ในตอนกลางดึก จริญญารู้สึกได้ว่าตัวเองมีอาการคล้ายจะไม่สบายจึงลงไปหายาลดไข้และยาแก้หวัดเตรียมเอาไว้
เมื่อเธอเดินผ่านห้องรับประทานอาหาร ก็พบว่าภณยังคงนั่งดื่มอยู่เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มที่อยู่หลังห้อง และเขากำลังจ้องมองมาที่เธอ
หญิงสาวก้มหน้าลงเพื่อที่จะเดินผ่านเขาไปยัง ห้องพี่อยู่ด้านหลัง เธอหยิบยาเท่าที่ตนต้องการเพื่อที่จะรีบกลับห้องให้เร็วที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะถามไถ่อีกฝ่ายเพราะเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให้
“นี่ เธอน่ะ... เรียนจบแล้วทำไมยังไม่ไปจากบ้านฉันอีก จะอยู่สูบเลือดสูบเนื้อครอบครัวฉันไปถึงไหน” ประโยคที่ดูถูกนั้นทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
เธอหันกลับไปที่เขา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาด้วยความยำเกรง “คุณภณคะ คือว่าจ๋าอยากอยู่ที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณลุงคุณป้าค่ะ และอีกอย่างจ๋ายังไม่ได้ตอบแทนคุณภณเลย”
“เธอยังจำได้อยู่เหรอว่าเป็นหนี้ชีวิตฉัน” เขาถามด้วยน้ำเสียงยานหน่อยๆ แฝงไปด้วยความมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
“จ๋ายังจำได้ค่ะ ที่จ๋ายังใช้ชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะพี่..เอ่อ คุณภณช่วยเหลือจ๋าเอาไว้”
“งั้นเธอก็ควรตอบแทนฉันโดยการออกไปให้พ้นๆ หน้า การที่เธอยังคงอยู่ที่บ้านหลังนี้มันทำให้ฉันหงุดหงิดลูกตา พี่ภัทรไม่อยู่ให้คุณพ่อคุณแม่พูดชื่นชมแล้วแขวะฉัน แต่ก็ยังมีเธอมาเป็นตัวแทน ฉันทำอะไรก็ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร”
“จ๋าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ จ๋าอยากให้พี่มองจ๋าในแง่ดีบ้าง เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่นมองเขาด้วยสายตาที่ขอความเห็นใจใน มือยังคงถือซองยาเอาไว้แน่น
ภณมองใบหน้าหวานที่กำลังอ้อนวอนขอความเมตตาจากตน จริงๆ เธอก็ไม่ได้ทำผิดอะไร มันเป็นที่เขานั่นแหละที่โกรธประวิตรและต่อต้านเขา จนทำไม่ดีกับจริญญาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรักและเอ็นดูเธอมาก ตนจึงรู้สึกไม่ดีกับเธอก็เท่านั้น
พลันความคิดที่เจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาในหัว ในเมื่อเธออยากตอบแทนบุญคุณเขา เขาก็จะจัดการทำให้เธอได้สมหวัง
“เริ่มต้นกันใหม่อย่างนั้นเหรอ” เขาพูดทบทวนประโยคของเธอเบาๆ
จริญญาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง หลายปีที่ผ่านมา เธอหวังว่าความสัมพันธ์ของเธอกับภณจะดีและราบรื่นเหมือนสมัยเด็กอีกครั้ง
ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามายืนต่อหน้าเธอ จากนั้นมือของเขาก็เอื้อมไปวางที่ศีรษะของหญิงสาว ก่อนที่จะลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันจะให้โอกาสเธอได้ทำดีเพื่อไถ่โทษ และตอบแทนบุญคุณที่ฉันช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แล้วอย่าทำอะไรผิดพลาดอีกล่ะ”
“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากนะคะคุณภณ ขอบคุณมากจริงๆ” จริญญายิ้มออกมาด้วยความดีใจ ทั้งๆ ที่ใบหน้าก็เริ่มซีดเซียวลงแล้ว แต่การให้อภัยของเขาทำให้เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เขาเลื่อนหลังมือมาแตะที่หน้าผาก “ตัวเริ่มรุมๆ แล้ว กินยาแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะ”
แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ประโยคที่เขาพูดออกมาแสดงความห่วงใยนั้นก็ทำให้จริญญารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ค่ะ คุณภณ” หญิงสาวรับปาก ก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินหันหลังกลับขึ้นไปยังห้องพักของตน ไม่รู้ว่าเขาเมาหรือว่าเขาให้โอกาสเธอจริงๆ แต่จะอย่างไรเธอก็ดีใจมาก
ภณเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีน ดวงตาคู่เรียวมองเธอด้วยแววตาที่สมเพช
คอยดูเถอะว่าเขาจะทำอย่างไรกับหญิงสาวที่คุณพ่อคุณแม่เขาเอ็นดูเหมือนลูกสาวอีกคน
************************
ประวิตรและวิภาที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศยังคงอยู่ในอาการอ่อนเพลีย และปรับตัวเข้ากับเวลายังไม่ทัน จึงไม่ได้เข้าไปบริษัทในช่วงสองถึงสามวันนี้
“พ่อกับแม่ไม่ได้เข้าไปบริษัทนะ ยังไงก็ฝากดูต่ออีกสักวันสองวัน ถ้ามีเอกสารสำคัญเร่งด่วนก็ค่อยให้คนเอามาให้เซ็นที่บ้านก็แล้วกัน” ประมุขของบ้านบอกแก่ลูกชายคนรองของตนในขณะที่รับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
“ครับ” ภณรับปากบิดา ในขณะที่ใช้ช้อนคนโจ๊กตรงหน้าเพื่อระบายความร้อนไปด้วย
“จริงสิ ตอนที่ป้ากับลุงไม่อยู่ ที่บริษัทมีปัญหาอะไรไหม” วิภาหันไปถามจริญญาที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการของตน
“ไม่มีค่ะ คุณภณจัดการปัญหาทุกอย่างได้อยู่หมัด และยังมีพี่กุ้งคอยดูแลด้านเอกสาร ทุกอย่างจึงเรียบร้อยดีค่ะ” หญิงสาวกล่าวชมถึงเลขานุการของประวิตรในตอนท้าย เพราะอีกฝ่ายจัดการเอกสารได้ดีจึงเบาแรงของภณไปได้เป็นอย่างมาก
จริญญาเป่าโจ๊กในช้อนแล้วค่อยๆ กินอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดไร้สีถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางปิดทับ ฝืนรับประทานอาหารเช้าตรงหน้าทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกหิว
เธอมองนาฬิกาข้อมือที่วิภาให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามปีที่แล้วด้วยความกังวล เกรงว่าตนจะไปทำงานไม่ทัน เพราะไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ใดๆ และทำตามกฎระเบียบเหมือนพนักงานทั่วไป เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้วจึงวางช้อนลง
“อิ่มแล้วเหรอลูก ทำไมกินน้อยจัง” วิภาถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับประทานไปได้เพียงไม่กี่คำ
“จ๋าต้องรีบไปทำงานค่ะ ไม่อยากจะทำงานสาย”
“อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลา ให้นายกล้าขับรถไปส่งแค่สิบนาที ยังมีเวลาอีกถมเถไม่ต้องรีบหรอก กินต่อเถอะ” วิภาพูดด้วยความเอ็นดู
จริญญาได้แต่ยิ้มเจื่อนลง เธอจะกล้าบอกได้อย่างไรว่าช่วงที่ทั้งสองไม่อยู่นั้นภณไม่ให้ตนใช้รถของที่บ้าน และตนต้องเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง
“ให้เธอไปพร้อมผมก็ได้ครับ” ประโยคเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือจากภณ เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด
จริญญาหันไปมองเขา หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ที่เขาบอกเมื่อคืนยังคงจำได้ ไม่ใช่แค่เมาแล้วพูดไปเรื่อยอย่างที่เธอเป็นกังวล
“วันนี้ท่าทางจะมีพายุเข้า” ประวิตรพูดขึ้นมาแล้วยิ้มกับภรรยาอย่างอารมณ์ดี
“ภณพูดจริงใช่ไหมลูก จะให้น้องติดรถไปด้วยจริงๆ ใช่ไหม” วิภาถามด้วยความยินดี
“ทำไมล่ะครับ การที่ผมจะให้จ๋าติดรถไปด้วยมันเป็นเรื่องแปลกนักหรือไง ทำไมต้องทำหน้าและก็ทำเสียงแบบนั้นด้วย”
“ไม่แปลกหรอกลูก ไม่แปลกเลยสักนิด” วิภาพูดแล้วยิ้มกริ่ม บางทีความหวังที่ว่าจะให้จริญญามาเป็นลูกสะใภ้คนเล็กอาจจะมีแววสมหวังแล้วก็ได้
“ว่าแต่ดูท่าทางแล้ว จ๋าเหมือนจะไม่สบายนะ ทำไมไม่หยุดพักสักวันก่อนล่ะ เมื่อวานก็ตากฝนมา ป้าว่าไม่ต้องไปทำงานหรอก” วิภาทักท้วงขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่ปกตินัก
“นั่นสิ หากเป็นลมเป็นแล้งมาจะวุ่นวายเอา ลุงว่าจ๋าพักผ่อนที่บ้านสักวันสองวันเถอะ” ประวิตรเองก็เห็นด้วยกับภรรยา
“เอ่อ...” จริญญาคิดว่าตัวเองไหว เพราะวันนี้ภณอุตส่าห์จะให้เธอติดรถไปด้วย เธอไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“เชื่อคุณพ่อคุณแม่เถอะ พักผ่อนให้หายดีก่อนค่อยไป” ภณหันมาบอกเธอ ทำเอาบุพการีทั้งสองยิ้มอย่างพอใจให้แก่กัน
“ค่ะ งั้นจ๋าขอลางานหนึ่งวันนะคะ” จริญญารับคำอย่างว่าง่าย ดวงตาเป็นประกายเมื่อภณเหมือนจะดีกับตนจริงๆ แล้ว
************************