“โอย...โลกนี้เป็นของเรา แสนสบายอะไรอย่างนี้ แทบจะรู้สึกเลยนะว่าตัวเรานี้บินได้เหมือนนก”
เห็นเพื่อนกางแขนท่านกกางปีกแล้วถลาร่อนทำให้ขีโรชาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอเองก็รู้สึกเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ได้มาเที่ยว โดยไม่มีผู้ติดตาม
ทั้งนี้เห็นจะต้องยกความดีความชอบให้กับบิดามารดาของเพื่อนสนิท ที่อุตส่าห์ไปขออนุญาตผู้ครองของเธอ รับปากรับคำแทบจะเอาเกียรติเป็นประกันว่าจะช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดี
“ตัวรู้สึกเหมือนเราไหม ขิม พอสอบเสร็จก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกยังไงยังงั้นเลย”
“รู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็ลุล่วงไปเปลาะหนึ่ง ทีนี้ก็เหลือแต่รอผลคะแนนว่าจะได้เข้าเรียนคณะที่ต้องการในมหา’ลัย ที่ใฝ่ฝันหรือเปล่า”
“อย่างตัวไม่น่ากังวล เห็นขยันออก แถมคะแนนสะสมในแต่ละปีที่ทำเอาไว้ก็ดีระดับหนึ่ง เราสิ สงสัยจะมีโอกาสได้เรียนต่อก็แต่คณะที่คนส่วนใหญ่เขาไม่เลือกกันในมหา’ ลัย ที่ไม่ใช่มหา’ ลัย ดังๆ มีชื่อห้าหกอันดับต้นๆ ของประเทศ”
“ที่เราขยันก็เพราะรู้ตัวว่าหัวไม่ค่อยดี ก็ต้องอ่านหนังสือหนักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่หวังหรอกนะว่าจะติดคณะคะแนนสูงๆ ที่พวกระดับหัวกะทิทั่วประเทศพากันเลือก”
“ยังไง ตัวก็คงติดพยาบาลที่ไหนสักแห่งล่ะน่า”
“ได้จริงก็ดี จะได้สมใจคุณพ่อ อันที่จริง คุณพ่ออยากให้เราเข้าแพทย์ด้วยซ้ำ แต่ทีนี้หัวสมองเราขึ้นไม่ถึง พยาบาลนี่ยังพอมีลุ้น ถึงว่าจะไม่ได้วชิระพยาบาล หรือสภากาชาดไทย ได้ของมหา’ ลัย แม่ฟ้าหลวงก็ยังดี ยังไงพื้นฐานภาษาอังกฤษของเราก็พอกล้อมแกล้มไปได้”
“ไปเรียนไกลขนาดนั้น คุณพ่อของตัวจะยอมเร้อขนาดว่าแค่มาเที่ยวชายทะเลกับครอบครัวเราแค่นี้ ยังต้องมีคำรับรองจากพ่อแม่เราทั้งสองคน”
สุ้มเสียงวรานิชคล้ายจะเยาะนิดๆ หยันหน่อยๆ
ในฐานะเพื่อนสนิท วรานิชพอจะรู้เรื่องความห่วงและหวงบุตรสาว ที่เป็นเพียงบุตรบุญธรรม ของดำรงศักดิ์ กันติทัต เป็นอย่างดี
ตั้งแต่รู้จักกันมากับขีโรชา นับวันเวลาก็สิบสองปีเต็ม ตั้งแต่เรียนชั้นประถมจนมัธยม จำได้ว่าพ้นเวลาเรียน ขีโรชาก็จะต้องกลับบ้านพร้อมรถที่มารอรับทุกเย็น หลังจากมาส่งในช่วงเช้า
เรื่องจะได้ไปเดินเที่ยวเตร่เพื่อหย่อนใจตามห้างเฉกเช่นเพื่อนๆ ไม่มีอยู่ในโปรแกรมชีวิตประจำวันจันทร์ถึงศุกร์ของเพื่อนคนนี้
แม้กระทั่งงานวันเกิดเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน ขีโรชาก็จะได้รับอนุญาตให้ไปร่วมแต่ในภาคกลางวัน และต้องกลับถึงบ้านก่อนหกโมงเย็น อย่างมากไม่เกินหกโมงครึ่ง
ชีวิตที่ดูเหมือนจะถูกอัดเข้ากรอบ กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ เคยทำให้วรานิชรู้สึกอึดอัดแทน และยังเป็นเหตุให้เพื่อนคนอื่นๆ หายหน้าทีละคนสองคน จนในที่สุดหากคิดจะไปเที่ยว หรือหาเรื่องพักผ่อนหย่อนใจตามประสาวัยรุ่น ก็ไม่คิดจะชวนอีกต่อไป
วรานิชเคยถาม...
“ตัวไม่อึดอัดมั่งเหรอขิม? ทำอะไรก็ต้องเป็นไปตามตารางเวลาที่คุณพ่อของตัวกำหนดเอาไว้เป๊ะๆ อย่างนี้ จะคลาดเคลื่อน แชเชือนไปไหนนอกจากโรงเรียนหน่อยก็ไม่ได้ หรือถ้ามีความจำเป็นต้องไปเพราะเป็นกิจกรรมที่อาจารย์ทางโรงเรียนกำหนดให้ทำ ก็ต้องมีหนังสือขออนุญาตผู้ปกครองเป็นลายอักษรถึงจะไปได้ เป็นเราละ คงอัดใจตายไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่หรอก”
เสียงตอบอ่อนๆ พอกับรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วใบหน้าเรียวนวล บอกว่าคนตอบพูดจากใจ
“เราไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างนั้น อาจเป็นเพราะว่าชินเสียแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างนะ เราก็รู้สึกปลอดภัยดี ถ้าจะไปไหนมาไหนมีลุงถนอมช่วยขับรถรับส่ง ไม่ก็มีป้าฝ้ายไปเป็นเพื่อน”
“เป็นไปได้ไหมว่าตัวสั่งความรู้สึกตัวเองให้เคยชิน เพราะอยากเอาใจคุณพ่อของตัว ไม่อยากขัดใจท่าน ไม่อยากทำอะไรที่จะทำให้ท่านรู้สึกว่าตัวไม่เชื่อฟัง”
วรานิชยังสงสัย
“ทำไมเราจะต้องทำอะไรอย่างนั้นด้วยล่ะ ที่สั่งความรู้สึกของตัวเองอย่างที่ตัวว่า”
“เพราะตัวรู้สึกอยู่ตลอดเวลาน่ะสิว่าคุณพ่อคนนี้ของตัว ช่วยให้ตัวมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทนอดอยากอยู่กับครอบครัวพ่อแม่ที่ก็ไม่ได้รักใคร่ใยดีตัวสักเท่าไหร่”
เห็นสีหน้าของเพื่อนสลดวูบ ตากลมโตมีเงาหม่นที่แฝงไว้ด้วยความขมขื่นพาดผ่าน วรานิชก็รีบเอื้อมมือไปกุมมือเรียวบางกว่าไว้ พูดเร็วด้วยเสียงละล่ำละลัก
“เราขอโทษ... เราไม่ได้ตั้งใจจะรื้อฟื้นอดีตความเป็นมาของตัว ให้ตัวต้องคิดมากหรอกนะ จริงๆ”
“ไม่เป็นไร”
เสียงตอบกลับมาค่อนข้างสะท้าน
“เราไม่โกรธหรอก จะโกรธได้ยังไง ก็ในเมื่อมันเป็นความจริง”
ความจริงดังกล่าว ขีโรชาเคยเล่าให้ฟังนานแล้ว หลังจากสนิทสนมกันพอจะเป็นเพื่อนแท้กันได้
วรานิชจำได้ไม่ลืม ถึงเสียงเล่าอ่อนเศร้า
ความเป็นคนละเอียดอ่อนทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความน้อยใจที่มีความขมขื่นระคนอยู่
“เรายังเด็กอยู่มากตอนนั้น...จำอะไรไม่ค่อยจะได้ ทุกอย่างเหมือนฝันที่ลางเลือน มาแน่ใจว่าภาพมัวๆ ที่เคยแวบเข้ามาในความทรงจำไม่ใช่ฝันก็หลังจากคุณพ่อท่านเล่าให้ฟังก่อนเราจะเข้าเรียนประถมหนึ่ง ท่านเล่าก็เพราะอยากให้เราเข้าใจ ไม่ติดใจสงสัยว่าเหตุใดชื่อพ่อแม่ในทะเบียนเกิดจึงไม่ใช่ชื่อท่าน เราก็เลยได้รู้อย่างหมดข้อสงสัย ว่าก่อนจะมาอยู่ที่กานติคาม เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อ มีแม่ฝ้ายคอยดูแล เราเคยมีครอบครัว มีพ่อมีแม่ และยังมีพี่ๆ น้องๆ อีกตั้งแปดคน อาจจะเพราะมีลูกมาก เราเป็นลูกคนกลางๆ เป็นลูกผู้หญิงคนที่สามในจำนวนห้าคน แถมยังขี้โรค สามวันดีสี่วันไข้อีกต่างหาก พ่อแม่ก็เลยไม่ค่อยจะ...รักเราสักเท่าไหร่ อาจเห็นเป็นลูกที่เกิดมาเป็นภาระ ทำความยากลำบากทับถมพ่อแม่ที่ก็ยากจนอยู่แล้วก็เป็นได้ เพราะคุณพ่อเล่าว่าเมื่อไปพบเราเข้าอย่างบังเอิญนั้น เรากำลังนอนร้องครางฮือๆ ตัวขดงอ เพราะหนาวสั่นเนื่องจากไม่สบาย แต่พ่อกับแม่ก็ดูจะไม่สนใจ ท่านเห็นแล้วก็เวทนา แล้วพอเห็นเราลืมตามองท่าน ท่านก็เกิดถูกชะตาอย่างประหลาด เลยขอเรามาเลี้ยง และพ่อแม่ก็ยกให้ง่ายๆ อาจจะดีใจด้วยซ้ำว่าเราทำให้ท่านได้รับลาภลอยอย่างไม่คาดฝัน เมื่อคุณพ่อมอบเงินให้ไปจำนวนหนึ่ง มากพอจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้”