“เสี่ยวขุย เมื่อก่อนอาหารที่เราได้รับ ใครเป็นคนนำมาส่ง และนำมาส่งให้ในเวลาใด” ไป๋หนิงอ้ายถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ตนอยากรู้
“ยามอู่เพคะ (เวลา 11.00 น.) ยามที่หน้าตำหนักจะส่งเข้ามาให้ผ่านช่องเล็ก ๆ ตรงหน้าประตูตำหนักเพคะ”
“เจ้ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับยามเฝ้าหน้าประตูหรือไม่เสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามต่อ
“หม่อมฉันรู้เพียงเล็กน้อยเพคะ” เสี่ยวขุยตอบพลางก้มหน้าลงมองพื้น
“เจ้ารู้อะไรบ้าง ช่วยเล่าให้ข้าฟังที เผื่อข้อมูลที่เจ้ารู้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราก็เป็นได้”ไป๋หนิงอ้ายพูดอย่างมีความหวัง
"ยามคนแรกชื่อจู้ชินฟง อายุประมาณยี่สิบสองปี ที่บ้านฐานะยากจน มีบิดามารดาที่แก่ชรามากแล้ว อาศัยอยู่กับน้องชายหญิงอีกห้าคนที่นอกเมือง เขาจึงอดทนมาทำงานในวังหลวงเพื่อที่จะหาเงินส่งไปให้ครอบครัวข้างนอกเพคะ” เสี่ยวขุยตอบพร้อมทั้งพยายามนึกถึงสิ่งที่ตนเคยได้ยินมาก่อน
“ส่วนอีกคนชื่อปู้เชาหลง อายุประมาณยี่สิบปี เขาเพิ่งได้รับพระราชทานสมรสกับนางกำนัลตำหนักไทเฮาไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้มีลูกเล็กอยู่หนึ่งคนอายุประมาณแปดเดือนเพคะ” เสี่ยวขุยรายงานข้อมูลที่ตนรู้มาด้วยความนอบน้อม
“เจ้ารู้ข้อมูลพวกเขาได้ยังไงกันเสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามด้วยความประหลาดใจ”
“หม่อมฉันขอตอบพระสนมตามตรงว่าหม่อมฉันแอบฟังพวกเขาพูดคุยกันผ่านหน้าประตูตำหนักเย็นตลอดสามเดือนที่ผ่านมานี้เลยเพคะ”
เสี่ยวขุยตอบอย่างอาย ๆ
“และเมื่อเช้านี้หม่อมฉันได้ยินมาอีกว่าลูกเล็กอายุแปดเดือนของปู้เชาหลงป่วยเป็นไข้ขึ้นสูง รักษาได้สามวันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นเลยเพคะ"
เสี่ยวขุยจาระไนเรื่องที่ตนรู้มาให้พระสนมของตนทราบ
ไป๋หนิงอ้ายใช้ความคิดอยู่สักพัก จึงถามเสี่ยวขุยขึ้นมาอีกว่า “ก่อนที่ข้าจะได้เข้ามาอยู่ที่ตำหนักเย็น ข้าได้นำของสิ่งใดติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
“พระสนมนำหีบมาทั้งหมดสามหีบเพคะ หม่อมฉันเพียงช่วยพระสนมขนหีบนั้นมา แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าในหีบทั้งสามใบนั้นมีอะไรอยู่ข้างในบ้างเพคะ” เสี่ยวขุยตอบ
“หีบสามใบนั้นอยู่ตรงไหนหรือเสี่ยวขุย?” ไป๋หนิงอ้ายถามอย่างมีความหวัง
“อยู่ใต้เตียงไม้ของพระสนมเพคะ” เสี่ยวขุยตอบ
“เราไปดูกันเถอะว่าในหีบนั้นมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง” ไป๋หนิงอ้ายกล่าวชวนพลางเดินกลับเข้าไปในตำหนักด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเปิดหีบใบแรกออกมาดู ไป๋หนิงอ้ายก็พบว่ามีสมบัติจำพวกไข่มุก สร้อยไข่มุก แหวนรัตนชาติ กำไลข้อมือทองคำ สร้อยคอทองคำ เงิน และทองคำแท่งอัดแน่นอยู่เต็มหีบ
เมื่อเปิดหีบใบที่สองออกมาก็พบว่ามีตำราต่าง ๆ มากมายอยู่ภายในหีบ ได้แก่ ตำราการทำอาหาร ตำราการเมืองการปกครอง ตำราการปลูกพืชผัก ตำรายาพิษ ตำราทักษะการขี่ม้าและการยิงธนู ตำราการร่ายรำ และตำราอื่น ๆ อีกมากมายที่วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างใน
เมื่อเปิดหีบใบที่สามออกมาดู ไป๋หนิงอ้ายก็เริ่มตาโตเมื่อพบเข้ากับเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มากมายเป็นร้อย ๆ ถุงบรรจุอยู่เต็มหีบใบนั้น
‘สวรรค์!! ข้าจะปลูกพืชผักผลไม้ ปลูกดอกไม้ให้เต็มตำหนักเย็นแห่งนี้เลย’ ไป๋หนิงอ้ายคิดขึ้นมาในใจ
“เอาละเสี่ยวขุย เราไปเจรจาผูกมิตรกันเถอะ”
ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับหยิบไข่มุกก้อนกลม ๆ ขนาดเท่าไข่ไก่ออกไปด้วยสองลูก และหยิบทองคำแท่งติดมือไปด้วยสองแท่ง
ขณะก้าวขาออกมาข้างหน้าตำหนักได้ประมาณสิบเก้า เสี่ยวขุยก็สะดุดล้มหัวคะมำลงไปที่พื้น
“อูยยย!! เจ็บจังเลยเพคะพระสนม” เสี่ยวขุยร้องโอดครวญพลางเอามือกุมหัวเข่าทั้งสองข้างของตนนวดคลึงไปมาเบา ๆ
“เดินระวังหน่อยสิเสี่ยวขุย เป็นอะไรมากหรือไม่ สะดุดอะไรเข้าล่ะ?”
ไป๋หนิงอ้ายรีบเดินเข้าไปหาเสี่ยวขุยและช่วยพยุงเสี่ยวขุยให้ลุกขึ้นมาจากพื้น เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบเข้ากับเถาวัลย์สีน้ำตาลอ่อนเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งที่มีใบสีเขียวรูปหัวใจใบเล็ก ๆ ล้อมรอบเถาวัลย์นั้น
“วิเศษ!!” ไป๋หนิงอ้ายร้องขึ้นอย่างดีใจ
“มีเรื่องใดวิเศษกันหรือเพคะพระสนม?”
เสี่ยวขุยถามด้วยความงุนงงสงสัย
“พืชสมุนไพรชนิดนี้เป็นยารักษาโรคได้ด้วยนะเสี่ยวขุย มันมีชื่อว่า
กู่หลง สรรพคุณช่วยรักษาไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะ”
ไป๋หนิงอ้ายบรรยายสรรพคุณของพืชสมุนไพรที่ตนพบเจอโดยบังเอิญด้วยความดีใจ เพราะคิดว่าตนสามารถนำพืชสมุนไพรนี้ไปใช้ซื้อใจคนที่ตนต้องการความช่วยเหลือได้
“อย่าบอกนะเพคะว่าพระสนม” เสี่ยวขุยพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“ใช่แล้วเสี่ยวขุย เราไปผูกมิตรกับยามหน้าตำหนักกันเถอะ” ไป๋หนิงอ้ายพูดด้วยความมั่นใจ พร้อมกับเดินนำไปยังประตูหน้าตำหนัก
ปัง ๆ ๆ !! ไป๋หนิงอ้ายเคาะประตูแรง ๆ สามครั้ง
“ข้าพระสนมไป๋ตาอิ้งมีเรื่องอยากเจรจากับพวกเจ้า”
………เงียบ..........
“พวกเจ้าเป็นใบ้หรืออย่างไรกันเหตุใดไม่ยอมพูดจากับข้า”
ไป๋หนิงอ้ายพูดพลางเอาหูแนบกับประตูตำหนัก
“คร่อกกก”
เสียงกรนเบา ๆ ที่ดังขึ้นหน้าประตูตำหนัก ทำให้ไป๋หนิงอ้ายต้องก้มลงไปเปิดช่องเล็ก ๆ ขนาดสิบคูณสามสิบเซนติเมตรตรงประตูส่องดูจึงพบว่ายามหน้าตำหนักผู้หนึ่งกำลังหลับยามอยู่เพียงลำพัง จึงเอ่ยถามกับเสี่ยวขุยเสียงเบาว่า
“ยามผู้นี้คือใครกันหรือเสี่ยวขุย?”
“เขาคือจู้ชินฟงเพคะ” เสี่ยวขุยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาไม่แพ้กัน
“จู้ชินฟง จู้ชินฟง” ไป๋หนิงอ้ายร้องเรียกถี่ ๆ จู้ชินฟงเมื่อได้ยินเสียงเรียกถี่ ๆ จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เมื่อพบเข้ากับใบหน้าเล็ก ๆ และดวงตากลมโตของไป๋หนิงอ้ายที่กำลังจ้องมองมายังตนอยู่ จึงทำให้จู้ชินฟงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“คารวะพระสนมไป๋ตาอิ้ง” จู้ชินฟงกล่าวเสียงสั่น ๆ
“เอาละ ลุกขึ้น ลุกขึ้นได้” ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับผายมือขึ้น
“เหตุใดเจ้าจึงได้มานั่งหลับยามอยู่หน้าตำหนักเย็นนี้ได้ล่ะจู้ชินฟง?”
ไป๋หนิงอ้ายเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เอ่อ คือ คือ กระหม่อม” จู้ชินฟงตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า?” ไป๋หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย
“จู้ชินฟงเหนื่อยมาก จึงได้เผลอหลับยามไปพ่ะย่ะค่ะ” ปู้เชาหลงที่เดินมาจากอีกมุมหนึ่งเป็นฝ่ายตอบแทน
“แล้วเจ้าล่ะปู้เชาหลง เจ้าหายไปไหนมา? หลบเลี่ยงไม่ปฏิบัติหน้าที่มีโทษสถานใด?” ไป๋หนิงอ้ายถามขึ้นเสียงดัง
“พวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารยามสองนายคุกเข่าลงไปกับพื้น
“เอาละ ข้าไม่ได้มาหาเรื่องกล่าวโทษพวกเจ้า แต่ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือพวกเจ้าต่างหากลุกขึ้นเถอะ”ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับผายมือขึ้น
“พระสนมมีเรื่องอันใดให้พวกกระหม่อมช่วยเหลือหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จู้ชินฟงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว
“ข้าต้องการอุปกรณ์ตามนี้ พวกเจ้าช่วยเป็นธุระไปจัดหามาให้ข้าที”
ไป๋หนิงอ้ายยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ใส่มือของจู้ชิงฟง
“มีไก่ย่างหนึ่งตัว เป็ดย่างหนึ่งตัว น้ำดื่มสะอาดหนึ่งไห สุรารสเลิศหนึ่งไห ถ้วยสี่ใบ จานสี่ใบ แก้วสี่ใบ หม้อสองใบ กระทะหนึ่งใบ ช้อนห้าคัน จอบ เสียม พลั่ว บัวรดน้ำอย่างละสองอัน ผ้าไหมสีชมพูหนึ่งพับ กรรไกรสองอัน เข็มปักผ้าห้าเล่ม เส้นด้ายสิบสีอย่างละหนึ่งม้วน” จู้ชิงฟงอ่านทวนรายการเบา ๆ
“พระสนมจะนำของพวกนี้มาทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จู้ชินฟงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าอย่าถามอะไรมากนักเลย อะนี่ ไข่มุกคนละลูก ข้าให้พวกเจ้าไว้เป็นของตอบแทนน้ำใจพวกเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ และทองคำแท่งสองแท่งนี้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับของที่ข้าต้องการ”
ไป๋หนิงอ้ายเอ่ยพลางยื่นไข่มุกให้จู้ชินฟงและปู้เชาหลงคนละหนึ่งลูก
พร้อมเอ่ยขึ้นมาอีกว่า "ปู้เชาหลง ข้ารู้ว่าเจ้ามีลูกเล็กอยู่หนึ่งคนที่ตอนนี้ป่วยด้วยไข้สูงรักษามาสามวันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ข้าพอจะมีพืชสมุนไพรล้ำค่าอยู่นิดหน่อย ข้าจะให้เจ้าเอาไปรักษาลูกของเจ้า” ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับยื่นสมุนไพรก้านเล็ก ๆ ที่ตนหักติดมือออกมาด้วยให้ปู้เชาหลง แต่ปู้เชาหลงยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด
“เจ้ารับลูกแก้วไข่มุก แต่เจ้าไม่ยอมรับสมุนไพรจากข้าอย่างนั้นหรือปู้เชาหลง?” ไป๋หนิงอ้ายพูดขึ้นอย่างโมโห
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจข้า ข้าก็ขอวางสมุนไพรไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะ”
ไป๋หนิงอ้ายพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาจากช่องตรงประตูและวางสมุนไพรไว้บนพื้น
“สมุนไพรนี้ให้นำไปต้มน้ำสองขันให้เดือดนานสองชั่วยาม (สี่ชั่วโมง) หลังจากนั้นเจ้าถึงเอากากยามาทำเป็นลูกกลอนให้ลูกเจ้ากินได้ อาการลูกเจ้าจึงจะดีขึ้น” ไป๋หนิงอ้ายกล่าวสำทับ
“อ้อ จู้ชินฟง ของที่ข้าสั่งบ่ายนี้ยามเซิน (เวลา 16.00 น.) ข้าต้องได้รับเข้าใจหรือไม่?”ไป๋หนิงอ้ายกล่าวย้ำ
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” จู้ชินฟงกล่าวรับคำสั่ง
“ดี พวกเจ้าไปทำตามที่ข้าสั่งได้แล้ว หากวันหน้าข้าสามารถออกไปจากตำหนักเย็นนี้ได้ ข้าจะไม่ลืมว่าพวกเจ้าเคยช่วยเหลืออะไรข้าไว้เลย” ไป๋หนิงอ้ายพูดอย่างมั่นใจว่าอนาคตข้างหน้าตนต้องสามารถออกไปจากตำหนักเย็นนี้ได้อย่างแน่นอน