ร่างสูงเพรียว ดูแกร่งภายใต้เครื่องแต่งกายลำลองตามสบาย เหมาะกับวันพักผ่อนสบายๆ นั่งลงข้างๆ
“คุณกลัวผมหรือ ชีพจรเต้นรัวเชียว ผมเห็น ที่คอชัดแจ๋ว”
ขีโรชายกมือปิดแอ่งชีพจร กำลังเต้นรัว อย่างเขาว่า มองเขาตาโต หรือจะว่าเบิกโพลงก็คงได้
เขาหัวเราะ เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเช่นเดียวกับเสียงพูด
เธอเม้มปาก เริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆ ทำให้กล้าที่จะถามเขาออกไปเสียงสั่นน้อยลง
“หัวเราะอะไรคะ?”
ที่ผ่านมา ถึงจะไม่เคยให้ความสนิทสนมกับเพศตรงข้าม ไม่เคยมีเพื่อนชายสนิทๆ หากก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยพบเจอผู้ชายหนุ่มๆ ทั้งวัยประมาณเขา อาจจะอ่อนแก่กว่านี้ รวมถึงหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหน ทำให้ใจเธอเต้นรัว หลังจากหล่นวูบแล้วกระดอนขึ้นกระแทกปังเข้ากับโพรงอก เช่นนี้มาก่อน
ขีโรชารู้สึกวูบวาบ และคงจะแก้มแดงด้วย เมื่อบอกตัวเองว่า ถึงเขาจะเก็บมือเก็บแขนอยู่ในที่ในทาง แต่สายตาเขาก็กำลังโลมไล้เธอ
“ขิม...ขิม!”
เสียงวรานิชเรียกสติที่กำลังจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของขีโรชาให้กลับคืนมา
วรานิชขึ้นจากน้ำแล้วกำลังเดินแกมวิ่งเข้ามาหา แล้วเข้ามายืนมองชายหนุ่มตาเป๋ง หลังจากรับเสื้อคลุมไปสวมทับชุดว่ายน้ำ
“สวัสดีครับ”
เขาทักวรานิชอีกคน ด้วยเสียงขันๆ
“เรารู้จักกันหรือคะ?”
วรานิชถามทันควัน ไม่มีทีท่าประหม่าเขินอาย
“คิดว่าไม่รู้จักมากกว่า หรือถ้ารู้จัก ก็คงเป็นผมที่รู้จักพวกคุณฝ่ายเดียว คุณวรานิช เวศวิกร กับคุณ...ขิม ขีโรชา กันติทัต คุณทั้งสองมาพักที่โรงแรมชายชลกับญาติผู้ใหญ่สองคน คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณวรานิช ข้อมูลผมถูกต้องไหมครับ”
กังวานเสียงตอนท้ายของเขาฟังล้อเลียน
วรานิชเบิกตาโตขึ้นอีกก่อนหัวเราะคิก
“คุณนี่แน่ไปเลย!” หล่อนชม
“แปลว่าข้อมูลที่ผมหามาได้ ถูกต้อง”
“ค่ะ ถูกทั้งหมด แต่ฉันก็ไม่น้อยหน้าคุณหรอกนะคะ พอจะรู้จักคุณเหมือนกัน อย่างน้อยก็รู้ว่าคุณชื่อดรัณภพ นามสกุลอัครินทร์ มาจากกรุงเทพฯ แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้ไม่นานคุณจะเพิ่งกลับจากต่างประเทศ แต่จะประเทศไหน อันนี้ไม่รู้”
เขาหัวเราะ
“ข้อมูลของคุณก็แน่ไปเลยเหมือนกันนะครับ”
“แปลว่าข้อมูลที่นิชได้มาจากพวกสาวๆ ที่พากันแอบเหล่คุณอยู่ถูกต้องหรือคะ”
“ครับ ถูกต้อง คือผมมาจากกรุงเทพจริง และก่อนหน้านั้นก็เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ”
“ไปเรียนหรือคะ”
“ไปทำงานครับ หรือจะว่าไปแสวงโชคก็ได้อีกเหมือนกัน”
“กลับที่พักกันหรือยัง นิช”
ขีโรชายอมเสียมารยาทขัดขึ้นก่อนเพื่อนรักจะลืมตัว ลืมรักษามารยาทซักไซ้ชายหนุ่มเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเขามากไปกว่านั้น
วรานิชสนิทกับคนง่าย จนบางทีลืมคิดไปว่า คนอื่นอาจไม่อยากสนิทด้วย อาจนึกตำหนิอยู่ในใจกับความอยากรู้อยากเห็นที่บางคนเห็นว่าเข้าข่ายซอกแซกเรื่องส่วนตัว
“ไปสิ ตัวคงนั่งรอจนเบื่อแล้วล่ะสิ ไปนะคะ คุณดรัณภพ”
“ครับ เชิญ หวังว่าคืนนี้จะได้พบกันอีกที่ห้องโถงใหญ่ ผมรู้มาว่าจะมีงานเต้นรำต่ออีกคืน เพราะเมื่อคืนนี้แขกชอบกันมาก”
ฟังว่าพูดกับวรานิช แต่สายตาสีน้ำตาลจัดๆ กลับจับอยู่ที่หน้าเพรียวนวลมีเส้นผมดำมันเส้นสลวยยาวประหม่าเป็นกรอบล้อมของอีกสาว ซึ่งพอสบตาเขา ตากลมโตก็หลบวูบวาบ แก้มเนียนจุดสีระเรื่อชมพูจางๆ
“เขาว่าไงมั่งน่ะ”
วรานิชถามขึ้นทันทีที่เดินออกมาห่างชายหนุ่ม
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้ามาทักสวัสดี”
“แค่นั้น?”
“แค่นั้น”
“เห็นพูดกันอยู่ตั้งนาน เขาไม่ซักถาม หรือชวนไปเที่ยวด้วยกันหรอกหรือ”
“เปล่านี่”
“เอ...จะยังไงเสียแล้วละ ขิม ตัวต้องระวังตัวเอาไว้หน่อยนะ บอกตรงๆ ว่าเราไม่อยากเห็นตัวอกหัก”
“ทำไมเราจะต้องอกหักด้วยล่ะ?”
“เพราะผู้ชายคนนั้นหล่อเหลือเกินนะสิ ตัวยังชมเขาเลยว่ามาดเขาเท่”
“ก็เขาเป็นเป็นผู้ชายหนุ่มบุคลิกดีจริงๆ นี่ พูดได้ว่าโดดเด่นกินขาดหนุ่มๆ ทุกคนที่มารวมกันในห้องโถงใหญ่ของโรงแรมเมื่อคืนนี้”
“เราชักเป็นห่วงตัวเสียแล้วล่ะ” วรานิชพูดเสียงกังวล
“ห่วงเราเรื่องอะไร หรือกลัวว่าเราจะหลงเสน่ห์รูปหล่อ”
“นั่นแหละที่เรากลัว ถ้าเพียงแต่เขาจะหน้าตาดีเฉยๆ เราคงไม่ห่วง แต่นี่...เขาออกจะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ ผู้หญิงคนไหนรู้จักก็อยากเข้าหา เข้าใกล้ ผู้ชายที่มีเซ็กส์แอพพีลนี่ออกจะอันตราย โดยเฉพาะกับสาวน้อยไม่เดียงสา”
“เราเป็นสาวน้อยไม่เดียงสางั้นหรือ”
“ใช่ ถึงตัวจะอายุเท่าเรา เกิดก่อนเราตั้งหนึ่งเดือนกว่าๆ แต่ถ้าพูดถึงความรอบรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยใจคอผู้ชายแล้วละก็ ตัวน่ะอยู่ในขั้นเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ บอกตามตรง เราไม่อยากเห็นตัวต้องเจ็บ”
“แปลว่าถ้าเราเกิดไป...หลงรัก คุณดรัณภพ เราจะต้องพบความผิดหวังอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนที่สุด!”
“แต่เราก็...ไม่ได้รัก”
ขีโรชาเกิดอาการใจวาบ เกือบลืมหายใจ เมื่อรับรู้ว่าที่พูดออกไปนั้น ไม่ตรงกับความรู้สึกที่กำลังก่อเกิด
คุณพระคุณเจ้าช่วย!
เป็นไปได้หรือที่เธอจะเผลอมีใจกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา นอกจาก ชื่อเสียงเรียงนาม
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครมาจากไหน บ้านช่องอยู่ที่ใด มีคนรัก คู่หมั้น ภรรยาแล้วหรือยัง
“โอย! ตายแล้ว!”
วรานิชอุทานเสียงดัง เมื่ออ่านสีหน้าเผือดวูบของเพื่อนได้
“ทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นด้วยล่ะ”
ขีโรชาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ถามเสียงไม่รู้ไม่ชี้
“อย่ามาแกล้งถาม นี่ ขิม เราพูดจริงๆนะ ตัวต้องรีบถอนใจกลับมาเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนจะถลำลึก”
“พูดเรื่องอะไรอีกละเนี่ย”
“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ อย่าลืมสิ เรารู้จักกันมากี่ปี แล้วตลอดระยะเวลานั้นเรา นอกจากเป็นเพื่อนกับตัวเรายังทำหน้าที่กึ่งพี่เลี้ยงตัวมาตลอด เพราะตัวน่ะซื่อใสบริสุทธิ์ แทบจะไม่รู้เลยว่าโลกจริงๆ มันสกปรกโสมมสักแค่ไหน แล้วทำไมถึงคิดว่าเราจะอ่านสีหน้าแววตาตัวไม่ออก เวลาตัวรู้สึกอะไรยังไงกับใคร”
ไม่มีเสียงตอบจากปากบางอิ่ม แต่ดูเหมือนกลีบปากอ่อนช้อยคู่นั้นจะเม้มเข้าหากันอยู่นิดๆ ตาตกมองผืนทราย