เฟิ่งหลิวกับหลานซานเดินเคียงข้างในคืนที่ดาวมืดมิด มิตรภาพก่อตัวขึ้นช้าๆ ในใจของหลานซานที่หัวใจเขาเองก็ไม่ต่างจากกระดานหมากล้อมที่ว่างเปล่าเช่นกัน
"ไว้พบเจอกันอีกครั้ง ข้าง่วงเหลือเกินแล้ว"หลานซานยิ้มบางๆ เขาอยากเฝ้ามองหน้าห้องของเฟิ่งหลิวอยู่อย่างนี้หากไม่ต้องคอยเฝ้าอารักขาหมิงซื่อ
คนที่ถูกกล่าวถึงตอนนี้นอนหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลียข้างกายมีร่างเกือบเปลือยของหยิ่วเยว่ หันหลังให้เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ จะร้องขอสิ่งใดได้ในเมื่อเป็นเพียงสนมของเขาเท่านั้น หยิ่วเยว่ลุกขึ้นหมายจะสวมเสื้อผ้า แขนแข็งแรงกับฉุดรั้งไว้ แว๊บหนึ่งความปีติแล่นสู่หัวใจของหยิ่วเยว่ ทิ้งตัวลงนอนไม่สนใจอาภรณ์ ดึงผ้าห่มคลุมร่างของตัวเองและหมิงซื่อซุกหน้าลงบนอกกว้างหลับใหลเปี่ยมสุข
ตำหนักไทเฮา
"ไว้ช่วงบ่ายเจ้าค่อยมาเรียนการเย็บปัก ต้าหยู๋บ่ายท่านค่อยมาใหม่เช้านี้ฝ่าบาทประสงค์ให้เฟิ่งหลิวเดินหมาก"ไทเฮากล่าวขึ้น
"เฟิ่งหลิวยังไม่อยากไปที่ตำหนักฝ่าบาท"
"ขัดบัญชาฮ่องเต้ได้หรือ... เฟิ่งหลิวมานี่มาใกล้ๆ "เฟิ่งหลิวคลานเข่าเข้าไปหาไทเฮา
เอื้อมมือจับมือเฟิ่งหลิวบรรจงสวมกำไลหยกในมือให้ด้วยความเอ็นดู
"ข้าให้ แขนของเจ้าว่างเปล่าไร้เครื่องประดับตกแต่ง"
"ขอบพระทัยไทเฮา"ยกมือขึ้นลูบหัวเฟิ่งหลิวเบาๆ เฟิ่งหลิวลุกขึ้นโผเข้ากอดไทเฮาอย่างลืมตัว อยู่ๆก็คิดถึงมารดา ไทเฮานิ่งงัน หงส์อย่างไรก็คือหงส์ หากสั่งสอนนางอีกไม่นานหงส์น้อยตัวนี้ก็จะสยายปีกโบกบินอย่างสง่างาม ด้วยเนื้อแท้ของเฟิ่งหลิวบวกกับชาติตระกูล นางจึงเหมือนเพชรในตม
"ไม่เป็นไรข้าให้เจ้า หยกนี่แต่เดิมหาใช่ของข้าไม่เป็นเพียงของที่ขอยืมเขามา.."หยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นอยากบอกเหลือเกินว่าเจ้าของเขามาแล้วต้องคืนเขาไป
"ไปเดินหมากกับฮ่องเต้เถอะ ข้าสั่งให้ห้องเครื่องยกเครื่องเสวยเผื่อเจ้าที่ตำหนักฝ่าบาทแล้ว"เฟิ่งหลิวปาดน้ำตาคิดถึงมารดาจับใจแต่ก่อนแต่ไรมามีเพียงมารดาที่เคียงข้าง อยู่หอคณิกายังได้ไปมาหาสู่ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่จึงจะได้พบกัน
...ตำหนักฮองเต้…
หลานซานยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าตำหนัก เสี่ยวหานอยู่ไม่ห่างนัก
"แม่นางเฟิ่งหลิว"หลานซานทักขึ้น
เฟิ่งหลิวยิ้ม
"มาเดินหมากตามที่ฝ่าบาทบัญชาไว้"เสี่ยวหานยิ้มแหย๋ๆ หมิงซื่อยังนอนอยู่บนแท่นนอนกับหยิ่วเย่ว
" ฝ่ายาทยังไท่ตื่นจากบรรทม"เฟิ่งหลิวยิ้มกว้าง
"ดีเลยข้ากลับก่อนดีกว่า"น้ำเสียงแสดงความดีใจ เสียงตะโกนดังๆจากในห้อง
"ให้นางเข้ามา"เฟิ่งหลิวขมวดคิ้ว เสี่ยวหานพยักพเยิดให้เข้าไป
"เฟิ่งหลิว"หลานซานเอ่ยชื่อขึ้นเบาๆ เหมือนจะบอกว่าเขาเป็นห่วง เฟิ่งหลิวหันมายิ้มให้ เสี่ยวหานเปิดประตูให้เข้าไปข้างใน
ภายในนั้นหยิ่วเย่วยังนอนอยู่บนแท่นนอน เฟิ่งหลิวเดินก้มหน้า แม้จะผ่านหอนางโลมมาแต่บุรุษตรงหน้าเป็นถึงฮ่องเต้ เฟิ่งหลิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งๆ ที่เขินอายอย่างที่สุด
หมิงซื่อปล่อยอกเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์นั่งบนแท่นนอน ยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนของหยิ่วเย่วที่เพิ่งจะงัวเงียตื่นขึ้นมา เฟิ่วหลิวเพียงแค่เหลือบตามองแล้วต้องเบือนหน้าหนี
หยิ่วเย่วลุกขยับตัวลงมาคุกเข่ากับพื้น
"ฝ่าบาทหยิ่วเย่วบกพร่อง ตื่นที่หลังฝ่าบาทน่าละอายยิ่งนัก"ยิ้มบางๆ
"ไม่เป็นไรเมื่อคืนเจ้าอยู่ปรนนิบัติข้าเสียดึกดื่น ข้าจะกล้าตำหนิเจ้าได้เช่นไร ข้าหิวแล้วจึงปลุกเจ้าทีแรกคิดจะปล่อยเจ้านอนนานหน่อยแต่นางก็มาพอดี"เฟิ่งหลิวยังก้มหน้านิ่ง ทำไมใจสั่นอีกทั้งเขินอายมือไม้เหมือนกับเกะกะไปเสียหมดนึกหาคำพูดแต่คิดไม่ออก
"สนมหยิ่วเยว่ เฟิ่งหลิวเตรียมน้ำให้พระสนมล้างหน้าดีกว่า" ถลาเข้าไปที่อ่างน้ำเพื่อหาทางหลบจากภาพที่ทำใจสั่นตรงหน้า
"ไม่ต้อง"หมิงซื่อพูดด้วยเสียงอันดัง
"เจ้าไม่ใช่นางกำนัล อีกทั้งหยิ่วเย่วนางทำเรื่องแบบนี้เพียงลำพัง...ได้"สะดุดกึกตรงนั้นแต่ยังก้มหน้านิ่ง
"อย่างนั้น ข้าจัดโต๊ะเสวยให้ดีกว่า"พุ่งไปเสียอีกทาง หมิงซื่อมือไวเท่าความคิดคว้าข้อมือบางไว้ฉุดร่างบางให้กระแทกลงบนอกเปลือยเปล่า
"ไม่ต้อง นั่งอยู่เฉยๆ เจ้าเป็นอะไรไปเขินอายเช่นนั้นหรือ ไม่เคยพบเห็นเรื่องแบบนี้หรือไร เจ้าอย่าทำเป็นเสแสร้งอยู่ในหอนางโลมเป็นคณิกาเรื่องแบบนี้น่าจะด้านชาไปเสียนานแล้ว"ตั้งใจทำสิ่งใดกันจำผิดเฟิ่งหลิวอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงโมโหไดมากมายเพียงนั้น
"เฟิ่งหลิวเจ้ารอข้ากับฝ่าบาทเพียงครู่เดียวคงจะหิวแล้วใช่หรือไม่ ปกติ นางกำนัลจะยกเครื่องเสวยมาก็ต่อเมื่อเสี่ยวหานเห็นว่าเราสองคนตื่นและชำระร่างกายเสร็จแล้ว วันนี้เจ้ามาเร็วไปหน่อย นั่งรออยู่ตรงนั้นเถอะไม่ต้องกังวล เพียงครู่เดียวตามที่ฝ่าบาทพูด เจ้าเขินอายหรือไรเช่นนั้นวันหลังเห็นทีข้าต้องตื่นให้เร็วกว่านี้"หยิ่วเย่วตัดบทเสียยาวเหยียด เกรงว่าเรื่องจะลุกลามไปกันใหญ่
เฟิ่งหลิวฝืนยิ้มทั้งๆ ที่รู้สึกว่าเข้าตาจนจริงๆ ในหอนางโลมกว่าจะได้เข้าไปในห้องก็ต่อเมื่อพวกพี่สาวส่งแขกเรียบร้อยแล้ว พวกพี่สาวในหอคณิกามักจะเอ็นดูเฟิ่งหลิว และเห็นพ้องกันว่าอย่าให้เด็กสาวบริสุทธิ์เช่นเฟิ่งหลิวมาพบเห็นหรือซึมซับกับเรื่องเหล่านี้มากนัก
"นางเป็นคณิกา แสร้งทำเป็นเหนียมอายเพื่ออะไรกัน"เฟิ่งหลิวก้มหน้าเมื่อวานยังดีดีวันนี้ทำไมใจร้ายเหลือเกิน หมิงซื่อคิดอะไรอยู่ ในหัวเขาตอนนี้มีความคิดสวนทางกันวิ่งวนมากมาย เมื่อคืนก็เฝ้าครุ่นคิดจนอดนอน รสจูบที่เคยสัมผัสเหมือนจูบแรกของนาง แต่ท่าทีของนางบางครั้งเหมือนหญิงกร้านโลก ดิ้นรนปกป้องตัวเองจากทหารนอกแถวเหมือนไม่เคยต้องมือชายท่าทียั่วยวนเขาในอ่างน้ำ แล้วเมื่อวานเล่าใบหน้าสวยใสเป็นสาวน้อย วันนี้กลับงดงามดั่งดอกมู่หลานแย้มกลีบบาน หมิงซื่อมองเฟิ่งหลิวไม่ออกจริงๆ
"เฟิ่งหลิวออกไปรอข้างนอกจะดีกว่า"เดินหลบออกมาข้างนอกหมิงซื่อไม่ได้ห้ามไว้เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าทำไมต้องโมโหนางเพียงนั้นเพียวเพราะว่าวันนี้เฟิ่งหลิวแต่งกายจนดูเป็นสาวเต็มตัว
เมื่อเฟิ่งหลิวออกไปแล้ว
"ฝ่าบาท นางหาใช่คณิกาไม่ นางคณิกาไม่จำเป็นต้องหัดเพลงพิณร่ายบทกลอน หรือเดินหมาก"
"ข้ารู้ดี"จะบอกอย่างไรว่าเคยจูบเฟิ่งหลิวและเคยโดนเฟิ่งหลิวลูบไล้อกกว้างให้ใจสั่นมาแล้ว
"นางถูกฝึกให้เป็นอี้จี นางจะร่วมหลับนอนกับชายที่นางเต็มใจเท่านั้น ซึ่งหยิ่วเย่วคิดว่า..นางยังไม่เคยต้องมือชายมาก่อน..ฝ่าบาทน่าจะเห็นแววตาเขินอายของนาง"แว๊บหนึ่งกลับเกิดความปีติขึ้นมาในหัวใจ ดีใจอะไรกัน ดีใจที่นางยังไม่เคยต้องมือชายอย่างนั้นหรือ
"เจ้าก็รู้ข้าไม่ชอบให้ใครหลอกลวงข้า"
"ฝ่าบาท กังวลเรื่องใดกัน กังวลว่าเฟิ่งหลิวจะหลอกลวง หรือว่ากังวลว่านางจะเคยต้องมือชายมาแล้วนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลไปเลยหยิ่วเย่วมั่นใจว่านาง...ยังไม่เคยต้องมือชาย"หัวใจพองโตเหมือนเห็นแก่ตัว หรือรู้สึกว่าเฟิ่งหลิวน่าข้องแวะอย่างนั้นหรือ หลอกตัวเองหรือไรว่าอย่าข้องแวะกับนาง
ทหารยามหน้า ประตูวังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ประสานมือตรงหน้าหลานซาน
“ท่านองครักษ์ มีหญิงนางหนึ่งอ้างว่าเป็นองค์หญิงสิบสี่ของแคว้นใต้ ตอนนี้อยู่ที่ประตูวังขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”หลานซานเลิกคิ้วสูง เฟิ่งหลิวในตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบหมุนติ้ว