเรื่อ สองแขนที่อุ้มลูกไว้ยกร่างน้อยขึ้นบังหน้าอก เขากวาดสายตาชื่นชมภาพตรงหน้าราวกับไม่เห็นอาการประหม่าของนาง เดิมทีลี่เซียงก็เป็นหญิงงามอยู่แล้ว ยิ่งเห็นตอนนางให้นมบุตรยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน พอตั้งสติได้ลี่เซียงก็รีบลุกขึ้นจับบุตรสาววางลงในเปล ก่อนจะหันหลังให้เขาเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ยามที่นางหันกลับมาแววตายังเจือรอยกระอักกระอ่วนแม้จะพยายามตีสีหน้าเรียบเฉย นางคารวะเขาแล้วเอ่ยเสียงเบา "ใต้เท้าชาง" เนื่องจากไม่รู้ว่าเขามาหานางด้วยธุระใด ลี่เซียงจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยปากก่อน ชางฉือหมิงมองแก้มนวลที่ระเรื่อด้วยสีเลือดฝาด เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนมาในวันนี้ก็เดินไปชะโงกมองเด็กน้อยในเปล ยังคงไม่พูดถึงจะดีกว่า "นางชื่อชางเยว่หรือ" "เจ้าค่ะ" ลี่เซียงคิดว่าเขาคงจะถามชื่อลูกสาวจากบ่าวไพร่จึงมิได้ติดใจสงสัยว่าเขารู้ชื่อลูกได้อย่างไร แม้ทารกน้อยจะยังหลับใหล แต่ยังคงเห็นเค้าความงามได้อย่างชัดเจน ปากนิดจมูกหน่อย สองตาหลับพริ้มดูราวกับเทพธิดาตัวน้อย มือกลมป้อมกำไว้หลวมๆ อยู่ข้างศีรษะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชางฉือหมิงเห็นแล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจ จู่ๆ ก็เกิดความปรารถนาท่วมท้นที่อยากจะอุ้มนางขึ้นมากอด เขานึกรักเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก "นางเพิ่งหลับไป" ลี่เซียงเห็นท่าทางของเขาก็รีบบอกกลายๆ เป็นเชิงปกป้อง ลูกอายุตั้งสามเดือนแล้ว เขาเพิ่งคิดอยากจะมาดูหน้า นึกจะมาก็มา! นึกอยากจะอุ้มเมื่อไรก็อุ้มได้อย่างนั้นหรือ! น้ำเสียงนางแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชางฉือหมิงชะงักไปเล็กน้อย กระนั้นมือหนาก็ยังคงเอื้อมลงไปในเปล กุมมือน้อยๆ ไว้ สัมผัสอุ่นละมุนที่ปลายนิ้วทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ จากที่คิดว่าจะบอกกล่าวเรื่องการรับอนุแล้วรีบกลับ ก็เปลี่ยนใจอยากจะอยู่รอจนลูกสาวตื่นเสียก่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD