ตอนที่ 4 ความลับของคุณหญิงผกา

3104 Words
“ท่านขุนอยู่นี่เองฤาเจ้าคะ บอกให้ข้ามาหาที่ตลาดแต่เหตุใดถึงไปกับแม่จอมจันทร์ได้เล่า” เมื่อเสร็จธุระที่เรือนริมแพแล้วขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาจึงอาสาพาหญิงสาวไปส่งที่เรือนตามที่สัญญาไว้กับพระยารามดำรงแต่ทว่าระหว่างทางกลับมาเจอกับแม่ชงโคเสียก่อน ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนเหนื่อยหอบเข้ามาหาชายหนุ่มทันทีหลังจากที่เดินหาจนทั่วทั้งตลาดตามคำบอกเล่าของคุณหญิงผกา กระทั่งมาพบกับชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินเคียงคู่มากับน้องสาวนอกไส้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใครบอกให้เจ้ามาหาข้ารึ ข้าจำได้ว่าข้ามิได้บอก” ร่างสูงรีบปฏิเสธตามความจริงเพราะเกรงว่าหญิงสาวอีกคนจะขุ่นเคืองเพราะความเข้าใจผิด “ก็ท่านขุนเป็นคนบอกข้าเมื่อสองวันก่อนมิใช่ฤาเจ้าคะ ตอนที่น้องจอมจันทร์ป่วยไข้ท่านขุนก็ออกมาพบข้าอยู่เนืองๆ” ชงโคแกล้งโป้ปดเพื่อหวังจะสร้างความสั่นคลอนให้กับคนทั้งสองได้ “มินึกเลยนะเจ้าคะว่าท่านจักผิดสัญญาเช่นนี้” “นี่เจ้าพูดถึงเรื่องอันใดกัน ข้ามิได้เจอเจ้ามาหลายวันแล้วหนา แล้วข้าจักไปสัญญากระไรไว้กับเจ้าได้” “จริงอย่างที่คุณพี่ว่า ตลอดเวลาที่ข้าป่วยไข้อยู่ที่เรือน ข้ารู้ว่าคุณพี่ขุนของข้ามิเคยออกนอกลู่นอกทาง จริงหรือไม่เจ้าคะคุณพี่” ร่างบางที่ทนฟังอยู่นานเอ่ยขึ้นพร้อมกับถือวิสาสะใช้มือเรียวจับแขนกำยำของคู่หมายตัวเองไว้แน่นราวกับจะแสดงความเป็นเจ้าของ จนชายหนุ่มและบ่าวไพร่ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงงจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ถึงคราวที่แม่หญิงจอมจันทร์จะได้เอาคืนเสียบ้างแล้ว “เป็นอย่างที่แม่จอมจันทร์ของพี่พูดมิมีผิดเลย” “พี่ชงโคคงจักเข้าใจกระไรผิดไปกระมัง ถึงได้คิดไปเองว่าคุณพี่จักมาหา” ว่าพลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเอียงคอซบหน้าลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่ม จนนางผันรีบดึงชายสไบของคุณหนูไว้เพราะเกรงว่าจักดูไม่งามนักที่มายืนกอดกับผู้ชายกลางตลาดเช่นนี้ “เจ้ามิต้องมาหลอกข้าดอกแม่จอมจันทร์ ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีใจเสน่หาท่านขุนเลยแม้แต่น้อย แล้วเจ้าจักมาหวงก้างด้วยเรื่องอันใด” “คราก่อนอาจมิใช่ แต่ครานี้ใจข้าเปลี่ยนไปแล้วเจ้าค่ะ คุณพี่รูปงามออกปานนี้จักให้ข้าทนได้อย่างไรเล่า” สิ้นเสียงของแม่หญิงจอมจันทร์ร่างสูงถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหน้าคมคร้ามของชายหนุ่มยังคงจ้องมองดวงหน้าหวานของหญิงสาวราวกับไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อครู่ “หากพี่ชงโคมิมีเรื่องอันใดแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับเรือนก่อนหนาเจ้าคะ ป่านนี้คุณพ่อท่านคงรอรับทานข้าวอยู่ที่เรือนแล้ว” พูดจบจึงเดินจากมาโดยที่ไม่ลืมจับมือของชายหนุ่มติดมือมาด้วย ปล่อยให้แม่หญิงชงโคยืนขบกรามแน่นมองภาพบาดตาบาดใจเดินหายไปจากตลาดท่ามกลางผู้คนนับร้อย “นางจอมจันทร์...กูมิเชื่อดอกว่ามึงจักมีใจให้ท่านขุนจริง!” “มิเชื่อแล้วจักทำกระไรได้เจ้าคะก็เขาเป็นคู่หมายกัน คุณหนูจักไปแสดงกิริยาเช่นนั้นมิงามหนาเจ้าคะ” นางชะอมก้มหน้าตอบอย่างเกรงๆ “มึงกล้าปรามกูรึ เป็นบ่าวริอาจมาสั่งสอนกู กลับไปถึงเรือนก่อนเถิดกูจักโบยมึงให้หลังลาย” ว่าแล้วมือเรียวจึงใช้เล็บยาวของตนจิกลงบนเนื้อของบ่าววัยไล่เลี่ยกันก่อนจะลากนางชะอมเดินตามหลังกลับเรือนไปด้วยความเจ็บใจ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านนับร้อยที่ส่งเสียงนินทากันอย่างสนุกปาก “บ่าวกลัวแล้วเจ้าค่ะ ปล่อยบ่าวเถิด” เสียงของนางชะอมค่อยๆเงียบหายไป จอมจันทร์จึงหันกลับไปมองที่ตลาดอีกครั้งเมื่อมั่นใจแล้วว่าชงโคไม่ได้ตามมาหาเรื่องอีก ตนจึงรีบปล่อยมือของคนที่ยังยืนยิ้มฝันหวานอยู่ออกอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องขอบพระคุณท่านอีกครั้ง หากมิได้ท่านคุณพ่อคงมิยอมให้ข้าไปหาคุณยายท่านที่เรือนริมแพอีกเป็นแน่” หญิงสาวจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อนจะขอตัวลากลับบ้าน “ท่านส่งข้าเท่านี้เถิด ข้าเดินกลับเรือนเองได้” “ได้อย่างไรเล่า ท่านเจ้าพระยาคงจะเคืองข้าเป็นแน่ที่ไม่กลับไปส่งแม่จอมจันทร์ให้ถึงเรือน” คนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่แม่หญิงยังเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย เวลาผ่านไปไม่นานกลับมาทำหน้าบึ้งตึงได้เสียนี่ “มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ ท่านขุนคงจักมีธุระที่ต้องทำอีกโข” “เหตุใดถึงมิเรียกข้าว่าคุณพี่เช่นเดิมเล่า...ข้าชอบ” คนตัวโตอมยิ้มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนักแต่ทว่าคนฟังกลับไม่ชอบใจ ตวัดหางตาตอบกลับจนชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง “แต่ข้ามิชอบ ที่ข้าทำเมื่อครู่ข้าเพียงแต่จักเอาคืนพี่ชงโคบ้างเท่านั้น ให้นางรู้เสียบ้างว่าข้ามมิใช่คนที่นางจักมารังแกได้แต่เพียงฝ่ายเดียว” “หมายความว่าเจ้ามิได้มีใจให้ข้าเหมือนที่แม่นางชงโคว่าอย่างนั้นฤา” ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่กลับกลายเป็นความผิดหวังอย่างชัดเจน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว “มันยังมิถึงเพลาเจ้าค่ะ...ไปพี่ผัน เรารีบกลับเรือนกันเถิด” นางผันรีบถลาตามคุณหนูของนางไปทันทีก่อนจะเหลือบมองหน้าขุนศรีพันศรครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกสงสารจับใจแต่ก็มิอาจจะฝืนใจคุณหนูของนางได้เช่นกัน “นางใจแข็งเหลือเกิน...” ร่างสูงจึงทำได้เพียงแค่ยื่นนิ่ง รู้สึกราวกับหัวใจโดนหญิงสาวเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี “นางเป็นแม่หญิงคนแรกที่กล้าหักหาญน้ำใจท่านขุน กระผมเคยเห็นแต่เพียงแม่หญิงที่เข้าหามิเคยเห็นแม่หญิงใดที่หนีท่านขุนเช่นนี้เลยขอรับ” นายอ่ำลอบถอนหายใจออกมาด้วยความลืมตัว หากเป็นยามอื่นจะต้องโดนเอ็ดเป็นแน่ แต่มิใช่ยามนี้ ยามที่ชายหนุ่มกำลังยืนเหม่อลอยมองตามชายสไบสีหวานของแม่หญิงพร้อมกับหัวใจที่พังยับเยินไม่มีชิ้นดี “นางคงจักคิดว่าข้ามากรัก นางถึงได้รังเกียจข้าเช่นนี้” หลังจากได้รับอนุญาตให้ออกจากหอนอนได้ จอมจันทร์จึงมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับงานบ้านงานเรือนตามที่บิดากำชับกับบ่าวรับใช้และคุณหญิงผกาไว้ว่าจักต้องสอนงานทุกอย่างบนเรือนให้กับหญิงสาว เหตุเพราะจะต้องออกเรือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนว่าที่คู่หมายอย่างขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาหลังจากที่ลากลับเมืองละโว้เพื่อจัดการกับบรรดาเมียเล็กๆในเรือนแล้ว ชายหนุ่มก็มักจะแวะเวียนมาหาที่เรือนอยู่เป็นนิจ โดยอ้างเหตุผลกับหญิงสาวว่าจะพาไปพบคุณหญิงเฟื้องเป็นประจำ “ข้าขอพักสักครู่มิได้หรือพี่ผันพี่อุ่น” ร่างบางโอดครวญหลังจากที่นั่งพับจีบดอกบัวกองมหึมาตรงหน้า บิดตัวเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากการนั่งอยู่นานโข โดยมีบ่าวของคุณหญิงผกาจับตามองอยู่ไม่ห่าง “มิได้ดอกเจ้าค่ะ คุณหนูมีงานต้องทำอีกมากโข หากมิเร่งมือเพลาไหนจักเสร็จเล่าเจ้าคะ” คุณหญิงผกาเป็นผู้ตอบแทนบ่าวทั้งสองพร้อมกับปรี่เข้ามาหยิบดอกบัวหนึ่งดอกขึ้นไปเพ่งพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “นี่คุณหนูใช้มือหรือใช้ตีนเจ้าคะ เหตุใดดอกบัวมันถึงได้ช้ำเช่นนี้” “ก็ข้ามิเคยทำจักให้งามเหมือนคุณป้าทำได้อย่างไรเล่า” “ถ้าเช่นนั้นก็มิต้องพักแล้วเจ้าค่ะ...” พูดจบจึงโยนดอกบัวที่หญิงสาวพับลงบนพานอย่างไม่แยแส “ฝีมือเช่นนี้ ออกเรือนไปคงจักขายขี้หน้าไปถึงเมืองละโว้” “คุณป้า!” “มีเหตุอันใดกัน เสียงดังไปถึงหน้าเรือน” เจ้าพระยารามดำรงภักดีเอ่ยถามหลังจากที่เพิ่งกลับจากราชกาลก่อนจะสั่งให้บ่าวนำข้าวของไปเก็บ แล้วจึงเดินเข้าไปยืนเคียงข้างผู้เป็นภรรยา คุณหญิงผกาจึงรีบปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติตามเดิม “มิมีกระไรดอกเจ้าค่ะคุณพี่ ข้าก็สอนนางทำงานบ้านงานเรือนเหมือนเช่นทุกวัน แต่ดูนางเล่า นางเถียงข้าคำมิตกฟากเลยเจ้าค่ะ” “จริงรึแม่จอมจันทร์” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “คุณพ่อจักถามลูกด้วยเหตุใดอีกเจ้าคะ ต่อให้ลูกจักเล่าความจริง คุณพ่อก็มิรับฟัง” หญิงสาวตัดพ้อก่อนจะวางดอกบัวในมือลง พนมมือไหว้เจ้าพระยาหนึ่งครั้งแล้วเดินเข้าห้องไป “แม่จอมจันทร์ หยุดเดี๋ยวนี้!” “ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ นางคงจักเหนื่อย คุณพี่ก็ไปพักเถิดเจ้าค่ะประเดี๋ยวข้าจักไปเตรียมน้ำชาให้บ่าวนำไปให้” คุณหญิงผกาเสนอแล้วจึงขอตัวไปเตรียมน้ำชาตามที่บอกไว้เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ เจ้าพระยารามดำรงภักดีเหลือบมองประตูหอนอนของบุตรสาวที่เพิ่งปิดลงอีกครั้งด้วยความเอือมระอา โดยไม่รู้เลยว่าภายในห้องหญิงสาวกำลังร้องไห้ปานจะขาดใจตาย “คุณแม่เจ้าขา ฮึกๆ ฮือ...คุณพ่อท่านใจร้ายเหลือเกินเจ้าค่ะ ลูกอยากไปอยู่กับคุณแม่ คุณแม่มารับลูกด้วยเถิดหนาเจ้าค่ะ...ฮือ” “ไม่หนาเจ้าคะคุณหนูของบ่าว คุณหญิงท่านไปสบายแล้ว คุณหนูอย่าพูดเยี่ยงนั้นซีเจ้าคะบ่าวใจไม่ดีเลย” นางผันจับขาเรียวของหญิงสาวไว้ลูบไล้แผ่วเบาเพื่อปลอบใจ มิให้คุณหนูของนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจท่านเจ้าพระยา “จักให้ข้าทำเช่นไร ข้าถึงมิต้องออกเรือน...ฮือ” “แต่ขุนท่านก็ดูรักแลมีใจให้คุณหนูมิน้อยหนาเจ้าคะ” นางอุ่นเสริมขึ้นอีกคน “หากมิรักคุณหนู ขุนท่านจักกลับบ้านกลับเมืองไปจัดการกับบรรดาเมียๆของท่านด้วยเหตุใดเล่าเจ้าคะ” “ต่อให้ข้ามิต้องออกเรือนกับท่านขุน ฮึกๆฮือ...ข้าก็มิใคร่จักออกเรือนกับชายใดดอก ข้ากลัวเหลือเกิน หากกาลข้างหน้าชะตาข้าเป็นเช่นคุณแม่ข้าจักทำเช่นไร” ดวงตาคู่งามที่แดงก่ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย น้ำตาไหลนองอาบแก้มทั้งสองข้างราวกับสายน้ำ “แต่หากจักขัดใจคุณพ่อท่าน ก็จักเป็นบาปหนาเจ้าคะ” “ข้าถึงพูดอย่างไรเล่า ว่าข้าอยากตายไปเสียให้สิ้น ข้ามิต้องกังวลใจเช่นนี้อีก” นางผันและนางอุ่นต่างจนปัญญาที่จะปลอบประโลมหญิงสาวให้หยุดร้องไห้ลงได้ กระทั่งเวลาล่วงเลยจนถึงค่ำ ร่างบางก็ยังคงนั่งสะอื้นอยู่บนเตียง ข้าวปลาก็ไม่ยอมแตะเลยสักนิด ถึงแม้ว่านางอุ่นจะยกสำรับขึ้นมาให้ถึงหอนอนก็ตาม “กินข้าวเสียก่อนเถิดเจ้าค่ะ” “...” ถึงแม้นางผันจะพยายามเกลี้ยกล่อมสักเพียงใดก็ยังคงไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบกลับมาจนบ่าวรับใช้ทั้งสองเริ่มถอดใจ จ้องมองหญิงสาวที่ยังคงมีใบหน้าเศร้าสลดถึงแม้จะไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้วก็ตามแต่ทว่าดวงตาคู่งามนั้นกลับบวมขึ้นจนดูนางผันเองก็รู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย “นั่นใครกัน” ใบหน้าเศร้าซึมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความแปลกใจทันที เมื่อสายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างปะทะเข้ากับเงาของใครบางคนซึ่งกำลังถือตะเกียงเดินหายไปยังชายป่าข้างเรือน “ใครเจ้าคะ” นางอุ่นรีบลุกเดินไปยังหน้าต่างห้องมองตามสายตาของจอมจันทร์ไปท่ามกลางความมืดกระทั่งแน่ใจแล้วว่าร่างที่ตนเห็นนั้นเป็นใคร “คุณหญิงผกาเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้นร่างบางจึงรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองลวกๆแล้วจึงเดินตามนางอุ่นไปที่หน้าต่าง จ้องมองร่างปริศนาในความมืดนั้นเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง “ใช่คุณหญิงผกาจริงๆด้วยเจ้าค่ะ” นางผันเสนอขึ้นอีกคน “มืดค่ำเช่นนี้คุณป้าจักออกไปไหน เหตุใดถึงทำลับๆล่อๆเช่นนั้น” หญิงสาวพึมพำแผ่วเบาก่อนจะตัดสินใจคว้าตะเกียงตรงหัวนอนเดินออกไปยังประตูทันที จนบ่าวทั้งสองตกใจเลิกลักกันไปตามๆกัน “คุณหนูจักไปไหนเจ้าคะ” “ข้าจักออกไปดูว่าคุณป้าจักไปไหน” “มิได้หนาเจ้าคะ ค่ำๆมืดๆมันอันตราย” นางผันแทบจะอกแตกตาย เมื่อครู่คุณหนูของนางยังร้องไห้แทบขาดใจ มาตอนนี้กลับมีทำใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาจนเอาใจแทบไม่ทัน “เช่นนั้น พี่ทั้งสองก็ไปกับข้า สามหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” “ไม่ได้เจ้าค่ะ/ไม่ได้เจ้าค่ะ” นางผันและนางอุ่นส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย หากออกไปยามนี้งูเงี้ยวเกี้ยวขอกัดคุณหนูของพวกนางขึ้นมา มีหวังจะต้องถูกโบยจนหลังลายเป็นแน่ “เช่นนั้นข้าไปคนเดียว” คนที่แสนจะดื้อรั้นถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วจึงเปิดประตูห้องออกไป บ่าวทั้งสองจึงต้องเดินตามออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะต่อให้ห้ามปรามแม่หญิงจอมจันทร์อย่างไรหญิงสาวก็ไม่ฟังอยู่ดี สามนายบ่าววัยไล่เลี่ยกันเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆเลียบคลอง โดยอาศัยไฟจากตะเกียงเล็กๆส่องนำทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงชายป่าใกล้เรือน มีแต่ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องดังสลับกับเสียงลมเป็นระยะเท่านั้น ทุกย่างก้าวล้วนมีแต่หญ้ารกขึ้นปกคลุมจนน่าขนลุก นางผันเดินนำหน้าไปโดยมีนางอุ่นคอยรั้งท้ายดูแลคุณหนูของนางไม่ให้คลาดสายตา “ระวังนะเจ้าคะ” “ชู่! อย่าส่งเสียงดังซีพี่ ประเดี๋ยวคุณป้าท่านก็รู้ดอกว่าพวกเราแอบตามมา” ร่างเล็กหันมาขู่นางผันเสียงเขียวจนคนโดนเอ็ดได้แต่ก้มหน้านิ่งเดินตามไปอย่างเงียบๆ ผ่านไปไม่กี่อึดใจทั้งสามจึงมาถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าขนาดย่อมใกล้คุ้งน้ำ มองออกไปท่ามกลางความมืดจนเห็นว่ามีเรือแจวลำหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าเล็กๆซึ่งไม่มีใครได้ใช้จนดูผุผัง ร่างบางของคนอยากรู้จึงค่อยๆเดินย่องออกไปจากที่กำบังช้าๆจนนางผันเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “จักไปไหนเจ้าคะ รอบ่าวด้วย” นางผันตกใจรีบถือตะเกียงเดินตามไปทันที “มิได้พี่ผันมีตะเกียง ประเดี๋ยวคุณป้าท่านเห็น พี่กับพี่อุ่นรอข้ากงนี้หนา ข้าจักไปฟังใกล้ๆ อยู่กงนี้ข้ามิได้ยินกระไรเลย” “บ่าวไปด้วยเจ้าค่ะ ให้นางอุ่นรอดูต้นทางอยู่กงนี้” นางผันกระซิบตอบก่อนจะส่งตะเกียงในมือให้กับนางอุ่นแล้วจึงพากันเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ทิ้งให้นางอุ่นดูทางหนีทีไล่หากเกิดอะไรขึ้นจะได้พากันหนีได้ทันท่วงที เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรร่างบางจึงหลบตัวอยู่หลังพุ่มไม้ขนาดย่อม โดยใช้แสงไฟจากพระจันทร์ส่องนำทางแล้วจึงหันไปส่งสัญญาณให้นางอุ่นเอาไฟตะเกียงหลบหลังต้นไม้ ก่อนจะเงี่ยหูฟังคุณหญิงผกาพูดคุยกับชายฉกรรจ์นิรนามท่ามกลางความมืด “มาแล้วรึ เหตุใดถึงช้านัก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างมิสบอารมณ์ ในขณะที่อีกคนกำลังรีบเร่งผูกเรือไว้กับเสาที่ท่าน้ำด้วยท่าทางร้อนรนไม่แพ้กัน “กว่าข้าจะหนีออกมาได้มิง่ายเลยหนา มาให้ข้าหอมให้ชื่นใจก่อนเถิด” ร่างกำยำของชายวัยเดียวกันนุ่งโจงกระเบนสีกรัก กอดหอมคุณหญิงผกาอย่างดูดดื่มด้วยความโหยหาราวกับไม่ได้เจอมาเป็นแรมปี “อุจาดตานักเจ้าค่ะ” “เบาๆสิพี่” เสียงนางผันอุทานออกมาทำให้ร่างบางรีบใช้มือปิดปากนางไว้แทบไม่ได้ในขณะที่ยังคงจับจ้องไปยังสองร่างที่ริมน้ำ “ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกิน อีจัน” ร่างนั้นเอ่ยเรียกชื่อเก่าของคุณหญิงผกาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้ายังคงซุกไซ้อยู่ตรงซอกคอข่าวผ่อง “ประเดี๋ยวเถิด ข้าจักให้เอ็งอิ่มหนำ แต่ไหนเล่าของที่ข้าสั่ง” “นี่จ่ะเมียจ๋า” ชายนิรนามละสายตาจากหน้าอกหน้าใจคุณหญิงผกา ก้มลงหยิบบางอย่างตรงชายพกครู่หนึ่งแล้วจึงส่งมันให้กับหญิงวัยกลางคนตรงหน้า “เอ็งจักเอาต้นเมล็ดดองดึงนี่ไปทำกระไร ไหนเอ็งบอกข้าว่าจักให้มันตายช้าๆมิใช่รึ” “ชักช้ามันมิทันการดอก ข้าอดใจรอวันที่เราจักมีความสุขบนกองเงินกองทองของเจ้าพระยาหน้าโง่นั้นมิได้เสียแล้ว” “คุณป้า” สิ้นเสียงของคุณหญิงผกา คนที่อุทานออกมาเสียงดังกลับไม่ใช่นางผันแต่กลับเป็นจอมจันทร์เสียเองแต่โชคดีนักที่ลมพัดไปอีกทาง เสียงของหญิงสาวจึงไม่ทำให้ทั้งสองได้ยินแต่อย่างใด เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ เมื่อสติกลับคืนมาหญิงสาวจึงรีบเดินถอยกลับไปยังทางเดินที่ตนลัดเลาะมาก่อนหน้า ปล่อยให้คุณหญิงผกาพลอดรักกับชายชู้เสียให้สมใจอยู่ตรงท่าน้ำ ร่างบางหอบหิ้วความบอบช้ำกลับมายังเรือนไม่คิดไม่ฝันว่าผู้เป็นแม่เลี้ยงจะทำกับบิดาของตนได้ถึงเพียงนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD