- วันต่อมา -
“ทำไมต้องมีแกอยู่ด้วย”
“นั่นสิครับ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องมีน้องสะใภ้กับลูกติดสามีเก่ามาร่วมฟังการเปิดพินัยกรรมด้วย”
“ไอ้เหี้ยดิน!”
“ครับ คุณมีปัญหาอะไรกับผมครับคุณเชน” คนเป็นลูกชายทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แต่ผมถามนิ่ง ๆ ไม่แม้แต่ขยับร่างกายด้วยความตกใจท่าทางของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยเลยทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวแล้วเปลี่ยนเป็นท่าทางฟึดฟัดแทน
“แกมันคางคกขึ้นวอไม่รู้จักเจียมตัว! ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองกำลังจะตกลงมา ระวังตัวไว้เถอะฉันอุตส่าห์ลดตัวมาเตือนด้วยความหวังดี” คุณนภายิ้มเยาะ กระตุกยิ้มเยาะเย้ยให้ผมทั้งที่เส้นประสาทตรงขมับกำลังกระตุกด้วยความโมโหผมเลยก้มหัวให้คนสูงวัยตรงหน้านิดหน่อยแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่
“ไอ้คนจองหอง!”
เสียงแสบแก้วหูของคุณนภาดังไล่หลังไม่ได้ทำให้ผมให้ความสนใจ ถ้าผมสนใจผมคงประสาทกินตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้ว สนใจมากไม่ได้หรอกครับไร้สาระ
- เวลาต่อมา –
“จะเปิดพินัยกรรมได้รึยังคะคุณทนาย”
“ครับ คุณไอริสกับคุณปฐพีมาแล้ว พยานในการรับฟังพินัยกรรมก็พร้อมแล้วถ้างั้นผมขออนุญาตเปิดพินัยกรรมเลยนะครับ”
“เดี๋ยว ๆ นะคุณทนาย ทำไมพูดแค่ชื่อไอ้ปฐพี แล้วผมกับแม่คืออะไร?”
“ผมขอเปิดพินัยกรรมนะครับจะได้ทราบพร้อมกัน” คุณอาทนายตอบแต่อีกคนกลับยิ่งไม่พอใจจนลุกขึ้นยืนแล้วตะคอกใส่หน้าท่าน
“ผมถาม!”
“เปิดพินัยกรรมคุณก็ทราบเองครับคุณเชน กรุณาลดเสียงแล้วก็นั่งลง อย่ากร้าวร้าวใส่คุณอาทนาย ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะเชิญคุณออกไปรอข้างนอก”
“ไอ้ดิน!”
“นั่งลงคุณเชน”
“มึงมันจองหอง ไม่มีคุณลุงถือหางมึงยังกล้าจองหองต่ออีกเหรอ!”
“ผมบอกให้คุณนั่ง” เขามองพี่เชนด้วยสายตาราบเรียบ ไม่มีแววตาของความหวาดหวั่น มีแต่สายตาเข้มที่มองนิ่งแต่ดูก็รู้ว่าไม่ยอมคน
“กูจะจัดมึงให้อ่วมเลยไอ้ลูกหมา!”
“กรุณานั่งครับคุณเชน”
“พี่เชนค่ะ นั่งเถอะค่ะ” ฉันว่าพี่เชนไม่จบง่าย ๆ แน่ถ้าฉันไม่ทำอะไรซักอย่าง อีกอย่างพี่เชนก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย และฉันก็เกรงใจคุณอาทนายกับรำคาญเป็นการส่วนตัว
“หึ! กูเห็นแก่ไอริสหรอกนะ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” พี่เชนชี้หน้าเขาแล้วก็ยอมนั่งลงด้วยท่าทางฟึดฟัด
เฮ้อ! เบื่อมากเลยค่ะ นี่ล่ะอีกเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ค่อยอยากกลับเมืองไทย
“เอาล่ะครับถ้าไม่ติดขัดอะไรแล้วผมขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบนะครับเพราะผมจะเปิดพินัยกรรมแล้ว”
“ก็เชิญสิคะ ใครไปขัดคุณล่ะคุณทนาย ฉันก็รอตั้งแต่แรกแล้ว” เฮ้อ! ลูกเงียบแม่ก็ต่อเลย ให้ตายเถอะ
“เชิญคุณอาทนายได้เลยค่ะ” ใจจริงอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ ท่องเอาไว้ว่ายังไงซะก็ญาติผู้ใหญ่ ถึงจะไม่ใช่ทางสายเลือดก็ยังต้องให้เกียรติบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นอาขออ่านพินัยกรรมเลยนะ”
“ค่ะคุณอา” ฉันยิ้มให้ท่านแล้วท่านก็เปิดซองเอกสารเพื่อหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาช้า ๆ
“ข้าพเจ้า นายพิธาน ไพศาลธนกุล ซึ่งเป็นผู้เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ และขณะที่เขียนข้าพเจ้ามีสติสัมปะชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกประการและ ขอให้ปฏิบัติตามเจตนาของข้าพเจ้าอันเนื่องมาจากทรัพย์สินที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถือครอง มีดังรายละเอียดต่อไปนี้ หนึ่งเงินสดในธนาคารจำนวน xxx บาท รถยนต์ โฉนดที่ดิน เครื่องประดับ หุ้นของบริษัทไพศาลธนกุลจำนวนยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่ข้าพเจ้าถือครองยกให้แก่นางสาวไอริสา ไพศาลธนกุล ผู้เป็นบุตรสาวของข้าพเจ้า สองบ้านไพศาลธนกุลรวมทั้งโฉนดที่ดิน ยกให้แก่นางสาวไอริสา ไพศาลธนกุล และนายปฐพี ศิริวงค์วัฒนา เป็นผู้ถือครองร่วมกัน”
“อะไรนะ!” ไม่ใช่แค่คุณอานภาหรอกที่ช็อกจนต้องตะโกนถามเสียงดังเพราะฉันเองก็ช็อกไม่ต่างกัน
“ท่านเขียนไว้อย่างนี้ครับ”
“ไม่จริง! พี่พิธานจะยกบ้านหลังนี้ให้ไอ้กาฝากมีสิทธิ์ร่วมกับลูกแท้ ๆ ของตัวเองได้ยังไง!”
“ผมไม่ทราบการตัดสินใจของท่านหรอกครับคุณนภา”
“ฉันไม่เชื่อ! แกใช่ไหมไอ้กาฝาก! แกใช่ไหมที่เป่าหูพี่พิธานให้ยกบ้านหลังนี้ให้แก!”
“ผมว่าฟังคุณอาทนายอ่านพินัยกรรมให้จบก่อนดีกว่านะครับ ท่านยังอ่านไม่จบเลย เอาไว้จบแล้วเราค่อยคุยกัน”
“ไอ้คนถือดี!”
“ขออนุญาตให้อยู่ในความสงบนะครับคุณนภา ผมจะได้อ่านพินัยกรรมต่อ”
“ก็อ่านสิยะ!”
“การถือครองบ้านไพศาลธนกุลร่วมกันให้ถือเป็นที่สุดเมื่อนายปฐพี ศิริวงศ์วัฒนา แต่งงานและมีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย”
“อะไรนะ! แบบนี้ถ้าไอ้กาฝากมันไม่แต่งงานมันก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไปจนวันตายน่ะสิ!”
“ครับ”
“แกสองคนรวมหัวกันใช่ไหม!”
“อานภาคะ อานภาใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ” ฉันเองก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคุณพ่อต้องการอะไรถึงเขียนพินัยกรรมแบบนี้ แต่การที่อานภาชี้หน้าคุณอาทนายมันไม่ใช่เรื่องที่สมควร เพราะท่านเป็นเพื่อนของคุณพ่อแล้วก็อาวุโสกว่าอานภาหลายปี
“อาใจเย็นไม่ลงหรอกหนูไอริส ดูพินัยกรรมสิ พี่พิธานไม่มีทางเขียนพินัยกรรมบ้า ๆ แบบนี้แน่”
“พินัยกรรมฉบับนี้ไม่ได้ถูกพิมพ์ แต่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของท่านทุกตัวอักษรครับคุณนภา เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้”
“...ถ้างั้นก็อ่านให้มันจบ!” อานภาอึ้งไปแล้วก็ตะคอกใส่คุณอาทนายอีกครั้ง เฮ้อ! แค่ไม่เข้าใจเรื่องบ้านก็มากพอแล้ว นี่ยังต้องมาฟังเสียงอนาภาตลอดเวลาอีก
“จบแล้วครับ”
“อะ อะไรนะ!”
“พินัยกรรมที่ท่านเขียนมีเท่านี้ครับ ส่วนเอกสารนี้เป็นรายการทรัพย์สินอย่างละเอียดทั้งหมดที่ท่านมอบให้หนูนะไอริส”
“เดี๋ยวนะ! ยกหุ้นในบริษัทให้หนูไอริสแค่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้วมันจะหมดได้ยังไง!”
“ท่านมีหุ้นเท่านี้ครับ”
“อะไรนะ!” เสียงอานภาดังมากกว่าเดิม ฉันเองก็ตกใจเพราะคุณพ่อเป็นเจ้าของบริษัท ท่านก่อตั้งมาเองกับมือ แถมหลายปีมานี้ฉันก็รู้มาว่าบริษัททำกำไรได้หลายพันล้านต่อปี แล้วทำไมคุณพ่อถึงถือครองหุ้นแค่ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
“ท่านถือครองหุ้นของพีเอสกรุ๊ปเท่านี้ครับ”
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณอา”
“แล้วฉันกับตาเชนล่ะ ไม่มีชื่อฉันกับลูกชายของฉันในพินัยกรรมเลยรึไง!”
“นั่นสิ! ทำไมไม่มีชื่อคุณแม่กับผมเลย” ฉันถามจบยังไม่ทันได้คำตอบสองแม่ลูกก็ถามแทรกขึ้นมา
“ผมไม่สามารถตอบได้ครับ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของท่านทั้งหมดนี่คือหนังสือเซ็นรับทราบ หนูไอริสอ่านรายละเอียดทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเซ็นก็ได้นะลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณอา ไอริสชื่อใจคุณอา” ฉันยิ้มให้ท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีคุณอาทนายที่ทำงานให้คุณพ่อมาเสมอ อีกอย่างฉันจำลายมือของคุณพ่อได้ มันไม่ใช่พินัยกรรมปลอมหรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณพ่อคงมีเหตุผลถึงตัดสินให้เขามีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในบ้านหลังนี้ แน่นอนว่าไม่ถูกใจฉันหรอก แต่ฉันต้องเคารพการตัดสินใจของท่านที่เป็นคนสร้างทุกอย่างขึ้นมาและสามารถจะยกให้ใครก็ได้
หมับ!
“อะไรคะพี่เชน” ฉันหยิบปากกามาเตรียมเซ็นรับทราบพินัยกรรมแต่พี่เชนเดินมายืนข้างฉันตอนไหนก็ไม่รู้แถมยังจับมือฉันที่จับปากกาเตรียมเซ็นกระชากออกจากเอกสารด้วย
“ไม่ต้องเซ็นค่ะริส ไม่ต้องเซ็นรับไปฟ้องก่อน พี่ว่าพินัยกรรมมันเป็นของปลอม”
“ริสจำลายมือคุณพ่อได้ค่ะ”
“ลายมือมันปลอมกันได้ไอริส อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ”
“ริสจำลายมือคุณพ่อได้ค่ะพี่เชน” ฉันย้ำอีกครั้งเพราะเสียงพี่เชนเริ่มแข็งใส่ฉัน
“ต่อให้เป็นของจริงริสก็มีสิทธิ์ฟ้องไม่ให้ไอ้กาฝากมันมีสิทธิ์ได้อะไรทั้งนั้น มันคนนอกให้มันทำไมอย่าไปยอม”
“พี่เชนคะ ปล่อยมือริสค่ะ” ฉันพูดอีกเรื่องเพราะพี่เชนยังไม่ยอมปล่อยมือฉัน
“แต่เรามีสิทธิ์ฟ้องขอเป็นผู้จัดการมรดกได้นะคะริส”
“ริสขอตัดสินใจเองค่ะพี่เชน ที่เชิญพี่เชนกับอานภามาวันนี้ก็เพราะให้เกียรติในฐานะญาติ ริสให้เกียรติพี่เชนแล้วพี่เชนก็กรุณาให้เกียรติริสด้วยนะคะ” ฉันเบื่อและคนอย่างฉันเวลาที่เบื่อก็จะมีขีดจำกัดของสิ่งที่เรียกว่ามารยาทเสมอ
“...โอเคค่ะ พี่ให้เกียรติริสเสมอริสก็รู้” ฉันรู้ว่าพี่เชนกับอานภาไม่พอใจที่ตัวเองไม่ได้มรดกอะไรเลย แต่จะได้มันก็แปลกไปหน่อยในเมื่ออานภาเป็นแค่น้องสะใภ้ส่วนพี่เชนก็เป็นลูกติดของอานภาที่ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับคุณพ่อแม้แต่นิดเดียว
ส่วนอีกคนฉันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการที่คุณพ่อจะยกอะไรให้เขาบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก แถมฉันยังแปลกใจด้วยซ้ำที่ในพินัยกรรมของท่านยกให้เขามีสิทธ์เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ร่วมกับฉันแค่อย่างเดียว
- เวลาต่อมา –
“คุณจะกลับไปเรียนเมื่อไหร่”
“จะมายุ่งอะไรเรื่องของฉัน”
“ผมไม่ได้อยากยุ่ง แต่ถ้าคุณเรียนจบช้าก็กลับมาทำงานที่บริษัทช้า”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ แฟนนายจะจบโทจากที่นั่นแล้วไม่ใช่รึไง แฟนนายกลับมาก่อนฉันนายจะได้ใช้เส้นสายของนายยัดยัยนั่นลงตำแหน่งที่นายต้องการไง ถ้าฉันกลับมาเร็วฉันมาขัดแข้งขัดขาไม่รู้ด้วยนะ”
“ไร้สาระ”
“ไอ้ดิน!” เพราะเขาชอบทำหน้านิ่ง ทำเหมือนคำพูดของฉันไร้สาระอย่างที่ปากเขาพูดออกมาแบบนี้ไงถึงได้ทำให้ฉันต้องตะคอกเสียงดังใส่ทุกครั้ง
“พักผ่อนทำใจให้สบายแล้วรีบกลับไปเรียน อย่ามานั่งจมปลักไม่ทำอะไรสักอย่างนาน ๆ คุณอาท่านไม่สบายใจหรอก”
“อย่ามาสั่ง!”
“ไม่ได้สั่งแต่คุณโตแล้วไอริส โตแล้วต้องคิดให้เป็น”
“เออฉันจะกลับไปเรียน! แต่บอกไว้ก่อนนะต่อให้นายมีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ครึ่งหนึ่งแต่ถ้านายพายัยแฟนนายหรือผู้หญิงคนไหนมาที่บ้านฉัน ฉันจะเอาเลือดหัวนายกับผู้หญิงของนายมาเทลงกลางบ้าน!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก
ผมไม่พาผู้หญิงของผมมาให้เด็กงี่เง่าอย่างคุณระรานแน่นอน
เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะการโดนเด็กงี่เง่าเอาแต่ใจโตไม่เป็นคิดไม่เป็นระรานมันโคตรน่ารำคาญเลยไอริส”