จริญญากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตนเอง หญิงสาวมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนของกระจกแล้วหลับตาลง นึกย้อนไปถึงอดีตที่ตนเคยถูกภณช่วยชีวิตเอาไว้
ภาพในตอนนั้นคือเธอ ภณและภัทร เด็กสามคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในทุ่งนาหลังหมู่บ้าน ในขณะที่พวกผู้ใหญ่กำลังหุงหาอาหารเพื่อที่จะรับประทานอาหารในบรรยากาศท่ามกลางท้องทุ่งท้องนา
หญิงสาวตกน้ำในขณะที่กำลังเอื้อมมือออกไปเก็บดอกบัว คนที่ลงไปช่วยเธอคือภณเพราะภัทรว่ายน้ำไม่เป็น
หลังจากที่ช่วยขึ้นมาได้ภณเองก็เกือบจะจมน้ำ เมื่อช่วยขึ้นมาได้แทนที่เขาได้รับคำชมเชยจากผู้ใหญ่แต่กลับถูกดุด่าว่าเป็นหัวโจกในการชักชวนเธอลงไปเล่นน้ำ ในขณะที่ภัทรพยายามจะแก้ตัวช่วยน้องชายแต่ก็ถูกดุเอาไว้จนต้องก้มหน้าเงียบนิ่ง
ในตอนนั้นภณถูกประวิตรเฆี่ยนตีแม้จะพยายามอธิบายแต่บิดาก็ไม่ฟัง ประวิตรถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเธอยังตกใจอยู่จึงไม่ได้อธิบายอะไรออกไป
ภณเองจ้องมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเพราะเธอไม่ได้พูดแก้ต่างอะไรช่วยเขาทำให้ภณถูกลงโทษอย่างหนัก
แต่หลังจากที่เธออาการดีขึ้นแล้วในวันรุ่งขึ้นจึงรีบเข้าไปอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้แก่ประวิตรและวิภาฟัง เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นแล้วอย่างไรล่ะ ภณก็ถูกทำโทษไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้
หลังจากนั้นภณก็เหมือนว่าจะไม่อยากพูดคุยกับเธอ ในขณะที่ภัทรเองก็พยายามอธิบายให้น้องชายเข้าใจว่าในสถานการณ์นั้นจริญญาเองก็คงตกใจจนทำตัวไม่ถูก แต่ก็ดูเหมือนว่าภณจะไม่ยอมรับฟังและฝังใจไปแล้วว่าเธอกลายเป็นคนที่เนรคุณทั้งๆ ที่เขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้
หลังจากที่ครอบครัวของเขากลับไป จริญญาก็ยังรู้สึกผิดในเรื่องนี้อยู่เสมอ บุพการีของเธอที่เคยเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนของประวิตรก็บอกให้เธอจำบุญคุณของภณเอาไว้ เพราะเขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอ จนตัวเองถูกเข้าใจผิด ในอนาคตเธอจะต้องทำดีกับเขาให้มาก
หลายปีผ่านไปเพราะพิษของเศรษฐกิจทำให้ครอบครัวของเธอต้องขายที่นาเพื่อมาชดใช้หนี้ พ่อที่เสียที่ดินผืนสุดท้ายไปก็ตรอมใจหนักจนเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นานแม่ของเธอก็เสียชีวิตตามไป ก่อนจะตายได้ฝากฝังเธอเอาไว้ให้ประวิตรและวิภาช่วยดูแลเธอ
หญิงสาวจึงเข้ามาอยู่ในบ้านก่อเกียรติวิวัฒน์ตั้งแต่ตอนอายุได้ 18 ปี ในฐานะผู้อยู่อาศัย และรู้ดีว่าตนเองอยู่ในสถานะใดจึงพยายามช่วยงานบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แม้จะมีคนรับใช้ในบ้านหลังนี้ก็ตาม
มื้ออาหารค่ำบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความตึงเครียด ประวิตรและวิภาไม่ใช่ว่าเขารักลูกไม่เท่ากัน กับภัทรเองเขาก็เข้มงวดแบบนี้ตลอดเพียงแต่ว่าภัทรเป็นคนที่เชื่อฟังทำให้ไม่ต้องดุด่าอะไรมากมาย ตรงข้ามกับภณที่เคยมีปู่ให้ท้ายและดื้อรั้นไม่เชื่อฟังจึงมีดุด่าว่ากล่าวตักเตือนอยู่บ่อยครั้งจนอีกฝ่ายคิดว่าพวกตนนั้นรักพี่ชายมากกว่า
และยิ่งปู่ของเขาจากไปภณก็ยิ่งดูห่างเหินจากครอบครัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเขาโทษว่าเป็นความผิดของบิดาที่ตัดสินใจที่จะถอดเครื่องช่วยหายใจโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นจากเขาก่อนทำให้สูญเสียคนคนเดียวที่รักและเข้าใจเขาที่สุดในบ้านไป ดังนั้นเขาจึงต่อต้านบิดาอยู่ไม่น้อย
“คุณลุงกับคุณป้าไปเที่ยวมาสนุกไหมคะ แล้วพี่ภัทรเป็นยังไงบ้างคะสบายดีหรือเปล่า” จริญญาพยายามพูดคุยเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น
“จะว่าสนุกไหมก็ถือว่าดีแหละ แต่เดินชมนั่นนี่จนเมื่อยขาไปหมดเลยก็อย่างว่าแหละส่วนมากสถานที่ท่องเที่ยวก็ให้เดินชมนั่นชมนี่ไปทั่ว” วิภายิ้ม เล่าออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของเธอ
“ตาภัทรเองก็สบายดียังมีของฝากมาฝากจ๋าด้วยนะแต่อยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุงจะเอาให้” ทั้งสองพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม รู้สึกเอ็นดูจริญญาเป็นอย่างมาก
ตามจริงอยากรับอีกฝ่ายมาเป็นลูกสะใภ้ แต่ติดที่ว่าภัทรเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวและเขาก็มีคนรักเป็นชาวต่างชาติในตอนที่กำลังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศด้วย
ส่วนจะให้เป็นสะใภ้คนเล็กนะหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้ หากบังคับให้ภณแต่งงานกับเธอ ก็จะกลายเป็นว่าส่งเธอให้ภณรังแกเอาเปล่าๆ
“มีของโปรดคุณภณด้วย เดี๋ยวจ๋าตักให้นะคะ” จริญญาหันไปหาภณแล้วมองดูอาหารจานโปรดที่วางอยู่ไกลจากเขา
“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงที่เย็นชาพูดขึ้นอย่างไม่เป็นมิตร จากนั้นเขาก็ตักอาหารเท่าที่จะตักถึงแล้วกินอย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่สนใจว่าตนเองทำอะไรเธอเอาไว้เพราะเขาคิดว่ามันสมควรแล้ว
แค่คุกเข่าตากฝนชั่วโมงเดียว มันเทียบไม่ได้หรอกกับการที่เธอทำให้ของที่ระลึกระหว่างเขากับคุณปู่ที่รักที่สุด ต้องถูกทำลายไปต่อหน้า
“น้องถามดีๆ นะตาภณทำไมพูดกับน้องแบบนั้น” ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่สนใจคำพูดของมารดา ทำไมเขาจะต้องทำดีกับอีกฝ่ายในเมื่อจริญญาไม่ใช่ญาติโกโหติกา
“ผมไม่มีน้องสาว” เขาพูดแล้วหรี่ดวงตาคู่เรียวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่ค่อยชอบใจนัก
ตอนที่เธอมาอยู่ก็เป็นช่วงที่เขา กำลังทำเรื่องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ นึกถึงตอนดึกที่หญิงสาวไม่ช่วยเขาพูดอะไรจนทำให้ถูกบิดาลงโทษก็ยังเคืองไม่หาย
แต่เรื่องนั้นไม่โกรธเท่ากับที่เธอเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านคนใหม่แล้วเอาอกเอาใจบุพการีของเขาจนกลายเป็นคนโปรด ทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับเธออยู่หลายครั้ง
พอเขาไปเรียนต่อต่างประเทศได้ห้าปีกลับมา หวังว่าเธอจะเรียนจบแล้วออกไปใช้ชีวิตที่อื่น แต่หญิงสาวก็ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่และทำงานที่บริษัทของพ่อแม่เขา
เธอมีอภิสิทธิ์อะไรขนาดนั้น ญาติก็ไม่ใช่ แถมได้รับคำชมอยู่ตลอด ในขณะที่เขาทำอะไรก็ขวางหูขวางตาบิดาไปหมด
ที่บริษัทก็ต้องทนเห็นหน้าเธอแทบทุกวัน ดีที่พ่อแม่ไม่ได้ส่งเธอมาช่วยงานเป็นเลขานุการของเขาไม่อย่างนั้นคงได้ประสาทเสียทั้งวันแน่
จริงๆ แล้วเรื่องวัยเด็กก็ผ่านมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าจริญญาอยู่ บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอมาแย่งความรักจากพ่อกับแม่ของเขาไปก็ได้
“หนูกินเยอะๆ นะลูก ดูสิผอมแห้งไปหมดแล้ว ป้าไม่อยู่แค่สัปดาห์เดียวทำไมซูบลงไปขนาดนี้”
จริญญาได้แต่ยิ้มรับบางๆ เงยหน้ามองใบหน้าที่แสนเย็นชาของภณ
เธอไม่อยากถือโทษโกรธในสิ่งที่เขาทำกับเธอในวันนี้ เพราะรู้ดีว่าสิ่งของแทนใจสิ่งนั้นมันมีค่าสำหรับเขามากแค่ไหน
“ลูกชายตัวเองก็มี แต่กลับถามลูกคนอื่น”
“ตาภณ” วิภาหันมาเอ็ดลูกชายขี้อิจฉา
“เอาเถอะครับ ผมกลับมาได้หลายเดือน เริ่มชินแล้ว ตอนนี้หรือสมัยก่อนก็ไม่ต่างกันหรอก แค่เปลี่ยนจากพี่ภัทรเป็นผู้หญิงคนนี้ก็เท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับว่าไม่ได้สนใจอะไร
แต่ลึกๆ แล้วจริญญารู้ดีว่าเขากำลังตัดพ้ออยู่ในใจที่ไม่เคยได้รับความสนใจจากบุพการีเท่าที่ควร
************************