ตอนที่ 3 ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไป

3633 Words
จอมจันทร์แอบลอบมองใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอีกครั้งอย่างสำนึกในบุญคุณ หากเขาไม่โผล่มาทันเวลา ป่านนี้ตนต้องโดนหวานเฆี่ยนจนหลังลายอีกหลายแผลเป็นแน่ “นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ หลานงงไปหมดแล้ว ท่านขุนกับคุณลุงรู้จักกันด้วยรึเจ้าคะ” แม่หญิงชงโคเอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ได้ยินเรื่องออกเรือนเมื่อครู่ทำให้มั่นใจแน่แล้วว่าตนมิได้หูฝาดเป็นแน่ “นี่หลานไปเจอท่านขุนเขามาแล้วฤา” “ขอรับท่านเจ้าพระยา เราบังเอิญเจอกันที่ตลาดเมื่อตอนสายนี่เองขอรับ” ร่างสูงเป็นคนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กริยาเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มทราบดีแล้วว่าแม่หญิงตรงหน้าผู้นี้เกลียดชังแม่หญิงจอมจันทร์มากแค่ไหน “เช่นนั้นก็ดี ต่อไปท่านขุนศรีจักมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา ข้ามิต้องเสียเวลาแนะนำทำความรู้จักให้เสียมากความ” “หมายความว่าท่านขุนคนนี้หรือเจ้าคะที่คุณลุงเคยเล่าให้ฟังว่าจักให้ออกเรือนกับน้องจอมจันทร์” ถึงแม้จะเคยทราบล่วงหน้ามาบ้างแล้วว่าผู้เป็นน้องสาวจะต้องออกเรือนไปกับขุนนางที่มาจากเมืองละโว้ แต่ไม่คิดว่าขุนนางที่ว่านั้นจะรูปงามปานเทพบุตรเช่นนี้ “เป็นเช่นนั้นแล แม่ชงโค” คำตอบของพระยารามดำรงภักดีทำให้ร่างบางได้แต่ขบกรามแน่นอย่างนึกเจ็บใจ เหตุใดจอมจันทร์ถึงได้ดิบได้ดีว่าตนไปเสียทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องคู่หมาย “ถ้าเป็นเช่นนั้นหลานก็ต้องยินดีกับน้องจอมจันทร์แลคุณลุงด้วยหนาเจ้าคะ” ถึงแม้ภายในใจจะโกรธแค้นเพียงใดแต่ภายนอกก็ต้องส่งยิ้มแสดงความยินดีออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เห็นทีข้าต้องขอตัวกลับเรือนก่อนนะขอรับ มีงานราชกาลที่ต้องทำให้เสร็จ...เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ข้าคงต้องรอให้แม่หญิงหายดีเสียก่อนถึงจักให้บิดามาสู่ขอหนาขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวลาเจ้าของเรือน “แล้วแต่ท่านจักเห็นสมควรเถิด” “ข้าเองก็ต้องกลับแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ” แม่หญิงชงโคสบโอกาสจึงรีบเอ่ยลาอีกคนก่อนจะถลาลงเรือนตามร่างสูงไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจะไม่ยอมปล่อยเวลาทองอันมีค่าหลุดลอยไปเป็นแน่ รีบเร่งฝีเท้าเดินตามขุนศรีพันศรไปให้ทันท่วงที “รอข้าด้วยเจ้าค่ะ” “แม่หญิงมีกระไรฤา” เมื่อได้ยินเสียงเรียก ร่างสูงจึงหยุดชะงักฝีเท้าลงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าขออาศัยเรือท่านกลับเรือนไปด้วยได้ฤาไม่เจ้าคะ” “ข้าต้องขออภัยด้วยเถิดหนา ตัวข้าจักออกเรือนกับแม่หญิงจอมจันทร์อีกไม่กี่วันแล้ว ข้าเกรงว่ามันจักดูไม่งามหากข้ายังใกล้ชิดกับหญิงอื่น” ริมฝีปากบางรูปกระชับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงส่งสัญญาณให้นายอ่ำเดินนำไปที่ตลาดเพื่อจะนั่งเรือแจวที่จอดทิ้งไว้เมื่อตอนเช้ากลับเรือ ท่าทีเฉยชาต่างกับตอนที่พบกันเมื่อตอนสายทำให้ร่างบางยิ่งขุ่นเคืองใจไม่น้อย มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ดวงตาคู่งามจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างหมายมั่น “มึงคอยดูเถิดนางจอมจันทร์ กูนี่แหละจักเป็นคนแย่งทุกอย่างของมึงมาครองให้จงได้ เหมือนที่แม่มึงแย่งคุณพ่อไปจากแม่กูอย่างไรเล่า!” “ยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงอ่อนโยนของบ่าวรับใช้วัยไล่เลี่ยกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เฝ้าดูแลคอยใส่ยาให้อยู่หลายวันจวบจนอาการค่อยๆดีขึ้น “ตรงกายข้ามิเจ็บดอกพี่ผัน หากแต่ข้ายังเจ็บตรงใจต่างหากเล่า” เจ้าของดวงหน้างดงามพิสุทธิ์ทว่ายังแฝงไปด้วยความเศร้า ด้วยเพราะถูกกักบริเวณอยู่หลายวันเอ่ยขึ้น หญิงสาวละสายตาจากขนมหวานมากมายที่คุณหญิงเฟื้องสั่งบ่าวนำมาเยี่ยมหลังจากที่รู้ข่าว เนื่องด้วยสังขารที่แก่ลงทุกวันจึงไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวกนักทำได้เพียงแค่ฝากขนมโปรดของหลานสาวมาเยี่ยมแทนเท่านั้น “ข้าจักทำเช่นไร ถึงจักได้มิต้องออกเรือนกับท่านขุน” “จักทำอันใดได้เล่าเจ้าคะ นอกจากจักตายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด” “อีอุ่น! หากมึงจักตอบเยี่ยงนี้มึงเงียบปากเสีย ประเดี๋ยวกูจักเอาไพลนี่ยัดปากมึง!” นางผันหันไปเอ็ดนางอุ่นที่กำลังนั่งพับผ้าไหมแพรพรรณของหญิงสาวใส่หีบใบใหญ่อยู่ใกล้ๆ พลางยกถุงไพลในมือขึ้น ทำเอาเจ้าของคำพูดเมื่อครู่รีบใช้มือปิดปากตัวเองพัลวันด้วยความรู้สึกผิดที่เผลอพลั้งปากพูดออกไป “บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวมิได้หมายความเยี่ยงนั้นจริงๆนะเจ้าคะ” “อย่าไปฟังนางอุ่นมันเลยเจ้าค่ะ มันปากพล่อยนัก” นางผันรีบวางถุงไพลลงก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปปลอบใจคุณหนูของนางเพราะเกรงว่าจอมจันทร์จะทำอย่างที่นางอุ่นพูดจริงๆ “หากทำเช่นนั้นได้ข้าก็จักทำ...ข้าเองก็อยากตายไปเสียให้มันพ้นๆ ข้าอยากไปอยู่กับคุณแม่ท่านเหลือเกิน” “จักรีบตายไปใย...แม่จอมจันทร์ มิรอดูข้าเสวยสุขบนทรัพย์สมบัติของเจ้าก่อนรึ” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นก่อนที่ร่างอวบท้วมของคุณหญิงผกาจะปรากฏอยู่หน้าห้อง ดวงตาคมจับจ้องเข้าไปในห้องมองหน้าของลูกเลี้ยงอย่างนึกรังเกียจ “คุณหญิง...” นางอุ่นรีบผละจากหีบผ้าตรงปรี่เข้าไปนั่งเคียงข้างร่างบางผู้เป็นคุณหนูของนางทันทีด้วยเกรงว่าคุณหญิงผกาจะเข้ามาทำร้ายหญิงสาวเหมือนเช่นเคยทำ “มิต้องห่วงดอกเจ้าค่ะ ต่อให้ตัวข้ามิอยู่ แต่เวรกรรมมันจักตามติดตัวคุณป้ามิไปไหนเป็นแน่เจ้าค่ะ” จอมจันทร์ยืนขึ้นเต็มความสูงจัดการสไบและผ้าผ่อนให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปยังประตูห้องประจันหน้ากับคุณหญิงผกาอย่างไม่นึกเกรง “ปากดีไปเถิด...เสียดายจริงที่ข้ามิอยู่ตอนที่เจ้าถูกคุณพี่โบย ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจักปากดีเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ฤาไม่” “...” “คุณหนูเจ้าขา คุณท่านให้มาตามคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตอบโต้กลับ ร่างผอมบางของบ่าวรับใช้หน้าเรือนก็วิ่งปรี่เข้ามาเสียก่อน “พี่กลับไปเรียนคุณพ่อให้ข้าเถิด ว่าข้าเพิ่งจักฟื้นไข้ มิอยากออกจากหอนอน” “เกรงว่าคงมิได้ดอกเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ไม่กล้ากลับไปเรียนเจ้าพระยาด้วยเพราะกลัวว่าจักโดนเอ็ดไปอีกคน หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เหลือบมองร่างอวบท้วมของคุณหญิงผกาอีกครั้งก่อนจะกระแทกเท้าออกไปหาบิดาตามที่บ่าวรับใช้บอก แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ตนแสนจะคุ้นหน้ากำลังนั่งสนทนาอย่างถูกคอกับผู้เป็นประมุขของเรือน ทันทีที่เห็นร่างเน่งน้อยของหญิงสาว ขุนศรีพันศรจึงละสายตาจากท่านเจ้าพระยาหันไปมองใบหน้าหวานของหญิงสาวที่ตนไม่ได้เห็นมานานนับหลายวันด้วยความคิดถึง “มาแล้วหรือแม่จอมจันทร์” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามเสียแผ่วเบา เพียงแค่มองใบหน้าของชายหนุ่ม ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจึงรู้ได้ทันทีว่าขุนศรีพันศรผู้นี้มีใจให้บุตรสาวมากเสียทีเดียว เมื่อจอมจันทร์เข้ามานั่งเคียงข้าง ตนจึงต้องเป็นฝ่ายปลีกตัวออกไปเพื่อให้หนุ่มสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง “ข้าต้องขอตัวก่อนหนา เชิญท่านตามสบาย” “ขอรับ” ร่างสูงยิ้มตอบ เมื่อลับสายตาของเจ้าพระยารามดำรง ชายหนุ่มจึงขยับกายเข้าไปใกล้หญิงสาวเล็กน้อย เอ่ยถามอาการป่วยไข้อันมีสาเหตุมาจากการโดยโบยเมื่อวันก่อนอย่างนึกเป็นห่วง “แม่หญิงหายดีแล้วฤา ยังเจ็บแผลอยู่อีกหรือไม่” “หายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองต้องขอบน้ำใจที่ท่านเช่นกันที่เข้ามาช่วยข้าไว้ได้ทันเพลาในวันนั้น” “มิเป็นไรดอกหนา ข้าเองก็ทนมิได้ หากเห็นแม่หญิงที่ข้ารักถูกโบยอยู่กงหน้า” “ถึงวาจาท่านจะคมคายสักเพียงใด แต่มันก็มิอาจจักทำให้ข้ายอมออกเรือนไปกับท่านได้ดอกหนา” ร่างบางยิ้มตอบ มาถึงตอนนี้ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้นึกรังเกียจชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนเช่นแต่ก่อน “เรื่องนั้นข้าจักไม่เร่งรัดเจ้าให้เจ้าต้องลำบากใจดอก ข้าจักใช้เวลาเพื่อเอาชนะหัวใจเจ้าให้จงได้” “หากเป็นเช่นนั้น เห็นทีท่านคงต้องรอข้าจนแก่กระมังเจ้าคะ” “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้านี่ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ข้าชอบนัก” เสียงหัวเราะชอบใจของคนทั้งคู่ดังไปถึงศาลาเล็กหน้าหอนอนของเจ้าพระยารามดำรงภักดีที่กำลังสะสางงานราชกาล ริมฝีปากบางของชายสูงวัยกระตุกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ เห็นทีคงจะได้จัดงานใหญ่บนเรือนเสียเร็วๆนี้แล้วกระมัง “ท่านช่วยพาข้าไปหาคุณยายท่านที่เรือนริมแพได้ฤาไม่เจ้าคะ” เสียงหัวเราะเงียบหายไปกลับกลายเป็นเสียงกระซิบของหญิงสาวแทน เพราะตนถูกห้ามไม่ให้ออกจากเรือนไปไหนจนกว่าจะได้ออกเรือนตามธรรมเนียมเสียก่อน แต่ความคิดถึงและห่วงหาผู้อาวุโสอีกคนที่ตนไม่ได้เห็นหน้ามานานหลายวันมันมีมากล้น จนต้องวานให้ขุนศรีพันศรผู้ที่เปี่ยมล้นไปด้วยเล่ห์กลอุบายเป็นคนช่วยโป้ปดกับบิดาให้ “เรื่องแค่นี้ เหตุใดจักมิได้เล่า...เจ้ากลับไปเกียมตัวที่หอนอนก่อนเถิดหนา ประเดี๋ยวข้าจักไปขอท่านเจ้าพระยาให้” ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบลุกจากที่นั่งตรงปรี่เข้าหอนอนตัวเองไปทันที ผ่านไปไม่กี่ชั่วครู่ ร่างบางจึงปรากฏกายขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิทอย่างนางผัน ใบหน้าหวานยิ้มแก้มปริอย่างมีความสุขเมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดาอนุญาตให้ตนออกจากเรือนได้ “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวหนาขอรับ เพลาค่ำจักกลับมาส่งแม่จอมจันทร์ให้ถึงเรือน” “ขอบพระคุณคุณพ่อเจ้าค่ะ” “เอาเถิด นางเองก็อยู่แต่ที่เรือนมาหลายวัน จักให้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างคงมิเป็นไร” ท่านพระยารามดำรงพยักหน้าเล็กน้อย นึกพอใจที่เห็นว่าจอมจันทร์ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจขุนศรีพันศรเหมือนแต่ก่อน ร่างของหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ลงไปจากเรือนท่ามกลางความปลื้มปีติของพระยารามดำรงและคุณหญิงผกาที่แผนการกำจัดลูกเลี้ยงออกจากเรือนกำลังจะไปได้สวย จากนั้นจึงหันมาหยิบหมากพลูขึ้นมาเคี้ยวจนฟันแดงพลางหันไปสั่งบ่าวรับใช้บีบนวดอย่างสำราญในขณะที่เจ้าพระยารามดำรงภักดีก็ขอตัวเข้าไปนอนหลับพักผ่อนภายในห้องด้วยเพราะสุขภาพที่ไม่สู้ดีตามอายุขัย จึงปล่อยให้บ่าวรับใช้บีบนวดคุณหญิงผกาอยู่ตรงศาลาใหญ่กลางเรือนแต่เพียงลำพัง เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงนางชดกระซิบบอกผู้เป็นนายเสียงแผ่วเบา “คุณหญิงเจ้าขา แม่นายชงโคมาเจ้าค่ะ” “หืม” คุณหญิงผกาปรือตาขึ้นมองเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังชะโงกหน้ามองหาบางอย่างแทนที่จะเข้ามาพูดคุยกับตน ร่างอวบท้วมจึงลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถามแม่หญิงชงโคด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีตั้งแต่ตนได้เป็นคุณหญิง ร่างบางตรงหน้าขึ้นมาเหยียบบนเรือนแทบนับครั้งได้กระมัง “มองหาใครหรือเจ้าคะ” “นางจอมจันทร์มิอยู่ฤา” เอ่ยถามทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปยังหอนอนของน้องสาวนอกไส้ “มิอยู่ดอก ออกไปตลาดกับท่านขุนศรี” “เจ้าว่ากระไรนะ ไหนเจ้าบอกว่ามันรังเกียจท่านขุนศรีอย่างไรเล่า แล้วเหตุใดมันถึงออกไปไหนมาไหนกับท่านขุนได้” ถึงแม้ว่าสถานะของคุณหญิงผกาซึ่งเคยเป็นอีจันบ่าวรับใช้ของมารดาจะเปลี่ยนแปลงไปแต่ทว่าตนกับไม่อยากยกย่องคุณหญิงผกาเลยแม้แต่น้อย “น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคนเจ้าคะ” สีหน้าถมึงทึงของหญิงสาวทำให้คุณหญิงผกาทราบดีว่าแม่นางชงโคก็แอบมีใจให้ท่านขุนรูปงามผู้นั้นอยู่ไม่น้อย คนที่เป็นบ่างช่างยุอย่างนางจึงมิวายที่จะสร้างความร้าวฉานให้กับสองพี่น้องต่างมารดาทั้งสอง “ท่านขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาถึงจักมีเมียมากโขก็มิเห็นแปลก เพราะรูปงามเสียขนาดนั้น หญิงใดได้ยลก็มีแต่จักวิ่งเข้าหา” “...” “อย่าว่าแต่แม่จอมจันทร์เลยเจ้าค่ะ คุณหนูเองก็มิต่างกัน ที่มาเหยียบเรือนนี้ได้ในวันนี้มิได้เพราะมาเยี่ยมแม่หญิงจอมจันทร์ดอกใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ใช่ ข้ามาหาท่านขุน เจ้ามีกระไรฤา” “มิมีกระไรดอกเจ้าค่ะ ท่านขุนแลแม่จอมจันทร์เพิ่งจักออกไปไม่นาน หากคุณหนูจักตามไปที่ตลาดก็คงจักทัน” คุณหญิงผกาถ่มน้ำหมากลงในกระโถนพลางหยิบพัดคู่ใจขึ้นมาปัดวี “นี่ข้ามิได้ฟังผิดไปใช่ฤาไม่ มิยักรู้ว่าเจ้ายังหวังดีต่อข้า” “เหตุใดข้าถึงมิหวังดีกับคุณหนูเล่าเจ้าคะ ครั้งหนึ่งคุณหญิงผ่องศรีมารดาของคุณหนูยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณกับข้า หากคุณหนูอยากจักเป็นเมียเอกของท่านขุนข้าก็ช่วยเต็มที่ คุณหนูรูปงามไม่แพ้แม่จอมจันทร์เยี่ยงนี้คงจักมัดใจท่านขุนได้มิยากดอกเจ้าค่ะ” “ขอบน้ำใจ ไว้ข้าได้เป็นเมียเอกท่านขุนเมื่อไร ข้าคงมิลืมบุญคุณเจ้าเป็นแน่” พูดจบร่างบางจึงสะบัดสไบสีสวยหายลงจากเรือนไปอีกคน ในขณะที่คุณหญิงผกาแอบยกยิ้มอย่างสาแก่ใจที่นอกจากจะทำให้แม่หญิงชงโคหลงเชื่อเสียสนิทว่าตนหวังดีด้วยใจจริงแล้วยังสามารถทำให้สองพี่น้องต่างมารดาที่เป็นเหมือนเสี้ยนหนามตำใจมาตลอดชีวิตเกลียดชังกันได้เพียงเพราะผู้ชายคนเดียวกันอีกด้วย “แม่มันโง่เยี่ยงไร ลูกมันก็โง่เหมือนแม่มันมิมีผิด” ดนตรีปี่พาทย์ส่งเสียงบรรเลงไปพร้อมกับร่างบางสะโอดสะองของแม่หญิงจอมจันทร์สะกดสายตาคู่คมของร่างสูงจนมิอาจจะละสายตาจากร่างอรชรตรงหน้าลงได้ มือไม้ที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงดูอ่อนช้อยงดงาม สไบสีหวานกับผมยาวสลวยสีดำขลับถูกสายลมพัดพาคล้ายกับเคลื่อนไหวไปตามทำนอง นิ้วที่กรีดกรายแหวกว่ายกลางอากาศทำให้ขุนศรีพันศรจ้องมองภาพตรงหน้าตาแทบไม่กระพริบราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ก็มิปาน “นางงดงามใช่หรือไม่” เสียงของหญิงชราเอ่ยถามแผ่วเบาเมื่อเห็นดวงตาหยาดเยิ้มของผู้ที่จะมาเป็นหลานเขยในอนาคต “ขอรับ นางงดงามมาก มากเสียจนข้ามิอาจยอมให้นางไปร่ายรำเช่นนี้ให้คนอื่นเห็นอีกขอรับ” ร่างสูงตอบกลับแต่ดวงตาคู่คมยังจับจ้องไปยังเรือนร่างบอบบางของแม่หญิงจออมจันทร์ “ยามใดที่นางมีเรื่องทุกข์ใจ นางก็จักมาหาข้าเพื่อร่ายรำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เหมือนแม่ผ่องจันทร์มารดาของนาง” “...” เมื่อคุณหญิงเฟื้องเริ่มเล่าประวัติอันน่าข่มขืนของหลานสาวให้ชายหนุ่มฟัง ร่างสูงจึงละสายตาจากนางหันมามองคุณหญิงเฟื้องพูดต่ออย่างสนอกสนใจ ต่อไปในภายภาคหน้าหากเขาร่วมหอลงโลงกับหญิงสาวแล้ว ไม่แปลกที่เขาจะต้องรู้เรื่องของนางไว้บ้างเพื่อดูแลเอาใจใส่นางให้ดีที่สุด อะไรที่เป็นความสุขของนางเขาเองก็คงมิอาจขัดข้อง “มารดาของนางก็ชอบการร่ายรำเช่นกัน นางตั้งใจเข้าไปเป็นนางรำหลวง กระทั่งได้เป็นเมียพระราชทานให้กับเจ้าพระยารามดำรงภักดี นางจึงต้องออกจากวังแลมาเปิดเรือนริมแพแห่งนี้เพื่อสอนลูกหลานต่อไป” “...” “ทว่า...ข้ามันโง่เขลานัก ที่มิรู้เลยว่าเจ้าพระยารามดำรงไปได้เสียกับแม่ผ่องศรี ลูกสาวคนโตของข้าจนตั้งท้องมาก่อนที่จักออกเรือนตบแต่งแม่ผ่องจันทร์เข้าไปเป็นใหญ่ในเรือน” ดวงตาหญิงสูงวัยมีน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงอดีตที่ชายหนุ่มต้องรับรู้ “ในขณะที่แม่ผ่องศรีท้องโตขึ้นทุกวัน จนมิอาจทนอยู่บนเรือนได้เพราะเกรงว่าจักเป็นขี้ปากของพวกบ่าวมันเหตุเพราะท้องมิมีพ่อ จึงต้องหนีไปคลอดลูกไกลถึงเมืองพริบพรี ก่อนจักส่งบ่าวรับใช้มาใส่ร้ายแม่ผ่องจันทร์ว่านางคบชู้สู่ชาย” “...” “แม่ผ่องศรี มาสารภาพผิดกับข้าว่าในคราแรกนั้น นางมิได้ตั้งใจจักให้แม่ผ่องจันทร์ต้องตายเพียงแต่จักทำให้เสียหน้าจนต้องอับอายเหมือนนางตอนที่นางท้องมิมีพ่อเท่านั้น แต่เพราะพระยารามดำรงทนมิได้ที่จักให้เรื่องจัญไรเกิดขึ้นบนเรือน จึงสั่งโบยแม่ผ่องจันทร์จนตายหลังจากที่นางคลอดแม่จอมจันทร์ได้แค่แปดปี แม่ผ่องศรีรู้สึกผิดที่ตนเป็นประหนึ่งคนฆ่าน้องสาวของตัวเองจนต้องหนีไปบวชชีอุทิศส่วนกุศลให้แม่ผ่องจันทร์จนถึงทุกวันนี้” “แล้วท่านเจ้าพระยารู้ความจริงแล้วฤาไม่ขอรับ” “ทั้งข้าแลแม่ผ่องศรีพร่ำบอกความจริงสักเพียงใด ท่านเจ้าพระยาก็มิยอมเปิดหูรับฟังเลยสักครา ข้าเองก็จนใจ คิดเสียว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องชดใช้กันไปของแต่ละคน” “...” “เพราะเหตุนี้ จอมจันทร์จึงมิอาจออกเรือนไปกับชายใดได้ เหตุเพราะนางกลัวว่าจักได้คู่ชีวิตประหนึ่งบิดาของนาง” “หามิได้ขอรับ ข้าขอสาบานว่าข้าจักรักแลเทิดทูนนางแต่เพียงผู้เดียว มิให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีกขอรับ” ร่างสูงยืนยันเสียงหนักแน่น “ข้าฝากนางไว้กับท่านด้วยหนา อย่าให้นางต้องมีเรื่องร้อนใจหรือทุกข์ใจอันใดอีกเลย” คุณหญิงเฟื้องยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความหวังเมื่อเห็นแววตาของชายหนุ่มในขณะที่ขุนศรีพันศรเองก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาเช่นกัน หากได้ตกลงเรื่องฤกษ์ยามตบแต่งแล้ว เขาคงต้องขอตัวลากลับเมืองละโว้เพื่อไปจัดการกับบรรดาเมียบ่าวที่เรือนให้เรียบร้อยเสียก่อน โชคดีที่พวกนางไม่ได้อุ้มท้องหรือมีลูกกับเขาขึ้นมาหากจะให้อัฐพวกนางไปตั้งตัวก็คงจะไม่มีอะไรติดขัด เสียงดนตรีหยุดลง ร่างบางจึงละออกจากวงฟ้อนรำ ตรงปรี่เข้ามาหาผู้เป็นยายพร้อมกับหอมแก้มนุ่มนิ่มของหญิงสูงวัยอย่างรักใคร่เหมือนเช่นเคยทำ แต่คราวนี้นางลืมไปเสียสนิทว่ามีชายหนุ่มแปลกหน้านั่งดูอยู่ด้วย กริยาของนางจึงทำให้ร่างสูงอดอมยิ้มในความน่ารักน่าชังนั้นเสียมิได้ “ไว้วันหลัง ข้าจักมาเยี่ยมคุณยายท่านใหม่หนาเจ้าคะ” “หากมันทำให้คุณพ่อเจ้าขุ่นเคืองใจ หลานมิต้องลำบากดอก” มือเรียวเล็กที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาลูบศีรษะและผมสีดำสนิทของหลานสาวอย่างรักใคร่ หากสิ้นบุญนางแล้วคงจะมีแต่หลานสาวคนนี้กระมังที่ตนจะให้ดูแลเรือนริมแพแห่งนี้ต่อไป “คุณพ่อท่านมิขุ่นเคืองใจอันใดเลยเจ้าค่ะ เหตุเพราะว่าหลานออกมากับท่านขุน” “นางทำให้ข้าต้องโปปดท่านเจ้าพระยาไปด้วยอีกคนขอรับ” “ท่านเป็นคนพูดเองมิใช่ฤาว่าท่านจักทำทุกอย่างให้ข้าเห็น ว่าท่านรักข้า” ใบหน้าหวานบึ้งตึงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มฟ้องคุณหญิงเฟื้องเสียยกใหญ่ “หากเป็นเช่นนั้นต่อให้ข้าต้องเป็นคนโป้ปดไปตลอดชีวิตก็ย่อมได้ขอรับ” “พอเถิด มาหยอดคำหวานกันจนข้าชักจะเวียนหัวเสียแล้ว รีบกลับเรือนเถิดประเดี๋ยวคุณพ่อท่านจักเป็นห่วง” “เช่นนั้นหลานขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ” “ไปเถิด...” สายตาของคนสูงวัยจ้องมองสองเรือนร่างที่เดินเคียงคู่ออกไปจากศาลาใหญ่ริมน้ำ แต่แล้วก็ต้องอุทานออกมาเสียงหลง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มกับแปรเปลี่ยนเป็นความกังวลใจขึ้นมาทันที เหตุเพราะสายตาที่มองตามร่างของจอมจันทร์ไปนางกลับเห็นหลานสาวของตัวเองไร้ซึ่งเงาบนศีรษะ “...คุณพระ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD