2 ท่านพ่ออยู่ที่ไหน

1505 Words
ชางเยว่อยู่ในร่างนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้วยังไม่เห็นหน้าท่านพ่อ นางนึกแปลกใจอยู่ครามครัน หรือว่าท่านพ่อไม่ได้ตามมาเกิดใหม่กับท่านแม่และนาง! พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าพ่อผู้อ่อนโยนใจดี ชางเยว่ก็รู้สึกเศร้าใจจนต้องหลั่งน้ำตา ปากเล็กๆ ก็ส่งเสียงโฮๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว “โถ คุณหนู ทำไมอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ล่ะเจ้าคะ” เหลียนฮวาผู้เป็นสาวใช้ข้างกายมารดาอุ้มนางขึ้นมาจากเปลเด็กอย่างปลอบโยน “ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยดังมาจากเตียง เหลียนฮวาส่ายหน้า “ยังไม่เปียกเจ้าค่ะฮูหยิน เมื่อครู่คุณหนูยังนอนเล่นตาแป๋ว อยู่ดีๆ กลับร้องไห้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” “ส่งนางมาให้ข้าเถอะ” พอได้อยู่ในอ้อมอกมารดา ความเศร้าเสียใจที่อัดแน่นในอกก็ค่อยๆ ทุเลาลง ชางเยว่หยุดร้องไห้ กระนั้นก็ยังสะอึกสะอื้นน้อยๆ ดวงตากลมโตแสนงามเปียกชื้น ขนตายาวลู่เป็นแพ ชวนให้คนรู้สึกเวทนาสงสาร “ลูกสาวตัวน้อยของแม่ เจ้าร้องไห้ทำไมหรือ” มารดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ชางเยว่ซุกใบหน้าเข้ากับอกอุ่นอย่างแสวงหาการปลอบประโลม มือเรียวของมารดาลูบศีรษะและแผ่นหลังนางอย่างถนอม นางจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยมีท่านแม่อยู่ นางก็มิใช่เด็กกำพร้าโดดเดี่ยวอย่างชาติที่แล้ว เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นมองมารดา อ้าปากถามว่าท่านพ่ออยู่ที่ไหน แต่พยายามเพียงใดก็ไม่มีใครเข้าใจ “แอ้ๆๆๆ” “จ้ะๆ เด็กดี พอหยุดร้องไห้ก็คุยใหญ่เชียวนะ” มารดาพยายามพูดคุยเออออไปกับนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู “คุณหนูช่างน่ารักถึงเพียงนี้ เสียดายที่นายท่าน…” “เหลียนฮวา!” มารดาเอ่ยปราม สีหน้าสดใสเมื่อครู่หมองไปเล็กน้อย ท่าทางไม่อยากให้สาวใช้กล่าวถึงผู้เป็นสามี พอชางเยว่ได้ยินคนเอ่ยถึงท่านพ่อก็หูผึ่ง แต่มารดาทำท่าไม่ต้องการพูดต่อ เหลียนฮวาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสียแล้ว เรื่องของบิดาจึงยังคงเป็นปมคำถามในใจของเด็กน้อยต่อไป นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกัน ชางเยว่เกิดมาจะครึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้เห็นหน้าบิดาเลยสักแวบ ท่านพ่อไม่อยู่บ้านหรือไร พอใช้ความคิดเด็กน้อยก็นิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว เสียงหัวเราะกังวานใสของมารดาดังขึ้น นิ้วนุ่มเลื่อนมาลูบที่หัวคิ้ว “ตัวแค่นี้เหตุใดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับผู้ใหญ่ หืม” ชางเยว่คลายหัวคิ้วแล้วยิ้มให้มารดา ขอเพียงอีกฝ่ายมีความสุขนางก็พอใจแล้ว “เรื่องงานครบเดือนฮูหยินจะให้บ่าวไปถามทางเรือนหลักหรือไม่เจ้าคะ” เหลียนฮวาเอ่ยอย่างขลาดๆ เกรงว่าจะถูกผู้เป็นนายดุเข้าอีก “ช่างเถิด หากทางนั้นไม่เอ่ยปากก็ไม่เป็นไร พวกเราจัดกันเองเล็กๆ ก็พอ” ลี่เซียงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าราวกับปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่มีบุตรสาว ความสนใจของลี่เซียงก็ทุ่มเทให้กับนาง หาได้ใส่ใจเรื่องอื่นอีก “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ประเดี๋ยวบ่าวจะไปยกสำรับมาก่อนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาเอ่ยก่อนจะออกจากห้องไป ลี่เซียงรอมาครึ่งเดือนแล้ว ทางเรือนใหญ่ยังไม่เอ่ยปากเรื่องชื่อของแม่หนูน้อย เห็นทีพวกเขาคงจะไม่สนใจบุตรสาวคนนี้ ลี่ซื่อกล้ำกลืนความขมขื่นในอก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็จะตั้งชื่อให้บุตรสาวด้วยตัวเอง “เด็กดี เจ้าชอบชื่อไหน ท่านพ่อแซ่ชาง เจ้าชื่อเยว่ดีหรือไม่” อยู่ดีๆ ลี่เซียงก็นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา ทารกน้อยยิ้มร่า พยายามผงกศีรษะราวกับฟังที่นางพูดเข้าใจ “หรือจะชื่อเสวี่ยก็ดีไม่น้อย ชื่อเมี่ยวก็น่าเอ็นดู” เด็กน้อยส่ายหน้าไปมาพลางส่งเสียงอ้อแอ้ ลี่เซียงเห็นแล้วก็อดหัวเราะอีกคราไม่ได้ กระนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เด็กอายุยังไม่ถึงเดือนจะฟังนางรู้เรื่องได้อย่างไร “ไม่เอาก็ไม่เอา เช่นนั้นเจ้าก็ชื่อชางเยว่เถอะ” ใบหน้ากลมยุ้ยยิ้มแป้นตาหยีจนเห็นเหงือกสีชมพู ผู้เป็นมารดาเห็นแล้วอดใจไม่ไหวก้มลงไปหอมแก้มยุ้ยเสียฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยและมารดาฟังดูรื่นหูนัก พาให้คนที่เพิ่งก้าวเข้าเรือนมาชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง “ชางเยว่ของแม่ หัวเราะเช่นนี้แสดงว่าชอบชื่อนี้ใช่หรือไม่ โตขึ้นลูกสาวแม่คงจะงดงามเหมือนจันทร์กระจ่างในยามค่ำคืน” ดวงตาดำลึกมองลอดม่านหยกเข้ามา เห็นสตรีผู้นั้นเอนกายอุ้มบุตรสาวอยู่บนเตียง นางยังคงอยู่ไฟ อากาศในห้องอุ่นร้อนเจือกลิ่นหอมของสมุนไพร ตรงข้ามกับอากาศหนาวเหน็บภายนอก สองแม่ลูกดูมีความสุขดีเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปรบกวน เดิมทีเพียงคิดจะมาบอกชื่อที่เขาตั้งให้บุตรสาวผู้นี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นเสียแล้ว นางบังเอิญตั้งชื่อให้ลูกว่าชางเยว่เหมือนกับเขา ชางฉือหมิงหมุนตัวกลับ เห็นเหลียนฮวายกสำรับมาพอดีจึงเดินออกมาที่ประตูหน้าเรือน “คุณหนูของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เหลียนฮวาย่อเข่าพลางตอบ “คุณหนูแข็งแรงดีเจ้าค่ะ เลี้ยงง่ายไม่ร้องไห้โยเยแม้แต่น้อย” นางกำลังจะสาธยายความน่ารักของคุณหนูต่อ นายท่านก็ยกมือขึ้นตัดบทอย่างเย็นชา “ดูแลพวกนางให้ดีๆ ไม่ต้องบอกว่าข้ามาที่นี่” กล่าวจบชางฉือหมิงก็ก้าวยาวๆ ออกจากเรือนไป เหลียนฮวาถอนใหญ่เฮือกใหญ่ มองตามแผ่นหลังของนายท่านที่ห่างออกไป ส่ายหัวกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปทางห้องของนายหญิงพร้อมกับสำรับในมือ “ฮูหยินเจ้าคะ กินอาหารก่อนเถิด น้ำแกงไก่ตุ๋นชามนี้ท่านต้องดื่มให้หมดนะเจ้าคะ ส่งคุณหนูมาให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ” “เมื่อครู่เจ้าคุยกับใครหรือ” ลี่เซียงเงยหน้าขึ้นจากบุตรสาว เอ่ยถามสาวใช้อย่างสงสัย “บ่าวกำชับอาเหมยให้ส่งคนไปรับถ่านจากโรงครัวมาเจ้าค่ะ” ลี่เซียงมิได้ติดใจ นางส่งบุตรสาวให้เหลียนฮวาก่อนจะจับตะเกียบขึ้นกินอาหาร ชางเยว่ในร่างทารกยังไม่รู้สึกง่วงจึงนอนเป่าปาก เหลียนฮวาหัวเราะคิกพลางขยับให้นายหญิงของตนดู “คุณหนูช่างขี้เล่นเหลือเกินเจ้าค่ะ หน้าตาก็งดงามนัก ใครเห็นจะไม่รักได้อย่างไร” คนพูดไม่ได้คิดแต่มือที่กำลังจับตะเกียบชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของลี่เซียงทอประกายเจ็บปวดวูบหนึ่ง ตั้งแต่วันสมรสนางก็ไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย ยิ่งคลอดบุตรสาวออกมามีหรือเขาจะใส่ใจ เกิดมาครึ่งเดือนแล้วแม้แต่หน้าบิดาก็ยังไม่เคยเห็น หากเป็นบุตรชายพวกเขาอาจจะยังเหลียวแลบ้าง กระนั้นลี่เซียงก็ไม่เดือดร้อนหากพวกนางแม่ลูกถูกหลงลืมอยู่ในมุมอับของจวนแห่งนี้ตลอดไป สามวันก่อนถึงวันครบเดือนของชางเยว่ ทางเรือนหลักส่งคนมาถามว่านางวางแผนจะจัดการอย่างไร ลี่เซียงเพียงกล่าวขอบคุณและบอกว่าทางจวนมีธุระมากมาย เพียงงานครบเดือนของบุตรีคงไม่รบกวน ครั้นได้รับคำตอบเช่นนี้คนในจวนจึงมิได้สนใจอีก พวกเขาเองก็เพียงถามเพื่อแสดงท่าทีว่ามิได้ละเลยเท่านั้น พอถึงวันงานต่างก็เพียงส่งของขวัญมายังเรือนชิงฟาง เป็นกุญแจหรูอี้รูปแบบต่างๆ ทำจากหยกและทอง ชางฉือหมิงผู้เป็นบิดายังคงไม่ปรากฏกาย ชางเยว่น้อยได้แต่แหงนหน้ามองมารดาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม นางอยากจะพูดได้เร็วๆ เหลือเกิน จะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงยังไม่เคยเจอหน้าบิดา ท่านแม่... ท่านพ่อหายไปไหน? ผู้เป็นมารดาได้ยินลูกสาวส่งเสียงอ้อแอ้ก็ก้มลงมอง เห็นสายตาพราวระยับของเด็กหญิงก็ใจอ่อนยวบ ความทุกข์เศร้าในใจเลือนหายไปสิ้น “เยว่เอ๋อร์ลูกรัก มีเพียงเจ้า แม่ก็ไม่ต้องการสิ่งใด” ชางเยว่ซุกหน้าอยู่กับอกมารดา รู้สึกอุ่นสบายไปทั่วร่าง ชั่วขณะนั้นนางเห็นด้วยกับท่านแม่เป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงมีท่านแม่ นางก็สุขใจเหลือเกิน เรื่องบิดา...รอไปก่อนก็ได้กระมัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD