สวรรค์ลำเอียง

1807 Words
เมื่อได้ใช้เวลาทบทวนอยู่กับตนเองสักพัก จางหนิงเอ๋อก็ทำใจยอมรับกับความเป็นจริงได้ว่าตนเองนั้นได้สิ้นบุญในยุคปัจจุบันไปเสียแล้ว สงสารก็แต่มารดาและน้องชายที่ต้องสูญเสียลูกสาวและพี่สาวไปอย่างไม่มีวันกลับเพียงเท่านั้น  โชคดีที่เธอได้ทำพินัยกรรมเอาไว้และได้บอกมารดาเกี่ยวกับเงินออมแต่ล่ะบัญชีที่เธอมีอยู่ให้มารดาทราบ ซึ่งมีมากพอที่จะส่งเสียน้องชายให้เรียนจบจนสามารถหางานทำได้ด้วยตนเอง และสามารถใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ไปได้อีกหลายปี “จากนี้ฉันจะเดินหน้าต่อไปยังไงดีนะ” จางหนิงเอ๋อกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “ปกติตามพล็อตละครหลังข่าวหรือหนังสือนิยายที่เราเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ถ้านางเอกย้อนยุคมาจะต้องมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมหลงเหลืออยู่นี่นา” จางหนิงเอ๋อพยายามตั้งสติคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยหวังว่าจะมีภาพต่าง ๆ ขึ้นมาในหัว แต่เปล่าเลย แม้ว่าจางหนิงเอ๋อจะพยายามใช้ความคิดอย่างหนักและพยายามรวบรวมสติมากแค่ไหน ผลสุดท้ายคือความว่างเปล่าและไม่มีภาพใด ๆ ในหัวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย “เอาอย่างนี้ไป๋หนิงอ้าย เธอมีความทรงจำอะไรบ้าง เธอถ่ายทอดมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” จางหนิงเอ๋อพูดบ่นคนเดียวเสียงเบา “ไป๋หนิงอ้าย เร็ว ๆ สิ ฉันรอเธออยู่นะ ให้ข้อมูลฉันมาเร็ว ๆ สิ สงสารฉันด้วยเถอะ ฉันไม่อยากเริ่มต้นอะไรใหม่ทั้งหมดหรอกนะ เธอต้องช่วยฉันนะ ถ้าเธอไม่ช่วยฉัน ฉันจะประท้วงอดข้าวอดน้ำให้โฉมสะคราญอย่างเธอต้องเฉาตายเลยคอยดู” จางหนิงเอ๋อเริ่มบ่นพึมพำคนเดียวหนักขึ้น “โอ๊ยย! นี่มันเรื่องอะไรกันนะ คนอื่นเขาย้อนยุคมาเจ้าของร่างเดิมก็ช่วยถ่ายโอนความทรงจำให้เป็นบางส่วนบ้าง ให้ทั้งหมดบ้าง แต่ทำไมฉันถึงไม่ได้รับการถ่ายโอนความทรงจำอะไรให้เลย” จางหนิงเอ๋อเริ่มโอดครวญคนเดียวในใจ “สวรรค์ลำเอียงชัด ๆนางเอกก็ไม่ได้เป็น นางร้ายที่สวย ฉลาดก็ไม่ได้เป็น ตัวหลักก็ไม่ได้เป็น ตัวประกอบที่ช่วยดำเนินเรื่องก็ไม่ได้เป็น ดันย้อนยุคมาเป็นคนที่ถูกลืมเสียนี่ ท่านลำเอียงเกินไปแล้วนะสวรรค์”  จางหนิงเอ๋อเริ่มกล่าวโทษสวรรค์ด้วยความน้อยใจในโชคชะตาที่ตนต้องประสบพบเจออยู่ “ฉันคงต้องยอมรับกับความเป็นจริงนี้สินะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าการตายจากโลกในยุคปัจจุบัน แล้วมาเกิดใหม่ในยุคอดีตจะมีอยู่จริง ๆ”  จางหนิงเอ๋อพูดพร้อมทั้งพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น “จางหนิงเอ๋อได้จากไปแล้วจริง ๆ ที่ตรงนี้มีเพียงไป๋หนิงอ้ายสินะ ฉันก็คือเธอ ต่อไปนี้ฉันต้องแทนตัวเองว่าไป๋หนิงอ้าย ไม่ใช่จางหนิงเอ๋อแล้วสินะ สติอย่าหลุดเด็ดขาด ที่นี่คือวังหลังเราต้องไม่ประมาท” จางหนิงเอ๋อกล่าวย้ำกับตนเองภายในใจ   “พระสนมเพคะ” เสี่ยวขุยร้องเรียกเบา ๆ จากทางด้านนอก “เข้ามาได้เสี่ยวขุย ฉัน เอ๊ย ข้า ต้องขอโทษด้วยนะที่ปล่อยให้เจ้ารออยู่ข้างนอกตั้งนาน เข้ามาข้างในก่อนเถอะ ข้างนอกลมเริ่มพัดแรงแล้ว”  จางหนิงเอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงนางกำนัลเพียงคนเดียวที่คอยติดตามรับใช้เจ้าของร่างเดิมมาโดยตลอด “พระสนมไป๋ตาอิ้ง” เสี่ยวขุยพูดเสียงสั่น ๆ “มีอะไรเช่นนั้นหรือเสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย “ทรงขอโทษหม่อมฉัน และทรงเป็นห่วงหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ” เสี่ยวขุยพูดพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น “พอได้แล้วเสี่ยวขุย วันนี้เจ้าร้องไห้ทั้งวันเลยนะ เจ้ามีอะไรในใจของเจ้า ช่วยเล่าให้ข้าฟังทีได้หรือไม่?”  ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางก้มตัวลงประคองให้เสี่ยวขุยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “หม่อมฉันไม่กล้านั่งเสมอกับพระสนมเพคะ” เสี่ยวขุยพูดขึ้นพร้อมทั้งยังไม่ยอมลุกขึ้นจากพื้น “ถ้าเช่นนั้นก็ทำที่เจ้าสบายใจเถอะ มีอะไรก็พูดออกมาอย่าได้อ้ำ ๆ อึ้งๆ อีกเลย” ไป๋หนิงอ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าเจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าขอถามอะไรกับเจ้าได้หรือไม่เสี่ยวขุย?”  ไป๋หนิงอ้ายพูดขึ้นเสียงเบา “ได้เพคะ” เสี่ยวขุยพูดพลางพยักหน้าไปด้วย “เมื่อก่อนข้าเป็นคนยังไงกันหรือเสี่ยวขุย?” “พระสนมเป็นคนไม่ค่อยพูดเพคะ” “เจ้าช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยสิ ว่าข้าเป็นคนไม่ค่อยพูดแบบไหน?”  ไป๋หนิงอ้ายซักต่อ “พระสนมไม่เคยพูดอะไรกับใครเลยเพคะ ตั้งแต่พระสนมเข้าวังมา พระสนมเพียงแต่พยักหน้ากับส่ายหน้าเท่านั้นเพคะ” เสี่ยวขุยตอบเสียงเบาไม่ต่างกัน “ข้าเป็นใบ้หรือ!!?” ไป๋หนิงอ้ายลืมตัวถามขึ้นเสียงดัง “ไม่ได้เป็นใบ้เพคะ แต่พระสนมไม่ค่อยพูดเพคะ” เสี่ยวขุยตอบเสียงสั่นด้วยความตกใจที่พระสนมของตนพูดเสียงดังขึ้น “ถ้าเช่นนั้นคำที่ข้าพูดมีอะไรบ้าง?” “ขอตัวก่อนเพคะ” เสี่ยวขุยตอบเสียงสั่นพร้อมทั้งหลุบตาลงมองพื้น “ขอตัวไปไหน? ขอตัวไปทำอะไร?” ไป๋หนิงอ้ายเริ่มถามเสียงดังขึ้นอีก “เวลาเจอหน้าใครพระสนมจะตรัสเช่นนี้ตลอดเลยเพคะ” เสี่ยวขุยตอบเสียงเบาลงเรื่อย ๆ เพราะเริ่มกลัวท่าทีคุกคามจากการตั้งคำถามจากพระสนมของตน “ไป๋หนิงอ้าย” จางหนิงเอ๋อ กรีดร้องชื่อนี้อยู่ในใจรอบที่หนึ่งร้อย “แล้ววัน ๆ ข้าทำอะไรบ้าง พูดก็ไม่พูด?” ไป๋หนิงอ้ายถามเสียงเบาลง เมื่อสังเกตพบว่าเสี่ยวขุยเริ่มมีอาการหน้าซีดจากการตอบคำถามที่เสียงดังเอาการของตนไปเมื่อสักครู่นี้ “วัน ๆ พระสนมจะศึกษาเกี่ยวกับตำราการเมืองการปกครองเพคะ” “จะศึกษาทำไม ศึกษาไปเพื่ออะไร?” ไป๋หนิงอ้ายพูดรัวเป็นชุด “แล้วเพื่อนล่ะ มีเพื่อนคบกับข้าบ้างหรือไม่ในวังหลังแห่งนี้?” ไป๋หนิงอ้ายถามต่อ “พอจะมีอยู่บ้างเพคะ” เสี่ยวขุยตอบเสียงเบาพร้อมทั้งทำหน้าครุ่นคิดไปด้วย “ผู้นั้นเป็นใครกันหรือหรือเสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามอย่างตื่นเต้น “พระสนมไฉ่กุ้ยเหรินเพคะ” เสี่ยวขุยตอบ “นางกับข้าสนิทสนมกันมากหรือไม่?” “พระสนมเหตุใดจึงถามหม่อมฉันเช่นนั้นเล่าเพคะ?”เสี่ยวขุยทำหน้าตาประหลาดใจ “ข้าก็เหมือนคนที่ตายแล้วฟื้นเกิดใหม่ ข้าอยากจะบอกกับเจ้าว่า ตั้งแต่ข้ากินอาหารจานนั้นเข้าไป ข้าก็รู้สึกทรมาน แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ปวดหัวจนแทบจะระเบิด และหลังจากนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางเอามือขวากุมขมับ มือซ้ายกุมหน้าอกไว้แน่น พร้อมกับทำหน้าเศร้า “เอาเถอะเสี่ยวขุย หากเจ้ารำคาญข้า เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ทิ้งข้าไว้ตรงนี้คนเดียวก็ได้”  ไป๋หนิงอ้ายพูดเสียงเศร้าพลางหลุบตาลงมองพื้น “พระสนมตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ ถึงต้องตายหม่อมฉันก็จะขออยู่รับใช้พระสนมโดยไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งใดเพคะ” เสี่ยวขุยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เหตุใดเจ้าถึงได้ดีกับข้าถึงเพียงนี้ล่ะเสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามขึ้นด้วยความสงสัย  “ตอนหม่อมฉันเข้าวังมาใหม่ ๆ หม่อมฉันถูกใส่ความว่าขโมยของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้พระสนมขั้นผินคนหนึ่งเพคะ มีเพียงพระสนมไป๋ตาอิ้งที่ยืนยันและเป็นพยานให้หม่อมฉันว่าหม่อมฉันไม่ได้ขโมยของพระราชทานนั้นจริง ๆ อีกทั้งพระสนมยังหาของที่หายไปนั้นพบอีกด้วยเพคะ” เสี่ยวขุยเล่าพลางน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความปลื้มใจ “สรุปแล้วคนร้ายตัวจริงเป็นใครกันหรือเสี่ยวขุย?” “เป็นนางกำนัลของพระสนมขั้นผินเองเพคะ ที่เป็นคนขโมยของไป ตั้งแต่ที่พระสนมไป๋ตาอิ้งยื่นมือมาช่วยเหลือหม่อมฉันในครานั้น ทำให้หม่อมฉันปฏิภาณกับตนเองในใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะขอรับใช้พระสนมไป๋ตาอิ้งไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เพคะ” เสี่ยวขุยพูดอย่างเทิดทูนและจงรักภักดี “ข้าขอถามต่อนะเสี่ยวขุย พระสนมไฉ่กุ้ยเหรินที่ข้าสนิทด้วย นางดีกับข้าหรือไม่?" “เอ่อ คือ” เสี่ยวขุยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “จะดีก็ไม่ใช่จะร้ายก็ไม่เชิงเพคะ” “อ่อ ถ้าเช่นนั้นงั้นข้าคงต้องระมัดระวังตัวเองเอาไว้สินะ แล้วนี่มันยุคสมัยไหนเหรอเสี่ยวขุย ใครเป็นฮ่องเต้?” ไป๋หนิงอ้ายถามต่อไม่หยุด “นี่พระสนมทรงจำสวามีตัวเองไม่ได้เลยหรือเพคะ?” เสี่ยวขุยถามกลับด้วยสีหน้าที่งุนงงหนักกว่าทุกรอบที่เคยทำมา “อะไรนะเสี่ยวขุย นี่ข้ากับฮ่องเต้ได้เสียกันแล้วรึไงฮะ?” ไป๋หนิงอ้ายถามขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว “ยะ ยะ ยังเพคะ ก่อนวันที่พระสนมจะได้ถวายการรับใช้องค์ฮ่องเต้ทรงถูกใส่ความให้เข้ามาอยู่ในตำหนักเย็นเสียก่อนเพคะ” “เฮ้อ!! โล่งอกไปที  ที่ข้ายังไม่ได้ร่วมหอลงโลงอะไรกับฮ่องเต้นั่น”  ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางเป่าลมหายใจออกจากปาก เสี่ยวขุยมองดูกิริยาท่าทางแปลก ๆ นั้นด้วยแววตาตื่นตะลึง “แล้วข้าได้เข้ามาอยู่ในตำหนักเย็นนี้นานแค่ไหนแล้วหรือเสี่ยวขุย?” “จะสามเดือนแล้วเพคะพระสนม” “ขอบใจเจ้ามากสำหรับข้อมูลนะเสี่ยวขุย นี่ก็ดึกมากแล้ว อาหารเย็นพวกนี้เจ้าเอาไปฝังไว้เถอะ อย่าให้นกกาได้กินจนตายตกตามกันไปเลย” ไป๋หนิงอ้ายออกคำสั่งเสียงเรียบ “เพคะ” เสี่ยวขุยรับคำอย่างว่าง่าย “แล้วเจ้าก็รีบกลับมานอนพักเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยสู้กันใหม่นะเสี่ยวขุย”  ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางล้มตัวลงนอนครุ่นคิดถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัวในค่ำคืนที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงดาวในตำหนักเย็นอันเปลี่ยวเหงาท่ามกลางวังหลวงอันโอ่อ่านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD