ตอนที่ 5 ใส่ร้ายป้ายสี

2950 Words
เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหญ้าดังสวบๆ เพียงชั่วครู่จึงปรากฏร่างอวบท้วมของคุณหญิงผกาเดินย่ำมาถึงหน้าเรือน เหงื่อกาฬไหลโทรมกายจนเปียกชุ่ม จอมจันทร์และบ่าวรับใช้ทั้งสองจึงรีบถลาออกมาจากศาลาริมน้ำทันทีหลังจากที่นั่งรออยู่หลายชั่วยาม “ไปไหนมาหรือเจ้าคะ คุณป้า” ร่างงามเอ่ยถามเสียงราบเรียบแต่คนถูกถามกลับสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาดักรออยู่เช่นนี้ “แม่จอมจันทร์!” ดวงตากลมลึกเบิกโตเมื่อร่างบางอรชรของลูกเลี้ยงตัวดีย่างสามขุมออกมาจากศาลาริมน้ำก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด “ข้าจักไปไหนมาไหนมันก็เรื่องของข้า มิใช่กงการอะไรของเจ้า” “มันก็มิใช่เรื่องข้าเช่นกัน หากว่ากิจของคุณป้ามิได้เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณพ่อท่าน...พี่ผัน พี่อุ่นไปเอามา” ร่างบางเอ่ยเสียงสั่น แล้วหันไปสั่งบ่าวทั้งสองด้านหลังให้เข้าไปยื้อแย่งห่อผ้าสีดำที่คุณหญิงผกาพับเก็บไว้ตรงเอวหนา “เจ้าค่ะ” “อย่านะ...นี่พวกมึงกำเริบใหญ่แล้วหนา เอาของข้าคืนมาประเดี๋ยวนี้ คอยดูเถิดกูจักสั่งโบยให้หลังขาด” เสียงขู่ตวาดของคุณหญิงจำปาไม่ได้ทำให้บ่าวที่แสนจงรักภักดีทั้งสองเกรงกลัวได้หากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง หลังจากยื้อแย่งกันอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ของที่หญิงสาวปรารถนา นางผันจึงรีบส่งถุงผ้านั่นให้กับคุณหนูของนางทันที นางอุ่นจึงรีบละจากร่างคุณหญิงผกาถลาเข้าไปยืนเคียงข้างแม่จอมจันทร์ด้วยอีกคนเพื่อคอยดูท่าทีอยู่ไม่ห่าง “ได้แล้วเจ้าค่ะ” “ข้ามิรู้ดอกหนาว่าคุณป้าเกลียดชังข้าด้วยเรื่องอันใด เรื่องที่คุณป้าใส่ร้ายป้ายสีมารดาข้าว่าคบชู้สู่ชายข้ายังมิได้เอาความ แต่ครานี้คุณป้ากลับเป็นฝ่าบคบชู้เสียเอง มิหนำซ้ำยังวางแผนกับชายชู้เพื่อฆ่าคุณพ่อท่านอีก จิตใจคุณป้าทำได้อย่างไรเจ้าคะ” ร่างบางถือถุงยาพิษไว้ในมือแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าคนที่บิดาไว้ใจตบแต่งเป็นเมียเองแทนมารดาจะใจร้ายใจดำดั่งเช่นงูพิษเช่นนี้ “เจ้าพูดเรื่องอันใด ถุงนั่นเป็นยาสมุนไพรต่างหากเล่า มิใช่ยาพิษอย่างที่เจ้าคิด ข้าจักเอามาปรุง...” “อย่างนั้นฤาเจ้าคะ ข้ายังมิได้บอกเลยหนาว่าสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นยาพิษ คุณป้าจักร้อนตัวไปใยเจ้าคะ” ไม่ทันที่คุณหญิงผกาจะพูดจบร่างบางจึงรีบสวนกลับทันควัน “ก็...เจ้ามิชอบข้า เหตุใดข้าจักไม่รู้ว่าเจ้าหมายความจักพูดเช่นไร” หญิงสูงวัยกว่าหน้าเสียชะงักไปชั่วครู่แต่แล้วก็หาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองจนได้ “แล้วที่คุณป้าพูดกับชายชู้คนนั้นเล่า สมุนไพรที่ให้คุณพ่อท่านดื่มกินมาหลายเดือนจนอาการคุณพ่อท่านย่ำแย่ มิใช่ฝีมือของคุณป้าหรอกฤา ทุกคำพูดทุกการกระทำที่ท่าน้ำเก่านั่น อย่านึกว่าข้าจักมิได้ยินมิได้เห็นแลเรื่องนี้คุณพ่อท่านจักต้องรู้ด้วยเช่นกัน” “หึ ก็ลองดูซี ว่าท่านเจ้าพระยาจักเชื่อใครระหว่างเมียที่แสนจงรักภักดีเช่นข้ากับลูกสาวของแม่หญิงที่คบชู้ ซึ่งใครจักไปรู้ว่เป็นใช่ลูกของท่านเจ้าพระยาหรือว่าลูกชู้กันแน่” คุณหญิงผกายิ่มย่องเมื่อเห็นว่าตนกำลังถือไพ่เหนือกว่าหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นคอยดูพรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ” แม้ในใจอยากจะขึ้นไปรายงายเจ้าพระยารามดำรงภักดีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทว่าเวลานี้ทุกคนในเรือนต่างนอนหลับพักผ่อนไปหมดแล้ว ครั้นจะไปรบกวนบิดาที่สุขภาพกำลังย่ำแย่จึงดูเป็นการไม่สมควรนัก ร่างบางระหงจึงถือห่อผ้าไว้ในมือเพื่อจะเก็บเป็นหลักฐานไว้เรียนให้บิดาทราบในวันรุ่งขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนผ่านหน้าคุณหญิงผกาขึ้นเรือนไป “คิดว่าข้าจักยอมงั้นฤา” ร่างอวบท้วมอาศัยจังหวะที่หญิงสาวเผลอเข้าไปคว้าถุงผ้าในมือก่อนจะถลาไปที่ริมน้ำเขวี้ยงมันลงไปใต้กระแสน้ำด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินยิ้มย่องเข้ามาประจันหน้ากับหญิงสาวอีกครั้งราวกับเป็นผู้ชนะ “เรามาดูกันว่าใครจักเป็นฝ่ายโดนใส่ความกันแน่” พูดจบจึงเหล่ตามองจอมจันทร์อีกครั้งก่อนจะสะบัดก้นขึ้นเรือนไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ร่างบางและบ่าวรับใช้ทั้งสองมองตามแผ่นหลังไปด้วยความเจ็บใจ “จักทำเช่นไรดีเจ้าคะ หากเรียนให้คุณท่านทราบ คุณท่านคงมิเชื่อ...” นางอุ่นโอดครวญพลางหันไปมองที่ท่าน้ำอีกครั้งราวกับหวังให้ถุงผ้าเจ้าปัญหานั่นลอยกลับขึ้นมา “ข้าก็ยังมิรู้ แต่หากจักให้ข้าทนดูคุณป้าคิดร้ายกับคุณพ่อท่านเช่นนี้ข้าก็ทำมิได้เช่นกัน” ใบหน้าหวานเลื่อนลอยราวกับคนหมดหนทาง “คุณแม่เจ้าขา ช่วยคุ้มครองคุณพ่อท่านด้วยเถิดเจ้าค่ะ” “โธ่ คุณหนู” นางผันถอดใจ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแผนการที่วางไว้กลับไม่เป็นผล “ดึกแล้ว น้ำค้างแรง เรารีบขึ้นเรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคุณหนูจักจับไข้ ” นางอุ่นเสนอขึ้น จอมจันทร์จึงยอมเดินคอตกขึ้นเรือนไปในที่สุด เสียงไก่ร้องขันดังระงมไปทั่วเรือน บ่าวไพร่ต่างพากันตื่นแต่ย่ำรุ่งเพื่อทำความสะอาดบ้านและเตรียมข้าวปลาอาหารให้กับนายบนเรือน ร่างบางระหงสวมชุดโจงกระเบนสีหวานรีบถลาออกจากหอนอนตรงดิ่งไปที่ศาลาใหญ่กลางเรือนเพื่อจะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้บิดาทราบตามที่ตั้งใจไว้ แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าคุณหญิงผกานั่งชูคอเคียงข้างบิดาอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับสัมภาระหีบใหญ่ที่บ่าวไพร่กำลังทยอยพาลงไปที่เรือ เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังเดินเข้ามา คุณหญิงผกาจึงหันไปกระซิบบางอย่างกับพระยารามดำรงภักดีก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะหันไปเอ่ยเรียกให้ร่างบางเข้ามาหา ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก “มาแล้วฤาแม่จอมจันทร์!” “เจ้าค่ะคุณพ่อ ลูกมีเรื่องจักเรียนให้คุณพ่อ...” “เมื่อคืน เจ้าหายไปไหนมารึ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ ประมุขของบ้านก็รีบตัดบทเสียก่อนพร้อมกับไม้เท้าคู่กายกระทบกับเสียงพื้นไม้ของเรือนดังสนั่นจนบ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้ๆตั้งรีบก้มหน้างุดด้วยความเกรงกลัว “ลูกมิได้หายไปไหนเจ้าค่ะ คุณป้าต่างหากเล่าที่เป็นคนหายไปจากเรือน” “สามหาว! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล้าโยนความผิดให้คุณหญิงท่าน ทั้งที่เจ้าต่างหากที่เป็นคนหายไปเมื่อตอนดึก หากแม่ผกาไม่ตามไปเห็นกับตาคงมิรู้ว่าเจ้าแอบไปนัดแนะกับพ่อค้าเรือนแพชั้นต่ำ!” “กระไรเจ้าคะ ลูกมิได้นัดหมายกับใครเลย พ่อค้าเรือนแพคนไหนลูกก็มิได้รู้ตักเลยสักคน” “มิน่าเล่าเจ้าถึงมิอยากออกเรือนไปกับท่านขุน เพราะเจ้ามันใฝ่ต่ำเหมือนมารดามิมีผิดนี่เอง!” “คุณพ่อ! ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า หากจะเอ็ดข้าได้โปรดเอ็ดแต่เพียงข้า อย่าลามปามไปถึงคุณแม่ท่านเลยเจ้าค่ะ ลูกมิรู้ว่าคุณหญิงป้ามาเท็จว่าอย่างไร แต่ลูกอยากบอกคุณพ่อว่าเมื่อคืนคนที่หายไปเป็นคุณหญิงป้าต่างหากเล่า ” จอมจันทร์ตวาดเสียงสั่น หางตาปรายมองไปยังร่างอวบท้วมของคุณหญิงผกา นึกเจ็บใจที่ตนมาไม่ทันจะพูดความจริงจึงเป็นฝ่ายโดนใส่ร้ายป้ายสีเสียเอง “จริงเจ้าค่ะ พวกบ่าวก็เห็นคุณหญิงเดินหายไปทางป่าหลังเรือน แล้วยังทำเรื่องน่าอับ...” “นางผัน! เงียบปากของเอ็งเสีย กูยังมิได้เอ่ยถามมึง จักเอ่ยขึ้นมาใย” เสียงทรงอำนาจตวาดกร้าว นางผันจึงได้แต่ก้มหน้ายอมเงียบปากเสียแต่โดยดี “พี่ผันก็พูดความจริงที่ได้เห็นมาเมื่อคืนอย่างไรเล่าคุณพ่อ” “พวกมันเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้า เหตุใดฤาจักมิเข้าข้างนายของตน จริงฤาไม่เจ้าคะคุณพี่” ริมฝีปากกว้างยิ้มย่อง มือหนายกขึ้นจับแขนประมุขของบ้านบีบนวดเบาๆอย่างเอาใจ โชคดีที่เมื่อคืนเจ้าพระยารามดำรงภักดีอาการอ่อนเพลียจากฤทธิ์ของรากไม้พิษที่ตนปรุงให้ดื่มจึงหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ตนจึงได้โอกาสไปพลอดรักกับชายชู้ได้สมใจถึงแม้ว่าตนจะต้องเขวี้ยงยาพิษจากต้นดาวดึงส์ทิ้งลงคลองไปเสียแล้วก็ตาม “เอาเถิด วันนี้ข้าจักต้องไปราชกาลที่พระประแดงแลอาจไปนานหลายวัน ข้าจักพักเรื่องโทษของเจ้าไว้ก่อนแม่จอมจันทร์ หากข้ากลับมาครานี้จักต้องจัดการเรื่องงานตบแต่งเจ้ากับท่านขุนให้แล้วเสร็จเสียที เจ้าจักได้มิต้องทำเรื่องอันน่าอับอายเช่นนี้อีก” “คุณพ่อ...แต่ว่าลูกยัง...” “รีบไปเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักไม่ทันขบวนเรือ ข้าจักลงไปส่งที่ท่าน้ำเจ้าค่ะ” คุณหญิงผการีบตัดบทก่อนจะหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้นำข้าวของที่เหลือตามหลังไป ท่านเจ้าพระยาจึงไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีกได้แต่เดินลงจากเรือนไปอย่างเงียบๆพร้อมกับพวกบ่าวไพร่ “ข้าจักทำเช่นไรดีพี่ผันพี่อุ่น พี่เห็นฤาไม่ว่าต่อให้ข้าพยายามเรียนคุณพ่อท่านอย่างไร คุณพ่อก็มิยอมเปิดใจรับฟังข้าเลยสักครั้ง” ร่างบางได้แต่มองตามแผ่นหลังของบิดาไปอย่างคนหมดอาลัยที่ตนไม่สามารถปกป้องบิดาได้เลย “คุณพ่อท่านคงคิดว่าข้ามิใช่ลูกเหมือนที่คุณป้าเรียนกระมัง ถึงได้จงเกลียดจงชังข้าถึงเพียงนี้” “โธ่ คุณหนูของบ่าว อย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ ถึงพวกเราจักเอาผิดคุณหญิงไม่ได้ แต่สักวันเวรกรรมจักตามทันคุณหญิงเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางอุ่นปลอบใจ “จริงอย่างที่นางอุ่นมันว่า คนชั่วพันนั้นสักวันมันต้องแพ้ภัยตัวเองแน่นอนเจ้าค่ะ” นางผันเสริมด้วยอีกคน ผ่านไปเพียงชั่วครู่คุณหญิงผกาจึงกลับขึ้นมาบนเรือนอีกครั้ง หลังจากที่เรือของเจ้าพระยารามดำรงภักดีค่อยๆล่องไปตามลำคลองเล็กๆออกไปจากท่าน้ำ ก่อนจะมีเรืออีกลำแจวมาจอดเทียบท่าพร้อมกับบุรุษที่หญิงสาวแสนจะคุ้นตาเดินขึ้นเรือนตามหลังคุณหญิงผกามาด้วย “ท่านขุน...” “อยู่คุยกันไปก่อนเถิดประเดี๋ยวข้าจักไปเตรียมสำรับ อยู่ทานข้าวปลาด้วยกันก่อนนะเจ้าคะ” คุณหญิงผกายิ้มตอบ “คุณป้ามิต้องลำบากดอกเจ้าค่ะ ข้าเกรงว่าหากท่านขุนกินแล้วจักเจ็บป่วยเสียเปล่า ...เราลงไปเดินเล่นในสวนกันดีกว่าเจ้าค่ะ อยู่บนเรือนมีแต่เสนียดจัญไร!” ว่าพลางเดินนำร่างสูงลงจากเรือนไปทันที ปล่อยให้คุณหญิงผกามองตามไปด้วยความเจ็บใจที่โดนหญิงสาวหลอกด่าเสียได้ ส่วนขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาจึงได้แต่เดินตามร่างบางไปเช่นเดียวกัน “เมื่อครู่ แม่หญิงหมายความว่ากระไรฤา เหตุใดข้าถึงเจ็บป่วยเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางทิ้งตัวนั่งลงเคียงข้างหญิงสาวบนแคร่ไม้ใต้ต้นดอกจันทน์กะพ้อ ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณจนรู้สึกสดชื่นไปด้วย ถึงแม้จะมีบางดอกร่วงหล่นลงพื้นไปบ้างแล้วก็ตาม “ท่านขุนอย่ารู้ไปเลยเจ้าค่ะ มันเป็นเรื่องอับอายบนเรือนข้า” “บอกข้ามาเถิด ต่อไปในภายหน้าข้าจักต้องออกเรือนไปกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงมีความลับกับข้าเล่า” น้ำเสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มทำให้ร่างบางละสายตาจากดอกไม้สีขาวบนต้นหันมามองคนตรงหน้าครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่เศร้ากำลังบอกให้รู้ว่านางกำลังทุกข์ใจเป็นที่สุด “เพลานี้ข้ามีเรื่องร้อนใจมากกว่าเรื่องออกเรือนนัก หากคุณพ่อท่านกลับมาเรื่องตบแต่งคงจะแล้วเสร็จเสียที ถึงเพลานั้นข้าคงจักทำแชเชือนอีกไม่ได้” “หมายความว่าเจ้ายอมออกเรือนกับข้าแล้วใช่ฤาไม่” ร่างสูงฉีกยิ้มแทบจะถึงหูในทันทีด้วยความปลื้มปีติยินดี “ข้ามิได้ฟังผิดไปแน่” “ข้ายอมออกเรือนกับท่านเพราะข้ามิอยากขัดใจคุณพ่อท่านให้เป็นบาป เพียงเท่านี้คุณพ่อท่านก็รังเกียจข้าราวกับมิใช่ลูกอยู่แล้ว...” “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยหนา ข้าให้คำมั่นว่าข้าจักรักแลเทิดทูนเจ้าเป็นเมียเอกของข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าจักไม่ทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์ใจอันใดอีก ข้าสาบาน” พูดจบจึงเอื้อมไปจับมือบางเอาไว้อย่างหนักแน่นว่าสิ่งที่เขาพูดมาไม่ได้โกหกปดเท็จแต่อย่างใด จนนางผันและนางอุ่นต่างรีบก้มหน้ากันพัลวันด้วยความเขินอาย “ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้ ว่าข้ายังมิได้มีใจให้ท่านแต่อย่างใด เพียงแต่กระทำไปเพราะเห็นแก่คุณพ่อท่าน ขอให้ท่านได้โปรดรับรู้ด้วย ปล่อยข้าเถิดเรายังมิได้ออกเรือนกันทำเช่นนี้จักมิงามหนาเจ้าคะ” เสียงเล็กห้ามปรามทำให้ร่างสูงยอมปล่อยมือแต่โดยดี “ขออภัย ข้าคงดีใจมากไป” สายตาเหลือบไปเห็นดอกจันทน์กะพ้อสีขาวเหนือศีรษะ จึงเอื้อมไปเด็ดมาสูดกลิ่นเกสรก่อนจะนำไปทัดที่ใบหูเล็กของหญิงสาวตรงหน้าในขณะที่ร่างบางได้แต่นั่งนิ่งมองการกระทำของชายหนุ่มด้วยความงุนงง แต่ถึงกระนั้นก็ยอมให้เขาทัดดอกไม้ให้แต่โดยดี “งามเหลือเกิน แม่ดอกจันทน์กะพ้อของพี่” “ท่านไปเด็ดมันจากต้นเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวมันก็คงจักเหี่ยวเฉา ส่วนท่านก็คงจักไปชื่นชมดอกไม้อื่นอย่างดอกชงโค จริงฤาไม่เจ้าคะ” ร่างบางเอียงอายแต่ทว่าใบหน้ากลับบึ้งตึงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดเมื่อวันก่อน “จะมีดอกไม้ที่ไหนสวยงามเท่าดอกจันทน์กะพ้อตรงหน้านี้อีกเล่า ยังไม่ทันได้ตบแต่งเจ้าก็หึงหวงเสียแล้ว เช่นนี้ข้าคงจักไปรักใครอื่นไม่ได้แล้วหนา” “ข้ามินึกเลยหนาว่าท่านจักคิดไปเองได้ถึงเพียงนี้” “หากการคิดไปเองแต่ผู้เดียว จักทำให้ข้ามีความสุขข้าก็จักทำ” ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันใต้ต้นจันทน์กะพ้ออยู่นานโดยไม่ร็ตัวเลยว่าสายตาและการกระทำหวานชื่นของขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาที่ปฎิบัติต่อแม่จอมจันทร์นั้นกำลังตกเป็นเป้าสายตาของแม่หญิงผู้มีจิตใจริษยาน้องสาวนอกไส้กับแม่เลี้ยงใจยักษ์อยู่ตรงระเบียงหน้าเรือน “ไหนเจ้าบอกว่ามันมิได้มีใจเสน่หาท่านขุนอย่างไรเล่า แล้วกริยาเช่นนั้นจักให้ข้าคิดเช่นไร” แม่ชงโคหน้าตาบูดบึ้งหลังจากที่ตั้งใจมาหาขุนศรีพันศรที่เรือนบิดาเพราะตนรู้ดีว่าชายหนุ่มจะต้องมาหาน้องสาวที่เรือนนี้อีกเป็นแน่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อพบกับชายที่ตนหมายปองกำลังนั่งหัวเราะร่ากับศัตรูหัวใจอย่างแม่จอมจันทร์อย่างมีความสุข “คราแรกก็เป็นเช่นนั้นแล ทว่าท่านขุนรูปงามออกปานฉะนี้ใครจะห้ามใจได้เล่า” “ข้าชังนางนัก เหตุใดนางถึงได้ดีไปกว่าข้าเสียทุกเรื่อง คุณพ่อท่านแลคุณยายท่านก็รักมันกว่าข้า มาถึงครานี้นางยังได้ออกเรือนไปกับท่านขุนอีก หากข้าฆ่านางเสียได้ก็คงจักดี” หญิงสาวขบกรามแน่นด้วยความแค้นที่คับอกจนร้อนรุ่ม หากไม่มีจอมจันทร์สักคนบิดาคงจักรักและเทิดทูนนางเป็นลูกอย่างออกนอกหน้าได้ “ลางทีข้าอาจจักช่วยเจ้าได้...” คุณหญิงผกายิ้มกริ่มเมื่อกำลังคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องลงมือให้เหนื่อยเสียเอง “เจ้าหมายความจักพูดว่ากระไร” “เจ้ามิอยากได้ท่านขุนหรอกฤา ข้าจักช่วยให้เจ้าสมหวัง เพลานี้คุณพี่ไปราชกาลที่พระประแดง เป็นโอกาสดีที่เจ้าจักคิดทำการอันใด” “หมายความว่า...” หญิงสาวรุ่นลูกขมวดคิ้วเป็นปมเอ่ยถามอีกครั้งราวกับไม่เชื่อหู “ข้าจักช่วยเจ้า ขอให้เจ้าทำตามแผนที่ข้าวางไว้ก็พอ” ดวงตาลึกดำเหี่ยวย่นตามวัยเหลือบมองไปที่ร่างบางของแม่จอมจันทร์อีกครั้ง ในคราแรกตนคิดจะกำจัดนางลูกเลี้ยงออกไปจากเรือนโดยการผลักไสให้ออกเรือนกับขุนนางต่างถิ่นเท่านั้น แต่ในยามนี้นางกลับมาล่วงรู้ความลับของตน จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องเก็บนางไว้เป็นหอกข้างแคร่อีกต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD