“เรา...เราสงสารตัวจังเลยขิม เป็นเราคงร้องไห้แทบตายเลยถ้าต้องจากครอบครัว จากพ่อแม่พี่น้องมาอยู่กับคนแปลกหน้าแบบนั้น”
ด้วยความเยาว์วัยอยู่มากในขณะนั้น เพิ่งจะสิบขวบ เด็กหญิงวรานิชพูดออกไปประสาซื่อ แต่ก็ออกจากใจจากความรู้สึกจริงๆ
“เราก็คงร้องมั้ง แต่จำไม่ได้ ก็ตอนนั้นเราเพิ่งจะห้าขวบนิดๆ เอง ยังไงก็เถอะ ชีวิตเราทุกวันนี้ก็คงดีกว่าพี่ๆ น้องๆ ของเราแน่ๆ แล้วคุณพ่อท่านก็ให้ความเมตตาเราคงเส้นคงวา เราอยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าเสื้อผ้า เครื่องประดับหรืออาหารการกินอย่างดี ไม่เคยต้องอดอยากสักมื้อ เรียนก็ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ค่าเล่าเรียนแสนแพง หากเรายังอยู่กับ...พ่อแม่ ที่ให้กำเนิดเรามา ก็คงไม่ได้รับโอกาสดีๆอย่างนี้”
วรานิชไม่แน่ใจนักว่าผู้พูดเพียงปลอบใจตัวเอง หรือรู้สึกตามที่พูดจริงๆ แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว
ระยะเวลาที่รู้จักกระทั่งกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท... สิบกว่าปี เธอแน่ใจ... ลึกๆ ลงไปใน ในห้วงความรู้สึกของเพื่อนคนนี้ โหยหาความรักความอบอุ่น ปรารถนาจะอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แม้จะต้องแลกกับความสมบูรณ์พูนสุขในด้านวัตถุ
ดำรงศักดิ์อาจจะมีเมตตาต่อลูกบุญธรรม ที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เจ้าหล่อนยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ และแสนจะบอบบาง วัยเพียงห้าขวบกับไม่กี่วัน แต่ในด้านความรัก ความอบอุ่น ความสนิทสนม อย่างพ่อกับลูกในอุทร วรานิชไม่แน่ใจนักว่าบุรุษสูงวัยผู้นั้นจะมีให้
ในสายตาของเธอ เห็นว่าดำรงศักดิ์ออกจะเป็นคนเย็นชา และค่อนข้างเอาแต่ใจ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
บริวารของเขา อย่าว่าแต่จะมีใครกล้าขัดคำสั่ง แม้เพียงโต้แย้ง แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย ก็คงไม่มีใครกล้า
แม้คนอื่นๆ ที่รู้จักเขา ก็ไม่ค่อยจะกล้าที่จะต่อกรด้วย เพราะดำรงศักดิ์เป็นคนแข็ง ดูเหมือนเขาจะเข้มแข็งทั้งใจ กาย รวมไปถึงความคิดความเชื่อมั่น
เขามีเงิน มีฐานะที่เป็นปึกแผ่นมาแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ สกุลกันติทัตของเขาก็จัดว่าเป็นตระกูลแก่ตระกูลหนึ่งในจังหวัดนี้ ซึ่งอยู่ห่างไกลพระนครออกมาเพียงร้อยกว่าโล
เขามีบ้านใหญ่ ที่คนละแวกนั้นเห็นเป็นคฤหาสน์บนพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา
เขาอาจจะยอมบริจาคเงินเป็นแสนเพื่อการกุศลที่เห็นสมควร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้กระเด็นแม้เพียงสลึงเดียวกับคนที่เขาเห็นว่าไม่ควรให้การช่วยเหลือ
จะว่าเขาใจบุญหรือก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะดำรงศักดิ์ไม่เคยเข้าวัดทำบุญ จะว่าเขาเป็นห่างวัด ห่างพระห่างเจ้าก็ได้อีกเช่นกัน
แต่จะพูดว่าเขาเป็นใจแคบ เห็นแก่ตัว ก็พูดไม่ได้
ถ้าจะมีใครเห็นเขาเป็นนักบุญ ก็คงมีคนเห็นเขาเป็นคนบาป ในจำนวนเท่ากัน
แต่นิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้คนละแวกบ้านเขา รวมไปถึงคนที่รู้จักเขา ไม่คิดจะวิสาสะด้วยเกินจำเป็นก็คือความเป็นคนหยิ่งยโสอย่างร้าย ที่สืบเนื่องมาจากความทระนงในสายเลือดผู้ดีเก่าแก่ของเขา
เคยมีคนพูดเล่น ตลกๆ ว่า ดำรงศักดิ์อาจจะรักในความเป็นกันติทัต มากกว่ารักตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาอาจพร้อมพลีชีพเพื่อคงความยิ่งใหญ่ของสกุล ที่เคยได้รับความนับหน้าถือตา ได้รับการยกย่องในความเป็นสกุลเก่า สกุลผู้ดีที่มีคำว่า ‘มีเงิน’ ห้อยท้าย
“คืนนี้ทางโรงแรมจัดงานเต้นรำในห้องโถงใหญ่ ลงไปสนุกกับเขาด้วยกันนะ ขิม”
ผู้พูดอยู่ในท่านอนกางแขนเต็มเตียง ตะแคงหน้ามาทางเพื่อน
“จะดีหรือ”
เสียงถามฟังไม่แน่ใจเลย
“ทำจะไม่ดี เราเคยเรียนเต้นรำกันมาแล้ว ทีนี้ก็จะได้โอกาสำแดงฝีเท้าจริงๆ บ้างละ”
“ตัวจะเต้นกับใคร เราไม่รู้จักใครสักคนที่นี่”
“โอ๊ย! ถมไป มางานแบบนี้ใครจะเต้นกับใครก็ได้ ถึงคนที่มีคู่มาด้วย เขาก็ไม่มัวแต่แต่เต้นกับคู่ของตัวเองหรอก เราเคยไปงานเลี้ยงที่มีเต้นรำมาหลายงาน สนุกอย่าบอกใครเชียว”
“เราไม่เคยเต้นออกงานสักที อย่างมากก็ซ้อมกับคู่เต้นในชั่วโมงเรียน เห็นจะไม่กล้าเต้นกับคนแปลกหน้า”
“โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เป็นผู้ชายหนุ่มๆ ด้วยล่ะสิ โธ่เอ๊ย...ขิม ตัวจะอัดตัวเองอยู่ในกรอบกุลสตรียุครัตนโกสินทร์ตอนต้นไปอีกนานแค่ไหนฮึ แล้วกะอีแค่เต้นรำ มันจะเสียหายอะไรนักหนาเชียว แล้วสมัยนี้นะ แค่จับมือถือแขน แตะเนื้อต้องตัวกันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างชายหญิงในโอกาสสมควร อย่างเวลาเต้นรำนี่ ไม่มีใครเขาถือกันแล้ว”
ขีโรชาคงจะเฝ้าห้อง ปล่อยให้เพื่อนลงไปสนุกคนเดียวจริงๆ ถ้าหากมารดาของเพื่อนรักจะไม่สนับสนุน
“ลงไปเถอะ หนู นานๆ จะได้มีโอกาสมาเปิดหูเปิดตาก็สนุกให้เต็มที่ งานเลี้ยงแบบนี้ไม่มีภัยอะไรหรอก คนที่มาพักโรงแรมะดับนี้ส่วนใหญ่ก็สุภาพชนทั้งนั้น แล้วก็มีทั้งผู้ใหญ่และรุ่นเด็ก แล้วหนูจะได้เห็นว่างานเขาสนุกจริงๆ ตลอดสามสี่ปีมานี้แม่กับพ่อมาพักที่นี่กันทุกปี แขกบางคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเจอกันทุกปี”
บิดามารดาของวรานิชแยกไปรวมกลุ่มกับพวกผู้ใหญ่ด้วยกัน บอกให้บุตรสาวกับขีโรชาไปสนุกกันตามลำพัง
ขีโรชาไม่อยากขัดเพื่อน วรานิชจะไปไหนก็ไปด้วยกัน
แต่เมื่อมีหนุ่มคนหนึ่งมาโค้งวรานิชออกเต้นรำ ขีโรชาก็ขอนั่งดู แม้หลังจากวรานิชออกไปสนุกอยู่กลางฟลอร์จะมีหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มน้อย และหนุ่มใหญ่เวียนมาขอให้ออกไปเป็นคู่เต้นเธอก็ปฏิเสธ ตัดบทง่ายๆ ว่าเต้นไม่เป็น ขอเป็นคนนั่งดู
เวลาผ่านไปนานทีเดียว ขณะวรานิชยังคงความเป็นดาราเท้าไฟ ขีโรชาซึ่งเริ่มเบื่อเสียงอึกทึก ก็สะดุดตาชายหนุ่มหน้าตาคมสัน
ร่างสูงเพรียวยืนพิงเสาต้นหนึ่ง มองผู้คนที่กำลังสนุกสนานด้วยแววตาขันๆ
ในมือของเขาถือแก้วเครื่องดื่ม