แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องลงมาให้แสงสว่างและความอบอุ่นในอรุณแรกของวันนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
แพขนตางอนเริ่มกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับความสมดุลของแสงที่ส่องเข้ามาในห้อง
“พระสนมเพคะ ตื่นเถิดเพคะพระสนม” เสี่ยวขุยร้องเรียกพระสนมของตนเบา ๆ ที่ปลายเตียง
“นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วหรือเสี่ยวขุย” ไป๋หนิงอ้ายถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ยามเฉิน (เวลา 07.00 น.) เพคะพระสนม”
“ข้าอยากอาบน้ำชำระร่างกาย ที่อาบน้ำอยู่ตรงไหนหรือเสี่ยวขุย?”
ไป๋หนิงอ้ายถามพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง
“ที่อาบน้ำอยู่ด้านหลังฉากกั้นในห้องนี้เองเพคะ หม่อมฉันต้มน้ำไว้ให้ พระสนมอาบเรียบร้อยแล้วเพคะ”
เสี่ยวขุยพูดพลางผายมือไปยังฉากกั้นไม้ไผ่ที่อยู่เกือบชิดผนังห้อง
“ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวขุย"
ไป๋หนิงอ้ายลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปยังด้านหลังฉากกั้น พร้อมทั้งถอดชุดออกลงแช่น้ำอุ่นทำความสะอาดร่างกายสักพักจึงขึ้นมาจากน้ำ เสี่ยวขุยมาช่วยแต่งตัวให้พระสนมของตนอย่างรู้งาน
“เสี่ยวขุย เราอยู่ที่ตำหนักเย็นแห่งนี้ เราได้รับพวกเสื้อผ้า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค อะไรบ้างหรือไม่ในระยะสามเดือนที่ผ่านมานี้?” ไป๋หนิงอ้ายถามขึ้นอย่างใช้ความคิด
“เราได้รับอาหารแค่เพียงหนึ่งมื้อเท่านั้นเองเพคะ” เสี่ยวขุยตอบ
“ส่วนเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค มาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามเดือนเรายังไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพคะ”
เสี่ยวขุยพูดพลางตั้งท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกระลอก
“เสี่ยวขุยอย่าเพิ่งร้องไห้ เราลองออกไปเดินสำรวจดูข้างนอกกันก่อนดีกว่า ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นนี่ต่อไปยังไงดี” ไป๋หนิงอ้ายกล่าวชวนหลังจากเสี่ยวขุยช่วยติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เพคะ” เสี่ยวขุยรับคำและเดินตามพระสนมของตนออกมาต้อย ๆ
“เดี๋ยวนะเสี่ยวขุย เจ้าต้องมาเดินนำข้าสิ จะไปหลบอยู่ข้างหลังข้าทำไมล่ะ ข้าความจำเสื่อมไปแล้ว คงช่วยนำทางให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ”
ไป๋หนิงอ้ายหยุดเดินและพูดกับเสี่ยวขุยด้วยความประหลาดใจ
“หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลรับใช้ มิบังอาจเดินนำหน้าพระสนมได้หรอกเพคะ”
“อ้อ กฎระเบียบในวังหลวงเป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ งั้นเราไปกันเถอะ ข้านำ เจ้าตาม ก็เป็นอันจบเรื่อง”ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับเดินนำออกไปข้างหน้า
“ตำหนักนี้มีชื่อหรือไม่เสี่ยวขุย”
“ไม่มีชื่อเพคะ แต่ว่าวังหลังจะเรียกตำหนักที่ใช้คุมขังฝ่ายในกันว่าเหลิ่งกงเพคะ” เสี่ยวขุยตอบตามความเข้าใจของตน
“อ่อ เหลิ่งกง วังเหมันต์สินะ ถ้ามันเย็นมาก เราก็ช่วยกันจุดไฟให้มันอุ่นๆ ดีหรือไม่เสี่ยวขุย” ไป๋หนิงอ้ายพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับสิ่งใด
“ดะ ดะ ดี เพคะ พระสนมดูเปลี่ยนไปมากเลยนะเพคะ”เสี่ยวขุยพูดพร้อมกับแอบลอบมองพระสนมของตนด้วยแววตาชื่นชม
“เปลี่ยนไปมากยังไงกันหือ? เสี่ยวขุยน้อย” ไป๋หนิงอ้ายพูดเย้าแหย่นางกำนัลของตนด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“ก็พระสนมทรงดูเข้มแข็งขึ้น ร่าเริงขึ้น และดูมีสติในการต่อสู้กับทุกอย่างในชีวิตเลยน่ะสิเพคะ” เสี่ยวขุยพูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม
“คนเราก็ต้องมีการปรับตัวเรียนรู้กับสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไปกันทั้งนั้นแหล่ะเสี่ยวขุย อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง”
ไป๋หนิงอ้ายพูดอย่างคนที่ปลงตกไปแล้วหลายส่วน
“เราเดินสำรวจไปรอบ ๆ ตำหนักกันเถอะ เจ้าอาจจะคุ้นชินกับที่นี่แล้วนะเสี่ยวขุย แต่ยังไงก็ช่วยเดินเป็นเพื่อนข้าหน่อยนะ”ไป๋หนิงอ้ายกล่าวขอ
เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้ว ไป๋หนิงอ้ายก็พบว่าตำหนักเย็นที่ตนอาศัยอยู่เป็นเรือนไม้ผสมปูนหลังเล็ก ๆ ขนาดกว้างคูณยาว สี่คูณแปดเมตร หลังคาเตี้ย มุงด้วยกระเบื้องสีเลือดหมูที่เก่าคร่ำคร่าจนสีกระเบื้องหลุดลอกไปแล้วหลายแผ่น และกระเบื้องบางแผ่นยังชำรุดจนฝนตกแล้วน้ำสามารถรั่วซึมหยดลงบนพื้นห้องได้
มีประตูไม้ทางเข้าสองบานที่สภาพจวนจะผุพัง และหน้าต่างด้านหน้าอีกสี่บานเล็ก ๆ ที่พอจะกันลมได้นิดหน่อยเท่านั้น และห้องเล็ก ๆ อีกหนึ่งห้องที่อยู่ถัดไปทางซ้ายมือขนาดกว้างคูณยาว สามคูณสามเมตร ที่มีประตูเข้าเพียงหนึ่งบาน ไป๋หนิงอ้ายสันนิษฐานว่าห้องนี้อาจจะเคยใช้เป็นห้องเก็บฟืนมาก่อน พื้นดินด้านนอกหญ้าขึ้นเยอะจนจะสูงท่วมหัวเข่า
ตำหนักเย็นเล็ก ๆ แห่งนี้น่าจะมีพื้นที่ขนาดประมาณเพียงสองงานเท่านั้น กำแพงล้อมรอบด้วยอิฐสูงประมาณสามเมตร มีต้นดอกเหมยขึ้นอยู่บริเวณนั้นสี่ต้น
“เอาละ ตำหนักเย็นนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก อย่างน้อยก็ยังมีต้นไม้พอให้ได้อาศัยร่มเงาอยู่บ้าง แล้วเรามีน้ำดื่มน้ำใช้บ้างหรือไม่เสี่ยวขุย?”
ไป๋หนิงอ้ายเอ่ยถามพลางใช้สายตามองไปรอบๆ ตำหนัก
“มีเพคะพระสนม บ่อน้ำอยู่ตรงใต้ต้นดอกเหมยต้นนั้นเพคะ”
เสี่ยวขุยพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ต้นดอกเหมยที่อยู่ถัดออกไปตรงบริเวณชิดกำแพงตำหนัก
‘โชคดีที่อย่างน้อยตำหนักเย็นนี้ ก็ยังมีบ่อน้ำพอให้เราได้ใช้กินและอาบ และยังมีต้นไม้พอให้เราได้อาศัยร่มเงาอยู่บ้าง’ ไป๋หนิงอ้ายคิดขึ้นมาในใจ
“เสี่ยวขุย เรามาทำตำหนักเย็นของเราให้น่าอยู่กันเถอะ” ไป๋หนิงอ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่างแรกเลยคือการถางหญ้าที่รก ๆ นี่ทิ้งไปเสีย และทำความสะอาดข้างใน และข้างนอกตำหนักนี่ให้สะอาดน่านอนขึ้นมาหน่อยก็แล้วกัน แต่ว่า......”
ไป๋หนิงอ้ายเงียบไปอย่างใช้ความคิด
“แต่อันใดกันหรือเพคะพระสนม” เสี่ยวขุยถามขึ้น
“เราสองคนช่วยกันทำงานหนักขนาดนี้ เราต้องได้กินอาหารดี ๆ สิถึงจะได้มีแรงทำงาน แต่เจ้าบอกกับข้าว่า เราจะได้รับอาหารเพียงแค่หนึ่งมื้อเท่านั้น และอาหารที่ส่งมานั้นยังมียาพิษปะปนมาในอาหารนั้นด้วย”
ไป๋หนิงอ้ายกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้ข้ายังไม่ได้สนใจว่าผู้ใดที่ต้องการทำร้ายข้า แต่สิ่งที่ข้าสนใจคือ ถ้าข้าหิวข้าต้องได้กินเข้าใจหรือไม่เสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางเอามือนวดคลึงขมับไปด้วย
‘มันต้องมีวิธีสิ ที่เราจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ ต้องมีสักวิธี’
ไป๋หนิงอ้ายครุ่นคิดในใจ
“ขอเวลาให้ข้าคิดก่อนนะเสี่ยวขุย หรือเจ้ามาช่วยข้าคิดหน่อยก็ดี สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับเดินไปมาหน้าตำหนักราวกับว่าการเดินไปมานี้จะทำให้ตนคิดหาทางออกดี ๆ ขึ้นมาได้