ทางด้านปู้เชาหลงนั้นก็มีความรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก เมื่อรักษากับหมอหลวงย่างเข้าสู่วันที่ห้าแล้วอาการป่วยของบุตรชายยังไม่ดีขึ้น ทำให้เขานอนไม่หลับจนต้องผุดลุกผุดนั่งในกลางดึก
ภรรยาที่นอนอยู่ข้าง ๆ ต่างก็วิตกกังวลไม่แพ้กัน “เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะท่านพี่ ลูกอี้ของเรา ฮึก!!” นางกล่าวได้เพียงเท่านั้น น้ำตาก็พลันไหลลงอาบหน้า
“ไม่ว่าจักมีวิธีใดที่พอจะรักษาลูกอี้ของเราได้ ข้ายอมทั้งนั้นท่านพี่ หากตายแทนลูกได้ข้าก็ยอม” เสียงภรรยาร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนเถอะ ข้ายังพอมีอีกวิธีหนึ่งที่น่าจะพอช่วยลูกของเราได้” ปู้เชาหลงปลอบโยนภรรยา
“วิธีใดหรือท่านพี่?” ภรรยาถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ข้าเพิ่งได้สมุนไพรมาจากพระสนมไป๋ตาอิ้งเมื่อสองวันก่อน เห็นพระสนมบอกว่ามันมีสรรพคุณลดไข้ได้ชะงัด แต่ข้ายังไม่ปักใจเชื่อนัก”
“พระสนมไป๋ตาอิ้ง!! ใช่พระสนมที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นหรือไม่เจ้าคะท่านพี่” ภรรยาถามด้วยความฉงน
“ใช่แล้ว” ปู้เชาหลงตอบ
“พระสนมทรงถูกคุมขังตั้งสามเดือน เหตุใดถึงได้เพิ่งมาพูดคุยกับท่านพี่ได้ในยามนี้เล่าเจ้าคะ?” ภรรยาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“พระสนมทรงถูกลอบวางยาพิษในตำหนักเย็น เห็นว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่พอฟื้นขึ้นมากลับเหมือนเป็นคนละคน” ปู้เชาหลงพูดเสียงเรียบ
“เหตุใดพระสนมถึงได้ให้สมุนไพรกับเราเล่าเจ้าคะท่านพี่ แล้วพระสนมได้ให้สิ่งใดกับท่านพี่อีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“ข้าเพียงรับไข่มุกจากพระสนมมาหนึ่งลูก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้หมอหลวงมารักษาลูกของเรา แต่ข้ายังไม่กล้านำสมุนไพรที่พระสนมให้นั้นมาต้มให้ลูกอี้กิน” ปู้เชาหลงพูดอย่างหนักใจ
“หมอหลวงบอกว่าถ้าเจ็ดวันแล้วอาการไข้ของลูกอี้ยังไม่ดีขึ้น ลูกอี้โตขึ้นมาแล้วอาจจะเป็นคนสติปัญญาไม่สมประกอบนักนะเจ้าคะ และวันนี้ตัวลูกอี้สั่นหนักมากตอนไข้ขึ้นอีก ข้ากลัวเจ้าค่ะท่านพี่ ฮือออ!!” ภรรยาพูดไปร้องไห้ไปอย่างน่าสงสาร
“เอาอย่างนี้ เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าจะลองไปต้มสมุนไพรมาให้ลูกอี้ เจ้าเฝ้าลูกรอข้าอยู่ในห้องนี้ก็แล้วกันนะ”
ปู้เชาหลงสั่งความภรรยาพร้อมกับเดินไปหยิบสมุนไพรออกไปต้มยาให้ลูกชายของตนทันที
ผ่านไปสองชั่วยาม
ยาก็ต้มเสร็จเรียบร้อย “แต่เดี๋ยวนะ!! พระสนมสั่งไว้ว่าให้นำสมุนไพรที่ต้มแล้วมาทำเป็นลูกกลอนนี่นา” ปู้เชาหลงทบทวนคำพูดของไป๋หนิงอ้ายที่ได้พูดคุยกับตนเมื่อสองวันก่อน จึงนำกากยาที่ต้มมาทำลูกกลอนด้วยความตั้งใจ
“ซูเจียว ข้าต้มยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่คือยาลูกกลอนที่......” ปู้เชาหลงพูดได้เพียงเท่านั้นก็ชะงักไป
“ซูเจียว!! เจ้าเป็นอันใดไป? เหตุใดจึงร้องไห้หนักมากขนาดนี้?” ปู้เชาหลงถามด้วยความตกใจเมื่อเดินเข้าห้องมาแล้วเห็นว่าภรรยากำลังฟุบหน้าร้องไห้อยู่ตรงเปลนอนของลูกไม่หยุด
“ลูกอี้ ๆ” เสียงภรรยาพูดขาด ๆ หาย ๆ
“ลูกอี้เป็นอันใดไปรึซูเจียว?”ปู้เชาหลงถามด้วยความตกใจ
“ลูกอี้ร้องไห้จนหน้าเขียว ไข้ขึ้นสูงแน่นิ่งไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ลูกอี้ ๆ เจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาหน่อยเถอะนะ พ่อมียามารักษาเจ้าแล้ว”
ปู้เชาหลงพูดเสียงสั่นพร้อมกับอุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอกและป้อนยาลูกกลอนเม็ดเล็ก ๆ ใส่ปากของลูกชายด้วยความหวังว่าปาฏิหาริย์อาจมีจริง
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ
“แอะ แอ้” เสียงเล็ก ๆ ในอ้อมแขนร้องดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ประดับบนใบหน้า ทำให้ปู้เชาหลงยิ้มกว้างอย่างมีความสุขไปด้วย
“ซูเจียว ลูกอี้ฟื้นแล้ว” ปู้เชาหลงเรียกภรรยาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ลูกอี้ ลูกอี้ของแม่”
ซูเจียวรีบรุดมาดูลูก พร้อมกับใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากของลูกอย่างเบามือ
“ท่านพี่ ลูกตัวเย็นขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ลูกอี้หายป่วยแล้ว ข้าจะไปบอกท่านแม่ให้มาช่วยดูลูกอี้นะเจ้าคะ” ซูเจียวพูดพลางจะเดินออกไปนอกห้อง
“เดี๋ยวก่อนซูเจียว!!!” ปู้เชาหลงร้องขึ้นเสียงดัง
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าผู้ใดที่ช่วยชีวิตลูกอี้ของเราเอาไว้ พระสนมไป๋ตาอิ้งที่ถูกขังในตำหนักเย็นเป็นคนช่วย ถ้าความลับนี้แพร่งพรายออกไปเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ?” ปู้เชาหลงเอ่ยเตือนสติ
“เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ห้ามไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ปู้เชาหลงกล่าวกำชับ
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าขอตัวไปเรียกท่านแม่มาดูลูกอี้ของเราต่อก่อนนะเจ้าคะ ท่านพี่ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวไปผลัดเปลี่ยนเวรยามที่ตำหนักเย็นเถิดเจ้าค่ะ” ซูเจียวพูดพร้อมกับเดินไปหามารดาที่ห้องข้าง ๆ ให้มาดูแลลูกต่อ
ณ ตำหนักเยว่เทียนกง
“ไทเฮาเสด็จ” เสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้น
“ถวายพระพรไทเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี"
เสียงข้าราชบริพารที่ถวายการรับใช้ในตำหนักเอ่ยดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ลุกขึ้น ลุกขึ้นได้” สุรเสียงอ่อนโยนตรัสดังขึ้นพร้อมกับแย้มสรวลน้อยๆ
“อากาศเช้านี้เย็นสบายนัก อายเจียจะไปชมดอกไม้ที่อุทยานตะวันออกก็แล้วกัน”
“ไทเฮาเสด็จชมสวนดอกไม้ เตรียมเกี้ยว” เสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้นอีกรอบ
เมื่อเดินทางมาถึงอุทยานตะวันออกแล้ว ไทเฮาจึงทรงลงจากเกี้ยวด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย โดยมีซูเจียวคอยประคองแขนด้านขวาไว้
“อุทยานตะวันออกแห่งนี้งดงามนัก ต้นไม้ก็สูงใหญ่ ดอกไม้ก็สวยงามนัก ส่งกลิ่นหอมให้อายเจียได้ผ่อนคลายอยู่เสมอ” สุรเสียงอ่อนโยนตรัสขึ้นอย่างสบายอารมณ์
“ตรงโน้นมีต้นเสี่ยวขุย (ต้นทานตะวัน) บานรับแสงพระอาทิตย์ยามเช้าอยู่ด้วย ดูสบายตานัก แต่ก็คงบานไม่เท่าหน้าตาของกงนู่ (ข้าหลวง) ของอายเจียในเช้าวันนี้เลย” ไทเฮาทรงกล่าวเย้าข้าหลวงของตนเมื่อเห็นว่าซูเจียวมีสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
“อาการป่วยของบุตรชายหม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะไทเฮา” ซูเจียวรายงาน
“หมอหลวงคนใดเป็นคนรักษาอาการไข้ของลูกเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาตรัสถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ” ซูเจียวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“เจ้าไม่สะดวกใจที่จะตอบคำถามของอายเจียเช่นนั้นหรือ? มีเรื่องใดที่อายเจียอยากรู้แต่ไม่ได้รับคำตอบบ้าง เจ้าติดตามรับใช้อายเจียมานานย่อมต้องรู้ใจอายเจียดี” ไทเฮาตรัสเสียงเนิบ
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอไทเฮาทรงเมตตาด้วยเพคะ” ซูเจียวคุกเข่าลงไปกับพื้นพร้อมทั้งโขกศีรษะร้องขอความเมตตาจากองค์ไทเฮา
“ลุกขึ้นก่อนซูเจียว เจ้าเห็นอายเจียเป็นคนใจร้ายน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“หม่อมฉันไม่กล้าปิดบังไทเฮาเพคะ สามีของหม่อมฉันได้สมุนไพรดีมารักษาลูกของหม่อมฉันเพคะ” ซูเจียวพูดเสียงสั่นด้วยเพราะกลัวในพระบารมีขององค์ไทเฮา
“สมุนไพรดีเช่นนั้นรึ!? ใครเป็นคนมอบสมุนไพรนั่นให้สามีของเจ้ากันหรือซูเจียว?”
ไทเฮาตรัสถามด้วยความประหลาดใจ
“พระ พระสนมไป๋ตาอิ้งเพคะ” ซูเจียวตอบเสียงสั่น
“ไป๋ตาอิ้งชื่อคุ้นๆ นะ ใช่บุตรีของแม่ทัพใหญ่ไป๋หนิงหลงหรือไม่?” ไทเฮาถามต่อ
“ใช่แล้วเพคะไทเฮา”
“แต่นางถูกขังในตำหนักเย็นมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงมีสมุนไพรมาช่วยลูกของเจ้าได้เล่า?”
“เรื่องนี้หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันรู้เพียงแต่ว่าสามีของหม่อมฉันได้รับสมุนไพรนี้มาจากพระสนมไป๋ตาอิ้งเพคะ”
“นางต้องโทษสถานใดถึงได้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นเจ้ารู้หรือไม่ซูเจียว?”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระสนมไป๋ตาอิ้งทรงลอบวางยาพิษพระสนมไฉ่กุ้ยเหรินเพคะ” ซูเจียวรายงานข้อมูลเท่าที่ตนรู้มา
“เรื่องนี้ได้มีการสอบสวนที่แน่นอนรอบคอบดีแล้วหรือ? พระสนมไฉ่กุ้ย เหรินก็มิได้เป็นอันตรายอันใดมาก หวางตี้ตั้งใจจะขังนางไว้ที่ตำหนักเย็นอีกนานเพียงใดกัน?” ไทเฮารำพึงขึ้นมากับนางข้าหลวงคนสนิทของตน
“ฝ่าบาททรงยุ่งกับราชกิจใหญ่น้อยอาจจะทรงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปแล้วก็เป็นได้เพคะ” ซูเจียวตอบ
“ไปสืบเรื่องพระสนมไป๋ตาอิ้งลอบวางยาพิษพระสนมไฉ่กุ้ยเหรินให้อายเจียทีซูเจียว อายเจียสงสัยนักว่าบุตรีแม่ทัพใหญ่จะมาวางยาบุตรีเจ้ากรมพิธีการด้วยเหตุใดกัน?”
ไทเฮาออกคำสั่งด้วยความแคลงใจในเบื้องหลังของการคุมขังในตำหนักเย็นครั้งนี้
“เพคะ หม่อมฉันจะสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดและจะรีบนำมากราบทูลไทเฮาให้ทรงทราบโดยเร็วเพคะ” ซูเจียวรับคำสั่งจากไทเฮาด้วยเสียงหนักแน่น
“จับตาดูพระสนมไป๋ตาอิ้งด้วยว่าแต่ละวันในตำหนักเย็นนางทำอะไรบ้าง” ไทเฮาสั่งเสียงเรียบ
“ซูเจียวน้อมรับพระราชเสาวนีย์เพคะ”
“กลับกันเถิด อายเจียไม่มีอารมณ์จะชมสวนดอกไม้แล้ว อายเจียจะไปสวดมนต์ที่หอพระไตรปิฎกต่อ” ไทเฮาสั่งเสียงเรียบ
“ไทเฮาเสด็จกลับวัง เตรียมเกี้ยว” เสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้นอีกรอบ