“ท่านยังมิกลับไปหรอกรึ” เสียงใสดังขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อยังเห็นร่างสูงของขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชายืนกอดอกอยู่ใต้ต้นประดู่ใกล้กับเรือนริมแพ
“ข้าก็รอกลับไปพร้อมเจ้าอย่างไรเล่า” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉยไม่สะทกสะท้านถึงความขุ่นเคืองใจจากแม่หญิงเลยแม้แต่น้อย
“ท่านนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง!” นิ้วเรียวถูกชี้ขึ้นตรงอกกว้างด้วยความไม่ชอบใจที่ชายหนุ่มยังคงตามราวีตนไม่เลิก
“เจ้าจักว่า จักด่าข้าอย่างไรข้ายอมได้ เพราะข้าถือว่าแม่หญิงด่าเพราะแม่หญิงรักข้า” ร่างสูงตอบกลับพลางจับมือที่ชี้หน้าตนไว้แน่นอย่างถือวิสาสะ ทำเอาบ่าวทั้งสองรีบก้มหน้างุดอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
“ปล่อยข้า!”
“ไปเถิด ข้าจักเดินไปส่งเจ้าให้ถึงเรือน” พูดจบจึงเดินนำหน้าไปในขณะที่ยังคงจับมือเล็กไว้แนบแน่น
“ปล่อยมือข้า ข้าเดินเองได้ ท่านมิจำเป็นต้องไปส่งข้า ปล่อย!” ร่างบางได้แต่ทุบตีมือหนาพัลวัน จนมั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่มีทางปล่อยมือตนเป็นอิสระแน่ หญิงสาวจึงตัดสินใจยกมือของเขาขึ้นแล้วบรรจงกัดฟันลงไปบนมือใหญ่นั่นจนเป็นรอยลึกอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้ย! นี่เจ้า” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดก่อนจะยอมปล่อยมือเล็กออกในที่สุดจนนายอ่ำเบิกตาโตด้วยความตกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นแม่หญิงใดกล้าปฏิเสธผู้เป็นนายของตนได้ลง มีแต่จะเข้าหา นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ตนได้เห็นมัน
“ข้าบอกแล้ว ว่าข้าเดินกลับเองได้ ไปเถิดพี่ผัน” แม่สาวตัวแสบรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากมาทันทีโดยไม่ได้สนใจหันมามองชายหนุ่มเลยสักนิด
“ข้าเจ้าขออภัยแทนคุณหนูด้วยหนาเจ้าคะ” นางผันก้มหน้างุดเอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวตามผู้เป็นนายลัดเลาะไปตามทางจนถึงเรือนใหญ่ของพระยารามดำรงภักดี บ่าวไพร่ที่กำลังชะเง้อมองอะไรบางอย่างเมื่อเห็นว่าคุณหนูของเรือนกลับมาจึงเบิกตาโตแล้ววิ่งก้มหน้างุดตรงเข้ามาหาหญิงสาวด้วยความร้อนใจ
“คุณหนูมาจากไหนเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
“มีกระไรหรือพี่อุ่น” ร่างบางชะงักฝีเท้าจ้องมองบ่าวตรงหน้าด้วยความสงสัย ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกเหตุไม่ดีเป็นแน่
“เอ้า! มีกระไรก็บอกคุณหนูไปสิวะ มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่น” นางผันรีบท้วงขึ้นอีกคน
“ก็เอ็งน่ะ แอบพาคุณหนูหนีออกจากเรือนไปไหนกันมาเล่า ตอนนี้คุณท่านรู้แล้วหนา รอโบยคุณหนูอยู่บนเรือนเจ้าค่ะ”
“พี่ว่ากระไรนะ! คุณพ่อท่านรู้ได้เยี่ยงไร”
“ข้าเจ้าก็มิรู้ได้เจ้าค่ะว่าเหตุใดคุณท่านถึงกลับเรือนเร็วนัก แต่พอมาถึงสักครู่แม่นายชงโคก็ตามขึ้นเรือนไปด้วยเจ้าค่ะ” นางอุ่นรายงานตามที่เห็นเพราะเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณหญิงผ่องจันทร์มาก่อน ตนจึงรู้สึกรักคุณหนูจอมจันทร์ไม่น้อยไปกว่าใครเลย
“ตายจริง! คุณหนูแอบย่องไปทางหลังเรือนดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวจักขึ้นไปรับหน้าคุณท่านเอง” นางผันร้อนใจพยายามดึงดันคุณหนูของนางให้ตามหลังนางอุ่นไปอีกทาง “เอ็งรีบพาคุณหนูไป”
“ได้อย่างไรเล่า ข้าทำผิดก็ต้องรับผิดด้วยกันข้ามิยอมให้พี่ผันโดนโทษแต่เพียงผู้เดียวหรอกหนา ไปเถิดอะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด...ข้าหากลัวไม่” พูดจบจึงให้นางอุ่นยกกระบวยขึ้นมาล้างเท้างามลวกๆแล้วจึงเดินขึ้นเรือนไปเพื่อรอรับโทษทัณฑ์ที่จักได้รับ
“กลับมาแล้วฤา แม่จอมจันทร์!” ทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตู เสียงทรงอำนาจของพระยารามดำรงภักดีก็ตวาดลั่นขึ้นพร้อมกับร่างบางชงโคที่นั่งยิ้มเยาะอยู่ไม่ห่างหลังจากที่นำความกลับมาบอกผู้เป็นบิดาถึงเรือน
“เจ้าค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวได้แต่คลานเข่าเข้าไปหาบิดาอย่างเชื่องช้า เพราะตนรู้ดีว่าโทษที่กำลังจักได้รับมันหนักหนาเพียงใด
“ข้าสั่งเจ้าแล้วมิใช่ฤา ว่าห้ามเจ้าออกไปไหน เหตุใดเจ้าถึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้!”
“ลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องทุกข์ใจจึงอยากไปปรับทุกข์กับคุณยายท่านที่เรือนเท่านั้นเจ้าค่ะ” จอมจันทร์ก้มหน้างุดอย่างคนยอมรับผิดในขณะที่นางผันเองก็ได้แต่นั่งจับชายสไบคุณหนูของนายไม่ห่าง
“แค่ไปปรับทุกข์แล้วเหตุใดคุณยายท่านถึงได้ส่งเจ้าไปเป็นนางรำหลวงเล่า เจ้าอยากเดินตามรอยมารดาเจ้าจนเกิดเรื่องน่าอับอายขึ้นอีกฤา!”
ร่างบางฉุนกึกรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทันทีที่บิดาพูดจบ หากจะดุด่าว่ากล่าวตนอย่างไรก็ย่อมได้ แต่หากจะพูดถึงมารดาที่ล่วงลับไปแล้วหญิงสาวไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน
จอมจันทร์ทราบดีว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นเกิดจากความอิจฉาริษยาของคุณหญิงผ่องศรีผู้เป็นพี่สาวแท้ๆของมารดาซึ่งพลาดท่าตั้งท้องชงโคกับบิดา แต่ทว่าท่านเจ้าพระยารามดำรงภักดีไม่สามารถยอมรับเป็นบุตรสาวออกนอกหน้าได้เพราะกลัวเสียเกียรติที่กระทำการชิงสุกก่อนห่ามกระทั่งได้คุณหญิงผ่อนจันทร์ผู้เป็นน้องมาเป็นเมียกลางเมือง
ผู้เป็นป้าคับแค้นใจที่ถูกสามีทอดทิ้งให้เลี้ยงลูกแต่เพียงลำพังจึงส่งนางจันบ่าวรับใช้คนสนิทมาสร้างความร้าวฉานบนเรือนด้วยการใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้เป็นน้องสาวคบชู้สู่ชาย โดยมิรู้กาลล่วงหน้าเลยว่าพระยารามดำรงภักดีจะโกรธแค้นแลสั่งโบยคุณหญิงผ่องจันทร์จนตาย หลังรู้ข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวคุณหญิงผ่องศรีจึงรู้สึกผิดหนีไปบวชชีในภายหลัง นางจันบ่าวรับใช้ผู้ทำหน้าที่สร้างความร้าวฉานจึงสบโอกาสทำทุกวิธีจนได้รับการแต่งตั้งเป็นคุณหญิงผกามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งความลับนี้ชงโคก็รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ไม่สามารถเรียกพ่อได้เต็มปากหากอยู่ต่อหน้าผู้คน
“มารดาข้ามิได้ทำความผิดอันใด หากแต่โดนใส่ร้ายป้ายสีว่าคบชู้ คุณพ่อต่างหากเล่าที่นัยน์ตามืดบอด มองมิออกว่าเหตุอันใดคือเรื่องจริงแลเหตุอันใดคือเรื่องปดเท็จ!” นางผันรีบเลื่อนตำแหน่งมาจับข้อเท้างามของหญิงสาวไว้แทนเป็นเชิงห้ามปรามเมื่อได้ยินถ้อยคำที่จอมจันทร์พูดจบ
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือใหญ่กระทบเข้ากับใบหน้างามของบุตรสาวเข้าอย่างจัง จนร่างบางล้มลงกระแทกกับพื้นไม้เย็นเฉียบอย่างแรง ดวงตาที่แข็งกร้าวเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาหยดใสร่วงไหลลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
“คุณหนูของบ่าวเจ็บหรือไม่เจ้าคะ” นางผันลนลานสวมกอดหญิงสาวไว้ด้วยความเป็นห่วงจนล้นอก
“เจ้านี่มันนิสัยเหมือนแม่ไม่มีผิด...”
“หากจักลงโทษข้าก็ได้โปรดดุด่าแต่เพียงข้าเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนถึงคุณแม่ท่านอีกเลย” จอมจันทร์ตัดพ้อเงยหน้าขึ้นมองบิดาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะบิดาไม่เคยจะลงไม้ลงมือรุนแรงเช่นนี้มาก่อน
“ไอ้มิ่ง ไปนำหวายมา!” ขุนพระยารามดำรงภักดีหันไปสั่งบ่าวรับใช้อีกคน ก่อนที่นายมิ่งจะหายเข้าไปในหอนอนชั่วครู่แล้วกลับออกมาพร้อมกับหวายขนาดเขื่องในมือ
“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะคุณท่าน คุณหนูมิผิด บ่าวผิดเองที่เป็นคนยั่วยุคุณหนูให้ออกไป” นางผันลนลานใช้สองมือพนมไหว้กราบกรานน้ำตาไหลนองหน้าไม่ต่างกัน
“ไม่นะพี่ผัน ข้าบอกแล้วว่าความผิดครั้งนี้ข้าจักรับไว้เอง” ร่างบางเอ่ยอย่างแน่วแน่พลางยืนขึ้นใช้มือกอดอกเพื่อเตรียมรอรับหวาย
“พอเถิดเจ้าค่ะคุณลุง แค่นี้น้องจอมจันทร์ก็รู้สึกผิดแล้วนะเจ้าคะ” เจ้าของดวงหน้าหวานหยดอีกคนแสร้งทำเป็นเห็นอกเห็นใจทั้งที่อยากจะให้หวายในมือขุนพระยาฟาดลงบนหลังงามของน้องสาวใจจะขาด
“มิได้หรอกแม่ชงโค หากมิลงโทษเสียบ้างนางก็ไม่รู้จักหลาบจำหรอกหนา” น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยหันไปตอบผู้เป็นหลานแต่ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วชงโคคือลูกสาวอีกคนที่ตนมิได้ตั้งใจให้เกิดมาจึงจำเป็นต้องเก็บไว้เป็นความลับที่รู้กันเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเพราะเกรงว่าจะส่งผลถึงหน้าที่การงานและตำแหน่งเจ้าพระยาของตน
“คุณพี่มิต้องเห็นใจข้าหรอกเจ้าค่ะ คุณพี่อยากเห็นข้าโดนโบยมากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“โบยบ่าวแทนเถิดเจ้าค่ะคุณท่าน บ่าวผิดเองเจ้าค่ะ” นางผันยังคงพร่ำอ้อนวอนผู้เป็นประมุขของบ้าน
“ไอ้มิ่งมาเอาตัวนางผันออกไป!” ขุนพระยารามดำรงภักดีออกเสียงสั่งอีกครั้ง เมื่อนางผันถูกลากตัวออกไปจนพ้นทางแล้วจึงเงื้อหวายขึ้นจนสุดมือเพื่อจะฟาดลงบนแผ่นหลังงามของบุตรสาวที่ยังคงยืนกอดอกหลับตานิ่งรอรับแรงหวายที่กำลังส่งไปอย่างไม่นึกเกรง
“ไม่นะเจ้าคะ คุณหนูของบ่าว ฮือๆ”
ขวับ
เพี๊ยะ!
เสียงร่ำร้องของนางผันถูกเสียงหวายที่แหวกผ่านอากาศก่อนจะปะทะเข้ากับร่างบางของจอมจันทร์กลบจนสิ้น รอยเลือดจางๆปะทุขึ้นมาตัดกับแผ่นหลังขาวเนียนจนเห็นได้อย่างชัดเจน ความเจ็บปวดบนร่างมิทำให้หญิงสาวรู้สึกเลยแม้แต่น้อยแต่ทว่าความเจ็บปวดทางใจต่างหากเล่าที่ทำให้น้ำตาไหลหยดลงมาอย่างไม่ขาดสาย
พระยารามดำรงภักดีชะงักกึกลงชั่วครู่เพื่อรอดูท่าทีของบุตรสาว เมื่อเห็นว่าจอมจันทร์ยังคงยืนนิ่งไม่มีท่าทีว่าจะยอมอ่อนข้อลงมือหนาจึงเงื้อหวายขึ้นอีกครั้ง
“หยุดก่อนเถิดขอรับ ข้าเป็นคนพานางออกไปเองขอรับ” ร่างสูงของคู่หมั้นคู่หมายในอนาคตปรากฏขึ้นพร้อมกับสายตาของบ่าวบนเรือนที่มองตามต้นเสียงไปรวมถึงร่างบางที่ล้มลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
นางผันรีบถลาจากการกอบกุมของนายมิ่งไปคว้าตัวคุณหนูของนางมาสวมกอดไว้ นึกอยากขอบคุณเสียงสวรรค์ของขุนศรีพันศรที่เข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี
“ท่านขุน...” แม่หญิงชงโคเบิกตาโตเมื่อเห็นร่างสูงรูปงามที่ตนเจอเมื่อครั้งไปตลาดตอนสายอย่างนึกแปลกใจที่เห็นเขามาปรากฏกายบนเรือนนี้ได้
“ท่านว่ากระไรนะ” ประมุขของบ้านลดหวายในมือลง เอ่ยถามบุรุษหนุ่มผู้มาเยือนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ข้าอยากทำความรู้จักกับแม่หญิงให้มากขึ้น ข้าเลยมาหานางแต่เช้าตรู่แลเป็นคนชวนแม่หญิงออกไปเองขอรับ นางอาสาพาข้าเดินเที่ยวชมตลาดแลพาข้าไปกราบไหว้คุณยายท่านที่เรือนขอรับ” ร่างสูงจงใจโป้ปดเพื่อไม่ให้หญิงอันเป็นที่รักต้องโดนโทษทัณฑ์หนักหนาไปมากกว่านี้ สายตาที่ชายหนุ่มมองไปยังร่างบางของจอมจันทร์ทำให้ชงโครู้ดีว่าขุนศรีพันศรรู้สึกเช่นไรกับน้องสาวของตน “หากท่านพระยาจักลงโทษ ได้โปรดลงโทษข้าด้วยเถิดขอรับ”
“เป็นจริงเช่นนั้นฤานางผัน”
“จะ...จะ...จริงเจ้าค่ะคุณท่าน” ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าขุนนางหนุ่มผู้นี้โป้ปดแต่นางผันจำต้องเออออไปตามน้ำเพื่อปกป้องคุณหนูอันเป็นที่รักของนาง
“แต่เมื่อตอนสายข้ามิยักเห็นว่าท่านไปกับแม่จอมจันทร์นี่เจ้าคะ” แม่หญิงชงโคผู้ซึ่งมีใจเกลียดชังหญิงสาวเสียเต็มประดามีหรือจะยอมปล่อยให้น้องสาวหลุดโทษไปได้
“ก็ตอนนั้นข้าไหว้ทักทายคุณยายท่านเสร็จแล้ว จึงปล่อยให้นางพูดคุยกันตามลำพังตามประสาแม่หญิง ตัวข้าจึงขอตัวมารอรับแม่หญิงจอมจันทร์ที่ตลาดใกล้ๆกับเรือนริมแพน่ะขอรับ” นางผันละสายตาจากบาดแผลของคุณหนูเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างนึกชื่นชมที่เขาสามารถไหลลื่นไปตามน้ำได้โดยจับพิรุธไม่ได้เลยสักนิด
นี่คงเป็นข้อดีของความเจ้าชู้เช่นพ่อปลาไหลสินะ จอมจันทร์ครุ่นคิดในใจ
“ถึงอย่างไรคุณลุงจักต้องลงโทษนางที่นางบังอาจขัดคำสั่งคุณลุงท่านไปเป็นนางรำหลวงนะเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นท่านเจ้าพระยาอย่าได้กังวลใจไปเลยขอรับ หากข้าได้ตบแต่งนางไปเป็นเมียกลางเมืองในเร็ววัน นางก็เข้าวังหลวงมิได้แล้วขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้...นางผันนางอุ่นรีบพาคุณหนูของพวกเอ็งกลับหอนอนไปเสีย” พระยารามดำรงภักดีออกคำสั่งบ่าวไพร่ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ว่าที่ลูกเขยเข้าไปนั่งที่ศาลากลางเรือน