สายตาสวยใสจับจ้องที่หมากบนกระดาน หยิ่วเย่วเดินหมากเช่นไรกันอ่อนข้อให้หรือว่าไร้ความสามารถจริงๆ
หมิ่งซื่อมีหมากอยู่บนกระดานมากกว่าเกือบเท่าตัว เฟิ่งหลิวจับจ้องอยู่ที่หมากทางซ้ายมือหมิงซื่อวางหมากสีดำลงพลิกหมากสีขาวของเฟิ่งหลิวทั้งแถวให้กลายเป็นสีดำ
"เหลืออีกไม่กี่ตัวจะเป็นของข้าทั้งกระดาน ยอมแพ้ตอนนี้ยังไม่สาย"
"ข้าไฉ่เฟิ่งหลิว ไม่มีคำว่ายอมแพ้"
เฟิ่งหลิวยิ้มวางหมากลงบนกระดานด้วยนิ้วเรียวอย่างเบามือหมิงซื่อขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นมาเท้าคาง เฟิ่งหลิวจ้องหมากทางขวามือหมิ่งซื่อวางหมากปิดทางหมากทางขวาของเฟิ่งหลิว
"เด็กน้อยอ่อนหัดเหลือเกิน"เฟิ่งหลิวหยิบหมากสีขาววางห่างออกมาในแถวต่อไปหมิงซื่อยังวางหมากปิดทางหมากของเฟิ่งหลิวตามเดิม เฟิ่งหลิวหยิบขนม บนจานขึ้นเคี้ยวช้าๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ขยับขึ้นลง หมิงซื่อเบือนหน้าหนีริมฝีปากอวบอิ่มนั้น หยิ่วเย่วบีบนวดหลังไหล่ให้หมิ่งซื่อ เสี่ยวหานยืนมองอยู่ไม่ห่างนักด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็นว่าเฟิ่งหลิวจะเดินหมากได้ดีเพียงใด
มือเรียวบางดูดเลียเศษขนมที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้ว หมิงซื่อเผลอมองตามเฟิ่งหลิวหยิบหมากสีขาววางลงบนกระดานหมากสีขาวล้อมหมากของ หมิ่งซื่อสองแถวซึ่งมีจำนวนเกือบครึ่งกระดาน หมิ่งซื่อเลิกคิ้วสูงประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเฟิ่งหลิวยิ้มที่มุมปากพลิกหมากบนกระดานที่มีแต่สีดำให้กลายเป็นสีขาวสองแถวยาวเหยียด
กลับมาเสมอกันได้ในทันที
"เฟิ่งหลิวเจ้าเก่งจริงๆ "เสี่ยวหานเผลอปรบมือ เมื่อหยิ่วเยว่เอ่ยปากชม หมิ่งซือยิ้มยียวนรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
"เห็นทีคืนนี้ต้อง เดินหมากทั้งคืนเสียแล้ว หยิ่วเย่วหากเจ้าง่วงก็ไปนอนก่อนได้ ข้าอยากจะสั่งสอน เด็กน้อยผู้นี้ให้จำใส่ใจว่าข้าหมิงซื่อเพียงแค่พลั้งเผลอไปเท่านั้น หากตั้งใจจริงจัง แม้แต่เทพก็ไม่สามารถชนะข้าได้"เฟิ่งหลิวทำสีหน้ากังวลใจมองไปที่เสี่ยวหาน
"เอ่อ..เอ่อฝ่าบาท ไทเฮาทรงย้ำว่าให้เฟิ่งหลิวรีบกลับ"
"อีกกระดานเดียว"พูดเพียงสั้นๆ เสี่ยวหานวางกระดานหมากลงเบื้องหน้าคนทั้งสอง หยิ่วเยว่มองกระดานหมากที่ว่างเปล่า เปรียบดั่งใจของหมิงซื่อตอนนี้ที่ว่างเปล่ารอใครสักคนมาเติมหมากสีดำขาวลงไป
หมิงซื่อวางหมากสีดำลง ไปมุมซ้ายทันที เฟิ่งหลิวหลบไปเสียห่างไม่ยอมวางหมากไว้ใกล้
“เริ่มหวั่นใจว่าข้าจะเอาจริงแล้วหรือเกรงว่ากระดานนี้ เจ้าเห็นทีต้องพ่ายแพ้”
“ท่านประเมินข้าต่ำไปแล้ว เฟิ่งหลิววางหมากต่อเป็นแถว หมิงซื่อรีบวางหมากสีดำดักปลายแถวข้างหนึ่งไว้
“เช่นไรถึงคิดว่าการเดินหมากเรียบง่ายของเจ้าจะชนะข้าได้”หมิงซื่อพูดจาข่มขวัญ หยิ่วเยว่ประหลาดใจไม่น้อย ทำไมเฟิ่งหลิวไม่มีอาการประหม่าเมื่อต้องเดินหมากกับคนที่เป็นถึงฮ่องเต้หรือนางเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
เฟิ่งหลิวยิ้ม
เอื้อมมือยาววางหมากสีขาวลงบนช่องบนกระดานด้านหน้าหมิงซื่อเหมือนเป็นการท้าดวลให้หมิงซื่อทำตาม หมากแต่ละตัวถูกวางลงบนกระดานทีละตัวแต่ไม่มีหมากของใครถูกพลิกให้เปลี่ยนสี ทั้งหมิงซื่อและเฟิ่งหลิวใจจดจ่ออยู่กับหมากบนกระดานคล้ายโลกใบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด หมิงซื่อรู้สึกว่าตัวเองปล่อยใจให้จดจ่ออยู่กับหมากบนกระดาน ทำให้สมองปลอดโปร่งรู้สึกสนุกสนานกับการวางหมากเพื่อหาทางดักและโต้กลับหมากของเฟิ่งหลิว จนกระทั่งทั้งกระดานเต็มไปด้วยหมากของทั้งคู่วางเรียงสลับสีไปมา เสมอกันเช่นเดิม
“ฝ่าบาทยามจื่อแล้ว เห็นทีต้องให้แม่นางเฟิ่งหลิว กลับที่พักเสียที”เสี่ยวหานเอ่ยปากเบาๆ กล้าๆ กลัวๆ
“ พรุ่งนี้เจ้าจะมาอีกไหม”เฟิ่งหลิวมองที่หยิ่วเย่ว
“เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องอยู่บรรเลงเพลงพิณ และฝึกการเย็บปัก”เสี่ยวหานอมยิ้ม
“ฝ่าบาทก็ทรง ประทานขออนุญาต ไทเฮาให้นางมาเดินหมากในวันพรุ่งนี้”เฟิ่งหลิวสบตากับเสี่ยวหาน เหมือนจะบอกว่าไม่อยากมา
“ดี เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้า...ไปเดินหมากที่ตำหนักเสด็จแม่”
“ฝ่าบาท ไม่เห็นต้องลำบาก หยิ่วเย่วขอไทเฮาให้แทน”ยิ้มกว้าง เหมือนเด็กๆ ครั้งแรกของหมิงซื่อที่ทำเอาเฟิ่งหลิวเผลอมองเพราะรอยยิ้มช่างสว่างสดใสอย่างที่สุด
“ดี เจ้าช่างเข้าใจความรู้สึกข้ายิ่งนัก เช่นนั้นคืนนนี้เห็นที ข้าต้องมีรางวัลให้กับเจ้าเสียแล้ว” หยิ่วเยว่ยิ้มหวาน เฟิ่งหลิวรีบเดินหลบออกมาใจเต้นโครมคราม ผัวเมียเขาคุยอะไรกันพวกพี่สาวมักจะ พร่ำบอกเฟิ่งหลิวให้หลบออกจากห้องทุกครั้งหากเห็นว่าแขกกับพวกพี่สาวคุยและมองตากัน เอ่ยคำพูดแปลกๆ เฟิ่งหลิว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักหากแต่ก็พอใจเข้าใจบ้าง ในอาการของบุรุษยามที่เอ่ยคำหวานว่าต้องการสิ่งใด นอกจากเรือนร่างของหญิงที่สบตา
เดินทอดน่องเพียงลำพัง บนทางเดินทอดยาวกลิ่นดอกไม่ราตรีหอม อ่อนๆ ลอยตามลมมาจากที่ไกลแสนไกล หลานซานยืนขว้างทางไว้
“แม่นางเฟิ่งหลิว”เฟิ่งหลิวชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองคนเรียกหลานซานเอามือสองข้างไพล่หลังอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิท
“เจ้า เดินกลับลำพังให้ข้าเดินไปส่ง”
“ท่านองครักษ์ยังไม่พักผ่อนอีกหรือ”ถามด้วยความแปลกใจ
“ข้ามีหน้าที่อารักขา แอบงีบบ้างบางครั้ง”
“อ๋อต้องแอบหลับ”หลานซานยิ้มบางๆ
“ ให้ข้าเดินไปส่งเจ้าดีกว่า”
“ไม่ไม่ไม่ ท่านเอาเวลาที่เดินไปส่งข้า ไปงีบหลับดีกว่า”
“เจ้านี่ช่างมีอารมณ์ขัน ในวังหลวงแห่งนี้ผู้คนแม้แย้มยิ้ม แต่ภายในทุกข์ตรม”
“รวมทั้งท่านด้วยหรือท่านจะทุกข์ไปทำไมยิ้มเข้าไว้”น้ำเสียงห่วงใย แต่กลับเผลอฉีกยิ้มกว้าง หลานซานมองใบหน้าสวยใสนิ่งหัวใจแทบจะหยุดเต้น
“เจ้าสดใส ต่างออกไป”
“แน่นอน ข้ามีเรื่องใดให้คิดกันเล่านอกจากเรื่องปากท้อง555”เฟิ่งหลิวนางเข้ามาเปลี่ยน โลกสีเทาให้กลายเป็นสีชมพู อวิ้นกุ้ยมองลงมาจากหน้ามุข ถอนหายใจกับท่าทีสนิทสนมของ หลานซานและเฟิ่งหลิว