หญิงแค้นมากล้นวังใน1
อาคารสองชั้นรูปทรงโมเดิร์นทาสีขาวสบายตาทั้งหลังตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนถนนสายหลักในตัวเมืองปักกิ่ง ผู้คนภายนอกต่างเคลื่อนไหวด้วยความเร่งรีบรีบร้อน ทว่าบรรยากาศภายในอาคารแห่งนี้กลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก เพราะนี่คือหอสมุดแห่งชาติประจำเมืองปักกิ่งที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่จากภาคเอกชนเมื่อสองปีที่ผ่านมา
จางหนิงเอ๋อ คือหนึ่งในบรรณารักษ์ประจำหอสมุดแห่งนี้ มีหน้าที่ในการจัดหมวดหมู่หนังสือต่างๆ และทำการซ่อมแซมหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศที่ชำรุด เธอเพิ่งเรียนจบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สาขาบรรณารักษ์ และเริ่มทำงานที่หอสมุดแห่งนี้มาได้นานราวสองเดือนเศษ
พร้อมเพื่อนสนิทจากคณะเดียวกันชื่อ เสี่ยวซี ทั้งสองคนสนิทกันมากเรียกได้ว่าที่ไหนมีจางหนิงเอ๋อที่นั่นต้องมีเสี่ยวซีอยู่ด้วย
ผู้คนในหอสมุดดูบางตา และบรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย หลังจากจัดหมวดหมู่ของหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเดินมานั่งประจำที่โต๊ะทำงาน โดยไม่ลืมถือหนังสือที่ยังอ่านไม่จบมานั่งอ่านต่อที่โต๊ะทำงานด้วย
“หนิงเอ๋อ จางหนิงเอ๋อ” เสียงเรียกเบา ๆ ที่ดังขึ้นจากโต๊ะทางด้านหลังกระตุ้นให้จางหนิงเอ๋อหันหน้าไปดูก็พบว่าเสี่ยวซีกำลังกวักมือเรียกตนอยู่ จึงเดินตรงไปหาเสี่ยวซีที่โต๊ะ และนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับถามขึ้นมาว่าเสียงเบาว่า “แกมีอะไรหรือเปล่าเสี่ยวซี?”
“แกอ่านอะไรของแกอยู่เหรอหนิงเอ๋อ เห็นแกดูขะมักเขม้นตั้งใจจังเลยนะ?” เสี่ยวซีถามพลางชะโงกหน้าลงไปดูปกหนังสือที่จางหนิงเอ๋อถืออยู่
“ฉันกำลังศึกษาตำราเกี่ยวกับชนิดของยาพิษและยาถอนพิษอยู่น่ะแก” จางหนิงเอ๋อตอบพร้อมกับหันหน้าปกหนังสือให้เสี่ยวซีดู
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแก ตอนพักเที่ยงเราออกไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารข้าง ๆ หอสมุดนี่ได้ไหม?” เสี่ยวซีนัด
“ได้สิ” จางหนิงเอ๋อตอบรับคำชวน พร้อมทั้งขอตัวกลับไปทำงานต่อ
เวลา 12.00 น.
“ไปกันเถอะหนิงเอ๋อ พักเที่ยงแล้ว” เสี่ยวซีเดินมาเรียกที่โต๊ะ
“อืม” จางหนิงเอ๋อตอบรับคำ พร้อมทั้งใช้ที่คั่นหนังสือคั่นหน้าที่ยังอ่านไม่จบไว้ ทั้งสองเดินออกจากหอสมุดไปอย่างเงียบ ๆ และแวะกินอาหารตามสั่งข้างหอสมุด เมื่อสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวซีก็เปิดฉากการพูดคุยขึ้นมาทันที
“หนิงเอ๋อ แกจะอ่านตำราที่ว่าด้วยยาพิษและการถอนพิษไปทำไมกัน ฉันไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกับงานบรรณารักษ์ของเราตรงไหนเลย?”
เสี่ยวซีถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันก็อ่านไปเรื่อย ๆ อะแก มีตำราอะไรให้อ่าน ฉันก็อ่านไปเรื่อยเปื่อย” จางหนิงเอ๋อตอบพลางตักกะเพราปลาหมึกเข้าปากไปด้วย
“บางวันฉันก็เห็นแกอ่านทักษะการฆ่าคนด้วยมือเปล่า ฉันถามจริง ๆ เถอะ หนิงเอ๋อ คนสวยระดับดาวคณะบรรณารักษ์อย่างแกมีลับลมคมในอะไรกับฉันรึเปล่าเนี่ย?” เสี่ยวซีถามทีเล่นทีจริง
“บ้า!!ไม่มีอะไรหรอก ความชอบส่วนตัวของฉันล้วน ๆ เลยแก ทำมาเป็นตื่นเต้น สมัยเรียนมหา’ลัยด้วยกัน ฉันก็อยู่ชมรมกีฬา ขี่ม้า ยิงธนู เทควันโด ฉันไม่เห็นแกจะตื่นเต้นอะไรแบบนี้เลย”จางหนิงเอ๋อตอบยิ้ม ๆ
“ฉันก็สงสัยเป็นธรรมดาแหล่ะ เห็นแกอ่านเรื่องยาพิษ อ่านเรื่องการฆ่าคนนี่นา คนสวยจิตใจดีแบบแกจะไปฆ่าใครได้ ขนาดยุงกัด แกยังไม่กล้าตบยุงเลยนี่นา” เสี่ยวซีพูดปนขำ
“เอ่อนี่ หนิงเอ๋อ เย็นนี้เป็นวันครบรอบการเป็นเพื่อนรักกันครั้งแรกมาสี่ปีเต็ม เราไปฉลองกันไหม?”เสี่ยวซีชวน
“ได้สิ วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์พอดีเลย แต่ขอนัดเวลาเป็นช่วงดึกหน่อยได้ไหมแก พอดีหลังเลิกงาน ฉันมีงานพิเศษต้องทำต่อนิดหน่อยน่ะ”
จางหนิงเอ๋อกล่าวขอ
“ได้สิไม่มีปัญหา ห้าทุ่มเราเจอกันเลย ขอเป็นการฉลองด้วยการกินอาหารรสเลิศที่ภัตตาคารหรู ๆ เคล้าเสียงเพลงจากไวโอลินเพราะๆ ท่ามกลางบรรยากาศของแสงเทียน เห็นวิวสวย ๆ ยามค่ำคืนด้วยนะแก โรแมนติกจะตาย” เสี่ยวซีตอบรับคำขอ พร้อมทั้งทำหน้าตาเพ้อฝันถึงบรรยากาศที่ตนวาดฝันไว้
“เสี่ยวซี เสี่ยวซี !!” จางหนิงเอ๋อเรียก พร้อมทั้งสะกิดคนตรงหน้าที่กำลังทำหน้าตาเคลิบเคลิ้มอย่างหนักอยู่
“อะไรกันหนิงเอ๋อ แกจะเรียกฉันทำไมเสียงดังฮะ?”
เสี่ยวซีทำหน้าเหมือนกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนหวาน
“ดูแกจะเคลิบเคลิ้มเสียจนแมลงวันบินเข้าปากไปได้ตั้งหลายตัวแล้วนะนั่น” จางหนิงเอ๋อหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นหน้าตาเง้างอนของเพื่อน
“หนิงเอ๋อ จำไว้เลยนะแก กล้ามาทำลายความสุขของฉัน แต่ไม่เป็นไรหรอกตอนเย็นฉันก็จะมีความสุขอีกครั้งแล้ว” เสี่ยวซีพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเลื่อนหน้าจอไปมาพร้อมทั้งอมยิ้มน้อย ๆ ไปด้วย
“ความสุขอะไรของแกเหรอเสี่ยวซี?” จางหนิงเอ๋อถามพลางเหลือบตาดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเสี่ยวซีไปด้วย
“ก็เย็นนี้สามีของฉันจะมาหาน่ะสิแก” เสี่ยวซีตอบพลางทำหน้าตาเขินอายม้วนตัวไปมาเบา ๆ
“แกไปแอบแต่งงานตอนไหนกันยะแม่คนสวยกอดอุ่น ไหนสามีอยู่ไหน สามีน่ารักรึเปล่า?” จางหนิงเอ๋อกล่าวแซวเพื่อนด้วยความชอบใจ
“นี่ไงแก…สามีของฉันคือฮ่องเต้จากเรื่องศึกวังหลังชิงบัลลังก์หัวใจมังกรนี่ไง ละครเรื่องนี้คนฮิตติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง เรตติ้งอันดับหนึ่งของจีนด้วยนะ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะออกอากาศได้สามตอนเอง” เสี่ยวซีโฆษณาไม่หยุดด้วยความภาคภูมิใจ
“แกอย่าลืมดูนะหนิงเอ๋อ เย็นนี้เวลาหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ไม่ดูเดี๋ยวจะคุยกับฉันไม่รู้เรื่องนะ” เสี่ยวซีบอก
“โอเค ฉันจะดูละครเรื่องนี้ ในเย็นวันนี้ก็แล้วกันนะ แต่ว่าตอนนี้แกชวนฉันเมาท์มอยจนจะบ่ายโมงแล้ว เราไปทำงานกันต่อดีกว่า”
จางหนิงเอ๋อกล่าวชวน ทั้งสองจึงเดินไปทำงานด้วยกันหลังจากจ่ายค่าอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เวลา 18.00น. คือเวลาเลิกงานของหอสมุดแห่งนี้ จางหนิงเอ๋อรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านทันที เนื่องจากเธอมีงานพิเศษที่ต้องทำต่อ
“แกอย่าลืมดูละครที่ฉันแนะนำไปนะหนิงเอ๋อ และอย่าลืมเวลานัดห้าทุ่มของเราด้วยล่ะ”
เสี่ยวซีกล่าวย้ำอีกครั้งก่อนกลับบ้าน
“อืม ฉันไม่ลืมหรอก” จางหนิงเอ๋อรับคำ พร้อมทั้งเดินออกจากหอสมุดไปด้วยความรีบเร่ง
เวลา 19.00 น.
“พระสนมเพคะ พระสนม ฮือ ๆ ๆ ๆ” เสียงนางกำนัลร่างท้วมนางหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างเตียงของผู้เป็นนายอย่างน่าสงสารดังขึ้น
“เหตุใดพระสนมจึงได้อายุสั้นเช่นนี้ สิ้นบุญของพระสนมแล้ว หม่อมฉันจะหันหน้าไปพึ่งพาผู้ใดกันได้อีกเล่าเพคะ พระสนมยังสาวยังสวยอยู่แท้ๆ นอกจากจะโชคร้ายถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็นโดยที่ไม่มีความผิดแล้ว ยังมาถูกลอบวางยาพิษให้สิ้นชีพไปอีก” นางกำนัลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า พร้อมทั้งค่อย ๆ ห่มผ้าห่มให้พระสนมของตนอย่างเบามือ
“ไม่ได้!! ข้าจะมัวมานั่งร้องไห้แบบนี้อยู่อีกไม่ได้ ข้าต้องรีบไปตามหมอหลวงมารักษาอาการให้พระสนม” นางกำนัลร่างท้วมเอ่ยขึ้นพลางรีบร้อนลุกขึ้นด้วยความลนลาน เมื่อเดินสลับกับวิ่งออกมาจนถึงหน้าประตูตำหนักเย็นแล้ว จึงเคาะประตูขึ้นเสียงดังปัง !!
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าจงรีบเปิดประตูให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้ พระสนมไป๋ตาอิ้งถูกลอบวางยาพิษ ข้าจะรีบไปตามหมอหลวงมารักษา” นางกำนัลร่างท้วมเคาะประตูเสียงดังแรงขึ้นและร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
“ข้าขอร้องพวกเจ้า ช่วยไปตามหมอหลวงมารักษาพระสนมของข้าที ได้โปรดเถิด”
แต่ถึงแม้นางจะอ้อนวอนเพียงไรก็ไม่เป็นผล ทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูตำหนักเย็นกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนเสียงของนางเป็นเพียงสายลมบางเบาที่พัดผ่านไปเพียงเท่านั้น
“เฮ้อ!!! นี่มันละครหลังข่าวเรื่องอะไรกันเนี่ย เห็นยัยเสี่ยวซีบอกว่าสนุกนักสนุกหนา พอมาดูเข้าจริง ๆ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย” จางหนิงเอ๋อบ่นกระปอดกระแปด พร้อมกับกดรีโมตปิดทีวีด้วยความเบื่อหน่าย
(ติงนึง) เสียงไลน์แจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น จางหนิงเอ๋อจึงกดโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ก็พบเข้ากับข้อความว่า
ภารกิจลับ ล้วงข่าวส่งยา ค้าอาวุธ ยั่วยวน ชวนปั๊มลายนิ้วมือ
เป้าหมาย เหมาชิวถัง (นักการเมืองท้องถิ่น หนุ่มใหญ่วัย 45 ปี)
สถานที่ งานกินเลี้ยงของบริษัทเหมา
เวลา (21.00น. ถึง 22.00 น.)
หมายเหตุ ถ้าภารกิจสำเร็จ ให้ส่งงานไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าบริษัท
จางหนิงเอ๋อนั่งเงียบ ๆ อย่างใช้ความคิดในการวางแผนการทำงานของเธอ (สายลับ) อาชีพที่น้อยคนนักจะได้เป็นเพราะเป็นอาชีพที่เสี่ยงและค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก จางหนิงเอ๋อนั้นได้ตัดสินใจที่จะเป็นสายลับเมื่อสองปีก่อนด้วยอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น
เหตุผลหลัก คือคำว่าเงิน เธอต้องการเงินเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาใช้ในการรักษามารดาที่ป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบ และต้องการเก็บเงินไว้สักก้อนเพื่อซื้อที่ปลูกบ้านในอนาคต
ตอนนี้มารดาของเธออาศัยอยู่กับน้องชายเพียงสองคนที่เมืองซีอัน บิดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กและฝากฝังให้เธอช่วยดูแลแม่และน้องชายต่อไป ดังนั้นเธอจึงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลครอบครัวของเธอให้มีความสุขที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้