ข้าวของนานาถูกจัดเรียงไว้เพื่อขายและส่งออกไปยังเรือแพที่จอเรียงรายอยู่ใกล้ๆ เสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกขายของกันจนรู้สึกหนวกหู ร่างสูงเดินดูข้าวของได้ไม่นานนักจึงต้องแยกกลับไปรอสาวเจ้าที่ตนหมายจะมาหาตรงที่เดิมโดยไม่ทันสังเกตเห็นร่างเน่งน้อยอีกคนที่กำลังรีบเร่งเดินผ่านจุดนั้นเช่นเดียวกัน
พลั้ก!
ร่างบางของหญิงสาวชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของขุนนางหนุ่มเข้าอย่างจัง ก่อนจะล้มลงไม่เป็นท่าผ้าผ่อนสไบถูกเลิกขึ้นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน
“ไอ้บ้าเอ๊ย! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง” เสียงแหลมเล็กสบถด้วยความไม่ชอบใจในขณะที่ยังคงก้มหน้าลงจัดการปัดเศษดินเศษหญ้าตรงชายสไบพร้อมกับบ่าวไพร่อีกคนที่ต่างช่วยกันประคองแม่นายของตนให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“แม่นายลุกขึ้นไหวหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าขออภัยด้วยเถิดหนา ข้าไม่ทันได้ดู เจ้าเจ็บกงไหนหรือไม่” ขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาทิ้งตัวนั่งชันเข่าข้างๆกัน แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแกมรู้สึกผิด เจ้าของใบหน้าหวานหยดย้อยตรงหน้าอย่างคงมีสีหน้าบึ้งตึง แต่เพียงชั่วครู่เมื่อหันมาเห็นชายหนุ่มคู่กรณีเต็มตาสีหน้าขุ่นเคืองเมื่อครู่จึงหายไปทันทีอย่างเห็นได้ชัด
“ข้า!...ขะ...ข้าไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ มิได้ปวดตรงไหนเลย”
“มาเถิดข้าจักช่วยประคองเจ้า” มือหนายื่นมือไปโอบกอดแผ่นหลังเนียนนั้นไว้แล้วออกแรงพยุงร่างบางให้ยืนขึ้น ทั้งผิวพรรณที่เนียนละเอียด หน้าตาที่ดูกลมกลึงสะอาดเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวตรงหน้า หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ปล่อยให้หลุดรอดมือไปแน่ แต่ในยามนี้เขากำลังจะได้ออกเรือนไปกับแม่หญิงจอมจันทร์ หญิงสาวรูปงามไม่แพ้หญิงอื่นใดในกรุงศรี ดังนั้นเขาจะมาคิดเกินเลยไปกับหญิงอื่นอีกไม่ได้ ด้วยเพราะคำสัญญาที่ได้ลั่นวาจาไว้ก่อนหน้าว่าจักไม่ยกหญิงอื่นได้มาเทียบเคียงหญิงสาวอีก
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่าน...”
“เรียกข้าว่าขุนพันศรเถิด แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร” ชายหนุ่มแนะนำตัวพลางละมืออกจากแผ่นหลังเนียนอย่างอ้อยอิ่ง เขาเป็นเสืออย่างไรเสียก็ย่อมทิ้งลายไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี
“ข้าชื่อชงโคเจ้าค่ะ บ้านข้าอยู่แถวนี้แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน”
“ข้าเพิ่งย้ายมาจากเมืองละโว้ ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกันว่ากรุงศรีมีสาวงามเช่นเจ้าอยู่ด้วย” วาจาคมคายของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับนายอ่ำที่กำลังทำหน้าตาบอกบุญไม่รับเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายกำลังออกนอกลู่นอกทางอีกครั้ง
“ท่านก็ชมข้าเกินไป...” หญิงสาวเหนียมอาย แต่ดวงตาคู่งามดันหันไปปะทะเข้ากับสายตาของชะอม บ่าวรับใช้ที่กำลังส่งสัญญาณว่าตนต้องรีบไปทำกิจธุระต่อ แม่ชงโคจึงต้องรีบขอตัวในทันที “ข้าต้องรีบไปแล้วนะเจ้าคะ หวังว่าข้าคงจะได้พบท่านอีกครั้ง”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น แม่หญิงชงโค” แววตาสีน้ำเชื่อมมองตามร่างบางเดินหายไปท่ามกลางผู้คนที่สัญจรในตลาดอย่างไม่วางตาจนนายอ่ำอดที่จะพูดขึ้นมาเสียไม่ได้
“ท่านขุนขอรับ เรามาที่นี่เพื่อจะมาดูตัวแม่หญิงจอมจันทร์นะขอรับ มิได้...”
“ข้ารู้...ข้าเพียงแต่ทักทายแลสร้างสัมพันธ์อันดีกับนางเท่านั้น” ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่ แต่ยากนักที่นายอ่ำจะเชื่อผู้เป็นนายได้สนิทใจ เหตุเพราะรู้ดีถึงความเจ้าชู้ของชายหนุ่ม
ทางด้านแม่หญิงชงโคเองก็ยังคงฝันละเมอเพ้อถึงชายหนุ่มรูปงามเมื่อครู่ไม่แพ้กัน สองเท้างามเหยียบย่ำไปบนพื้นโคลนสีขุ่นซึ่งตามปกติหญิงสาวจะต้องรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่รองเท้าคู่สวยต้องสกปรกเลอะเทอะ แต่ในยามนี้แม่นายชงโคของนางชะอมกลับยิ้มแย้มแจ่มใสพลางเลื่อนมือไปเด็ดยอดไม้ขึ้นมาแกว่งเล่นอย่างอารมณ์ดีจนแลดูผิดแผกไป
“เอ็งเห็นหรือไม่ พ่อขุนศรีพันศรช่างรูปงามถูกใจข้ายิ่งนัก” เอ่ยถามบ่าวผู้ติดตาม
“เห็นเจ้าค่ะ รูปงามกว่าหนุ่มกรุงศรีมากนักเจ้าค่ะ” นางชะอมเออออห่อหมกไปตามนาย
“มันต้องเป็นเยี่ยงนั้นอยู่แล้ว เอ็งไม่ได้ยินรึเขาบอกว่าเขามาจากเมืองละโว้”
“เจ้าค่ะ แม่นาย”
“ข้ามิหน้ารีบเดินจากมาเลย น่าจะอยู่พูดคุยกับท่านขุนพันศรอีกสักครู่....” แววตาคู่งามเริ่มฉายแววแห่งความเสียดายขึ้นมาเต็มประดา ด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่แล้วว่าตนจะต้องได้ขุนนางรูปงามผู้นั้นมาครองให้จงได้
“ไว้วันหน้าดีกว่าเจ้าค่ะ วันนี้คุณหญิงเฟื้องท่านกำลังจะคัดนางรำหลวง ขืนชักช้าประเดี๋ยวแม่นายจะพลาดโอกาสงามหนาเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินบ่าวคนสนิทเอ่ยถึงคุณหญิงเฟื้องผู้เป็นยายซึ่งเป็นคนดูแลคณะนางรำที่เรือนริมแพต่อจากคุณหญิงผ่องจันทร์ผู้เป็นน้า หญิงสาวจึงชะงักงันชั่วครู่แล้วรีบจ้ำเท้าตรงดิ่งไปยังเรือนริมแพทันที
ทว่าเมื่อมาถึงสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับบึ้งตึงขึ้นมาอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นหญิงสาวร่างบางอีกคนซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนกำลังนั่งบีบนวดคุณหญิงเฟื้องอยู่ไม่ห่าง
“แหม มาเร็วจริงหนาแม่จอมจันทร์” ริมฝีปากบางเหยียดตรงด้วยความไม่ชอบใจ พลางพนมมือขึ้นไหว้ทักทายคุณหญิงเฟื้องอย่างขอไปทีโดยไม่ใส่ใจนัก
“ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานนี่เองเจ้าค่ะคุณพี่”
“ว่าแต่เราเถิด เหตุใดถึงเพิ่งจะมาเอาสายป่านนี้” คุณหญิงเฟื้องแกล้งเอ่ยถามผู้เป็นหลานถึงแม้จะรู้ดีว่าชงโคมักจะนอนตื่นสายจนผิดเวลาซ้อมรำอยู่เป็นประจำ
“เกิดเหตุที่ตลาดระหว่างทางน่ะเจ้าค่ะ ข้าบังเอิญวิ่งไปชนคนเข้าจนหกล้มหกคะเมน ข้อเท้าเคล็ดน่ะเจ้าค่ะ” ชงโคโป้ปดแล้วแสร้งทำเป็นปวดข้อเท้าขึ้นมาทันที ด้วยความขี้เกียจซ้อมรำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ถ้าเยี่ยงนั้นวันนี้เจ้าก็คงซ้อมรำไม่ได้ซีนะ” คุณหญิงเฟื้องเอ่ยถามอีกครั้งถึงแม้จะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของหลานสาวคนนี้ดี ชงโคมิได้มีใจสนใจการร่ายรำอย่างแท้จริงหากแต่ทำลงไปนั้นเพียงหวังที่จะเข้าไปเป็นนางรำหลวงเพื่อจะเอาชนะจอมจันทร์เท่านั้น
“มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ ข้าพอจะขยับเท้าได้บ้าง...ว่าแต่คุณยายท่านเลือกนางรำหลวงได้แล้วฤาเจ้าคะ” หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยเพื่อรอฟังคำตอบ ที่ตนคิดไว้ว่าคุณหญิงเฟื้องต้องเลือกตนแน่เพราะหญิงสาวทราบดีว่าพระยารามดำรงภักดีไม่ชอบใจเป็นแน่หากรู้ว่าบุตรสาวอย่างจอมจันทร์ถูกส่งเข้าไปเป็นนางรำหลวงซ้ำรอยผู้เป็นมารดา
“ข้ามิเห็นต้องคิดตรึกตรองให้หนักแต่อย่างใด ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าจักส่งแม่จอมจันทร์ไป”
“กระไรหนาเจ้าคะ !”
“ที่เจ้าได้ยินไม่ผิดเพี้ยนไปแน่ ข้าเห็นถึงความพยายามของนางแลความสามารถในการร่ายรำ มันก็เป็นเหตุสมควรแล้วมิใช่ฤาแม่ชงโค” คุณหญิงเฟื้องตอบเสียงนุ่มนวลพลางลูบศีรษะของจอมจันทร์อย่างรักใคร่แต่ทว่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงกลับนั่งก้มหน้านิ่งเพราะรู้ดีว่าชงโคไม่ชอบใจตนเป็นแน่แท้
“แต่คุณยายท่านย่อมรู้ดี ว่าคุณลุงมิชอบใจเป็นแน่ หากรู้ว่ามัน...หากรู้ว่าแม่จอมจันทร์จักได้เข้าไปเป็นนางรำหลวง”
“เรื่องนั้นอย่าได้กังวลใจไปเลยหนา ข้าจักพูดกับพ่อภักดีเอง”
“คุณยายท่าน ไม่กลัวว่าประวัติศาสตร์จักซ้ำรอยฤาเจ้าคะ แม่เป็นเยี่ยงไรลูกก็ต้องเป็นเยี่ยงนั้น” ชงโคพยายามตอกย้ำปมด้อยของจอมจันทร์ให้คุณหญิงเฟื้องฟัง เมื่อครั้งที่คุณหญิงผ่องจันทร์เคยเป็นคนสอนรำที่เรือนแห่งนี้ก่อนจะถูกกล่าวหาว่าคบชู้สู่ชายจนถูกพระยารามดำรงภักดีสั่งโบยจนตาย
“คุณพี่...”
“หมดธุระของเจ้าแล้ว กลับเรือนไปเสียเถิดเห็นทีวันนี้เจ้าคงซ้อมรำมิได้เสียแล้ว” คุณหญิงเฟื้องพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อให้ชงโคอารมณ์เย็นลงเสียบ้างแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“คุณยายท่านลำเอียงรักหลานมิเท่ากัน คอยดูเถิดหนาแม่จอมจันทร์ข้ามิยอมแน่! แล้วเราจักได้เห็นดีกัน” เสียงแหลมเล็กตวาดลั่นก่อนจะยืนขึ้นกระแทกเท้าลงเรือนไปท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ที่มองตามกันไปอย่างหวาดระแวง
“เจ้าอย่าได้น้อยใจพี่เจ้าเลยหนา เจ้าก็รู้ว่าเรื่องครานั้นแม่ของเจ้าถูกใส่ร้ายป้ายสี ข้าเป็นแม่เหตุใดข้าถึงมิรู้นิสัยใจคอของลูกสาวข้าเล่า” เมื่อสิ้นเสียงของชงโคคุณหญิงเฟื้องจึงรีบปลอบประโลมหลานสาวสุดที่รักอีกคนเพราะเกรงว่านางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอีกครา
“หลานรู้ดีเจ้าค่ะคุณยายท่าน เพียงแต่...หลานยังไม่แน่ใจหากคุณพ่อท่านรู้ คุณพ่อจักยอมให้หลานไปหรือไม่เจ้าคะ”
“ลางที หากหลานตกลงปลงใจออกเรือนไปกับท่านขุนศรีพันศร หลานก็อาจจักได้...”
“ไม่หนาเจ้าคะ หลานมิอยากออกเรือนไปกับท่านขุนศรีผู้นั้น” ไม่ทันที่คุณหญิงเฟื้องจะกล่าวจบ จอมจันทร์จึงรีบตัดบทเสียก่อน
“เหตุใดเจ้าถึงไปจงเกลียดจงชังเขานักเล่า ”
“เขามีเมียอยู่เต็มเรือนแล้วหนาเจ้าคะ หากมีหลานขึ้นไปเทียบเคียงตำแหน่งใหญ่สุดของเรือน คุณยายท่านมิคิดดอกหรือว่านางๆน้อยของเขาจักมิรังเกียจหลาน” ร่างบางตัดพ้อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงเหตุที่จะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“แต่ถ้าพ่อเจ้าต้องการ หลานจักทำเยี่ยงไร จักขัดใจพ่อเจ้าได้หรอกรึ”
“หลานมิมีวันยอมแน่เจ้าค่ะ หากตายเสียได้หลานก็จักตาย” แววตาคู่งามฉายแววเด็ดเดี่ยวจนคนฟังรู้สึกกังวลใจ เพราะรู้ดีว่าหลานสาวตรงหน้าต่อให้อ่อนหวานสักเพียงใด แต่เมื่อถึงยามดื้อรั้นก็ดื้อเสียจนใครหน้าไหนก็ขวางไว้ไม่ได้
“มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต หากคู่กันแล้วต่อให้เจ้าหนีไปกี่ภพกี่ชาติ เจ้าก็ต้องกลับมาพบ มาเป็นคู่กันอยู่ดีแหละหนา...”
“เจ้าค่ะ หากถึงเพลานั้นเห็นที หลานคงต้องทำใจเจ้าค่ะ” พูดจบดวงหน้าหวานจึงก้มลงแนบชิดกับตักอุ่นๆที่เคยหนุนต่างตักมารดาอยู่เป็นประจำ ในยามเหนื่อยล้าคงจะมีแต่คุณหญิงเฟื้องกระมังที่พอให้ตนได้พักใจอยู่บ้าง