มุมที่ขีโรชานั่ง มองเห็นอะไรทั้งห้อง แต่คนอื่นอาจจะไม่ทันเห็น เพราะมีกระถางต้นยางเป็นฉากบัง
วรานิชไม่ถึงกับสนุกจนลืมเพื่อน หาจังหวะปลีกตัวมาพูดคุยด้วย เลิกชวนออกไปเต้นรำ เพราะเห็นแล้วว่าขีโรชาชอบอย่างนี้ คือนั่งดู โดยไม่เดือดร้อนว่าจะต้องนั่งอยู่คนเดียว แต่สักพักก็จะมีหนุ่มๆ มาดึงตัวออกไปเต้นรำต่อ
พวกหนุ่มๆ ดูเหมือนจะหมดความสนใจขีโรชา เมื่อเห็นแล้วว่าเธอแตกต่างจากวรานิช
บางคนมองมาอย่างรำคาญๆ ด้วยซ้ำ ทำนองว่า ถ้าไม่อยากสนุก ไม่อยากเต้นรำ มาทำไมก็ไม่รู้
แต่ใครจะมอง หรือคิดยังไงขีโรชาไม่เดือดร้อน ยังดูนั่นดูนี่ รวมทั้งชายหนุ่มคนนั้นด้วย แล้วก็ถึงเวลาหนึ่ง ที่เธอเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้อง พอหันขวับไปมองอัตโนมัติก็ปะทะสายตาเข้าอย่างจังกับดวงตาคมเข้ม
ขีโรชารู้สึกเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกแปลกที่สุด เมื่อประสานสายตากับชายหนุ่มที่เธอสะดุดตาเขาแต่แรก
รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายใจหอบถี่ เหมือนคนวิ่งขึ้นบันไดวนหลายสิบขั้น ชีพจรเต้นแรง หัวใจสั่นระรัวเข้าจังหวะ ต้องใช้ความพยายามทั้งหมด ที่จะถอนสายตากลับมาเสียจากเขา
ขีโรชารู้ว่าเขายังมอง ก็อดแอบมองไปอีกไม่ได้
มองไปทีไร ก็จะพบว่าเขามองอยู่ก่อนทุกที
“โอ๊ย! เหนื่อย!”
วรานิชอุทานแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ
“แค่นี้บ่นแล้วหรือ เพิ่งจะผ่านไปชั่วโมงกว่าเอง”
“ถึงบ่นแต่ก็ยังสู้นะ แค่ขอพักเท้าสักประเดี๋ยวเท่านั้นแหละ ไม่ได้เต้นรำมาราธอนแบบนี้มานาน ทำขาล้าไปเหมือนกัน ดูพวกนั้นสิ ไม่มีใครยอมออกจากฟลอร์ แล้วก็ไม่ต้องเต้นเอาจังหวะกันแล้ว ใครมีท่าโลดโผนคิดขึ้นมายังไง ก็ควักออกมาแสดงสุดฝีเท้าชนิดตายแต่ขอไว้ลายนั่นเลย ตัวน่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายมั่งนะ ไม่เบื่อหรือไง นั่งดูอยู่อย่างงี้”
“ชักจะเบื่อเหมือนกัน แต่ยังพอทน นิช...ตัวอย่าเพิ่งหันไปนะ มีผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงเสาทางขวามือเรา หนุ่มๆ ตัวสูงๆ ตาคมผมดำ...”
“รูปหล่อว่างั้นเถอะ ไม่ต้องหันไปดูก็บอกได้ว่าใคร”
“แปลว่าตัวรู้จัก?”
“ก็ไม่เชิง แต่รู้ว่าเขาชื่อ ดรัณภพ อัครินทร์ เป็นไงแค่ชื่อ นามสกุล ก็เก๋ไก๋เพรียวลมแล้วใช่ไหม แถมรูปร่างหน้าตายังกะเทพบุตรในฝันเข้าอีก”
“เขาเป็นใครหรือ”
“เท่าที่รู้จากปากต่อปาก ดูเหมือนจะมาจากกรุงเทพฯ ฟังว่าเพิ่งกลับจากนอกอะไรทำนองนี้แหละ พวกสาวๆ กลุ่มทางโน้นกรีดกราดกันน่าดู เราเองก็มองๆ เขาอยู่นะ แต่ท่าทางเขาไม่ยักสนใจใคร เหมือนตั้งใจมาดื่มกับดูคนอื่นๆ สนุกกันเท่านั้นเอง รู้สึกว่าจะเข้าพักที่นี่ก่อนเราสองหรือสามวันมาแล้ว ทุกคืนจะลงมานั่งดื่มเงียบๆ สักแก้วสองแก้วแล้วกลับขึ้นห้อง”
“คนเดียวหรือ?”
“คนเดียว ก็เลยมีคนเดากันสนุกๆ ว่า หรืออาจจะหนีงาน หนีเมียขี้บ่นที่บ้านด้วย มาพักผ่อนเงียบๆ ถึงได้ไม่ยุ่ง ไม่สุงสิงกับใครเลย ... ขิม!”
วรานิชอุทานเรียกชื่อเพื่อนสาวเสียงดัง ดีว่าเสียงดนตรีช่วยกลบ จึงไม่มีใครได้ยิน คำพูดที่ตามมาเร็วรัว
“ตัวอย่าไปหลงรักผู้ชายแปลกหน้าเข้าเชียวนะ ถึงว่าจะรูปหล่อยังกะพระเอกฮอลลีวูดอย่างนั้นก็เถอะ”
“พูดบ๊องๆ ไปได้ ยังไม่เคยพูดคุยกับเขาสักคำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครมาจากไหน จะไปรักได้ยังไง”
เสียงตอบฟังฉุนเล็กน้อย
แต่กิริยาหลบสายตามองเป๋งของเธอวูบวาบของผู้เป็นเพื่อน ทำให้วรานิชรู้สึกไม่สบายใจนัก
ถึงจะอายุสิบแปดเท่ากัน และแถมเธอยังอ่อนกว่าหนึ่งเดือน แต่ถ้าพูดในแง่ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเพศตรงข้าม รวมไปถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้ว หากเธอจะมีพัฒนาการสมวัย ขีโรชาก็อยู่ในระดับเด็กแปดเก้าขวบเท่านั้น
“ไม่รักก็ดีแล้ว” วรานิชพูดออกมาได้ในที่สุด “ไม่อย่างนั้นยุ่งแน่ แล้วเราก็ไม่อยากเห็นตัวพบความผิดหวัง เพราะเขาคงไม่มาสนใจสาวรุ่นๆ ที่ยังต้องเรียนมหา’ ลัย อีกตั้งสี่ห้าปีอย่างพวกเราแน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะมีเมียรออยู่แล้วที่บ้าน”
ประโยคท้ายสุดทำให้ขีโรชาอดที่จะเหลือบมองเขาอีกไม่ได้ แล้วก็รีบหลบตา หน้าแดง เมื่อเขายิ้มด้วย
“เขา...เท่จังนะ ยิ้มเก๋ด้วยสิ”
พูดเก้อๆ กับเพื่อน วรานิชนิ่วหน้า ใจไม่สบายมากขึ้น แต่ความที่ไม่ใช่คนเก็บเอาอะไรมาคิดนาน พอข้ามคืนก็ลืมความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ตื่นขึ้นมาในวันใหม่อย่างกระปรี้กระเปร่า
หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยก็ไม่รีรอที่จะชวนกันไปเล่นน้ำทะเล แต่รายการลงเล่นน้ำ ขีโรชาไม่เอาด้วย เพราะอากาศออกจะเย็น ขอนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นสน มองวิวทิวทัศน์ไปพลางๆ ขณะวรานิชดำผุดดำว่าย โผออกไปห่างจากฝั่งแล้วก็ว่ายกลับ
มองเพื่อนอยู่พักใหญ่ก็ชักเมื่อยตา จึงหลับตาลง หวังจะพักสายตาสักครู่ แต่คงเพราะนอนไม่ค่อยหลับคืนที่ผ่านมา เลยเคลิ้มเอาง่ายๆ คงจะเผลอหลับไปจริงๆ ถ้าหากว่าขณะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้น ก็รู้สึกว่าแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านกิ่งก้านใบสนลงมาปะทะหน้าเต็มที่จะไม่ถูกบดบัง จนเกิดเงามืดกะทันหัน
ความคิดแวบแรกคือ วรานิชคงจะขึ้นจากน้ำแล้ว
แต่พอลืมตา และประสานสายตาคมเข้มสีน้ำตาลจัดๆ ในกระบอกตาคมลึก ล้อมรอบด้วยแพขนตาทั้งยาวและงอนอย่างน่าอิจฉา ที่มองลงมาอย่างขันๆ ก็สะดุ้ง เพราะหน้าที่ปรากฏอยู่เต็มจอตา ไม่ใช่ใบหน้าค่อนข้างกลม มีเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มของเพื่อนรัก
เห็นใกล้ๆ กลางแสงตะวันอย่างนี้ ความคมสันของใบหน้าขาวสะอาด มองเห็นเงาเขียวจางๆ ใต้ผิวบริเวณคางและข้างแก้ม ดูจะทวีความคมสันและชวนมองขึ้นหลายเท่า
แสงแดดส่องผมสีน้ำน้ำตาลเข้มของเขาจนดูเลื่อมแดงนิดๆ
เขายิ้มเห็นฟันขาวยิ่งกว่าสีผิว
“สวัสดีครับ” เขาทัก
เสียงของเขาฟังทุ้มนุ่มหู ขีโรชารูสึกเงอะงะ ทักตอบตามมารยาทออกไปอัตโนมัติ
“สะ...สวัสดีค่ะ”
จากที่นั่งเอนตัวพิงโคนต้นสน เปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงด้วยความระแวงระวัง พร้อมกันนั้น จังหวะหายใจเริ่มหอบ ชีพจรก็ชักจะเต้นรัว เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังดึงดูดในระยะกระชั้นชิด
อยากเบี่ยงเบนสายตาไปมองทางอื่น แทนประสานสายตาเขา ก็ทำไม่ได้
“ขำคุณ ท่าทางคุณเหมือนนางเนื้อระวังภัย ผมชักสงสัยแล้วสิว่าคุณระแวงผู้ชายทุกคนที่เฉียดกรายเข้าใกล้ หรือเป็นแต่เฉพาะกับผม”
ขีโรชาไม่ตอบ เพราะเธอเองก็ตอบไม่ถูก