อี้จีฝึกหัด
เฟิ่งหลิวสาวน้อยรูปร่างหน้าต่างจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไปผิวเนื้อผุดผาดขาวราวหยกต้องแสง ปากคอคิ้วคางดุจงานสรรค์สร้างจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก แต่รูปร่างเล็ก เหมือนหญิงชาวบ้านที่อดยากขาดแคลน อาหารดีดีหากพินิจเสียหน่อยเฟิ่งหลิวนับว่า โดดเด่นไม่น้อยแต่ใบหน้ากลับขะมุกขะมอมด้วยความทุกข์เข็ญ หอบห่อผ้ากอดร่ำลามารดาที่อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มือกร้านลูบหัวเฟิ่งหลิวไปมา
“แน่ใจแล้วหรือ”เฟิ่งหลิวฝืนยิ้มพยักหน้าช้าๆ
“ปีนี้ เฟิ่งหลิวสิบสามแล้ว ท่านแม่ก็ลำบากที่หอเทียนถางมีงานพอให้ทำได้ ท่านแม่ไม่ต้องกังวล เฟิ่งหลิวแค่ไปช่วยเขาทำงานรับใช้ในหอนางโลมหาได้เข้าไปเป็นนางคณิกาไม่”มารดายังล่อยน้ำตาไหลริน
“เอาไว้ เฟิ่งหลิวกลับมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยหน่อย”กอดรอบเอวมารดาแน่น
“เฟิ่งหลิว”เถ้าแก่เนี้ยของหอเทียนถางที่อดีตก็คือนางคณิกามีชื่อพอแก่ตัวมีเงินเก็บบ้างก็เปิดโรงน้ำชาและหอนางโลมจนเป็นที่รู้จักกันดี เดินวนรอบๆ เฟิ่งหลิว
“ไม่เลว ไม่เลวแต่ ทรวดทรงเอวกับท่อนไม้เช่นนี้เห็นทีต้องบำรุงกันอีกหน่อย”
“เฟิ่งหลิวมิได้ต้องการเข้ามา เป็นนางคณิกา”
“อิอิอิ เข้ามาใหม่ๆ ใครๆ ก็พูดเช่นนี้ ต่อมา เสียงก้อนเงินกระทบกันมักจะละลายคำพูดของพวกนางไปจนสิ้น”หัวเราะเสียงใสชี้มือไปยังเหล่านางคณิการุ่นพี่ที่ยืนรายล้อม
“แต่เฟิ่งหลิวแค่...ต้องการหาเงิน ไปให้ท่านแม่”
“อืม...ความจริงหากจะไม่ขายตัวก็เพียง ไม่สิ ต้องฝึกฝนตัวเองให้เป็นอี้จี
“อี้จี”เฟิ่งหลิวทวนคำเบาๆ
“ก็อี้จีมีหน้าที่ให้ความสำราญแต่เป็นแค่เพียงด้านเสียงเพลงและเพื่อนเดินหมากซึ่งเจ้าจะต้องหัดเดินหมากให้เก่ง และ เล่น พิณหรือกู่เจิงได้ไพเราะบวกกับหน้าตาที่งดงามไม่จำเป็นต้องขายตัวอย่างพวกเราก็ได้”
“เหมือนกับล่อหลอกเอาเงินเช่นนั้นหรือ”
“ใครบอกเจ้ากัน อี้จีแค่อาศัยใบหน้าที่งดงามและความสามารถในด้านดนตรี และการเดินหมากให้ความสำราญกับพวกเขาในอีกแบบหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้หลอกลวงใคร”
“แล้ว หากมีใครต้องการตัวเราเล่า”
“อิอิอยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะเต็มใจหรือไม่ หากเจ้าฉลาดพอก็แค่พูดจาหว่านล้อมบ่ายเบี่ยง เพื่อหาคนจริงใจ แต่หากเจ้า ใจไม่แข็งพอก็จะ ยอมทอดกายให้พวกมากรักได้เช่นกัน”เฟิ่งหลิวคิดตาม
“หากมีชื่อเสียง มีคนต้องการตัวย่อมมีโอกาสหลอกล่อเงินทองของกำนัลเจ้าคิดเอาล่ะกัน”เฟิ่งหลิวยิ้ม อยุ่ข้างนอกนั่นทุกวันนี้ก็แค่ หาทางหลอกล่อเงินทองจากคนอื่นเหมือนกัน บางครั้งก็แกล้ง เป็นคนพิการบางครั้งก็แกล้งเป็นคนป่วย แกลงตาบอดก็ยังเคย
ตั้งแต่นั้นมาทุกวันของเฟิ่งหลิวจึงผ่านไปด้วยการฝึกฝนอย่างหนักทั้งทำงานในหอนางโลมสารพัดที่จะถูกเรียกใช้ แล้วยังจะต้องฝึกเพลงพิณดีดกู่เจิ้ง และเดินหมาก
แขกคนแรกในคืนมืดมิด เฟิ่งหลิวในชุดผ้าแพรสวยงาม ที่พี่สาวคนหนึ่งในหอนางโลม บรรจงแต่งตัวให้อีกทั้งแต่งหน้าจนสวยสดยืนรอท่าเพื่อจะบรรเลงเพลงพิณ เพลงยังไม่ทันจบ คนผู้นั้นก็ขอพบเฟิ่งหลิว
น้ำชาร้อนๆ ในมือถูกรินด้วยมืออันสั่นเทา
“แม่นางน้อยผู้นี้ชื่อแซ่เจ้าว่าอย่างไร”
“ข้าน้อย..เฟิ่งหลิว”เสียงใสปานกระดิ่งทองตามแบบที่ถูกฝึกมาให้ดัดเสียงจีบปากจีบคอพูดให้อ่อนหวานไพเราะ
“เพลงพิณของเจ้าไพเราะสะดุดหู อีกทั้งเมื่อพบหน้าข้าก็อยากจะขอเป็นแขกประจำของที่นี่เสียแล้ว” ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก หากแต่สวรรค์กลับกลั่นแกล้งหรือสวรรค์ไม่ต้องการให้เฟิ่งหลิวเป็นอี้จีกันแน่
“เฟิ่งหลิวแย่แล้วบัดนี้ทัพของแคว้นใต้บุกเข้ามาแล้ว”พี่สาวที่แสนดี วิ่งเข้ามาไม่สนใจ แขกผู้นั้นกระชากแขนเฟิ่งหลิวให้วิ่งตาม
“ไม่เห็นต้องกลัว”พูดตามที่คิด
“หากทหารที่จากบ้านมานาน ผ่านมาพบเจ้าเข้าไม่แคล้วต้องถูกย่ำยี”
“ย่ำยี ได้อย่างไรกัน”
“ ในการสงคราม ไม่มีใครกล่าวโทษใครหรอกทางที่ดีหาทางเอาตัวรอดก่อนไปรวมกันด้านใน รอท่านแม่เฒ่าแก่เนี้ยหาทางหนีทีไล่ให้พวกเราก่อน”ที่นั่นหลายคนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอาภรณ์ของชาวบ้านปกติ พี่สาวจับเฟิ่งหลิวแต่งตัวมอมแมม ปาดเขม่าป้ายทั่วใบหน้า
“มากับข้าเฟิ่งหลิว”เฒ่าแก่เนี้ยฉุดแขนเฟิ่งหลิวให้ตามไปใครๆ ก็เอ็นดูเพราะความขยันของเฟิ่งหลิวและความที่ยังไร้มารยาและอายุน้อยที่สุดในหอนางโลมแห่งนี้
ม้าศึกพุ่งทะยานออกจาก ที่ตั้งทัพของกองทัพแคว้นใต้ แม่ทัพผู้กล้าแกร่งสวมชุดเกราะ ที่ทำจากโลหะบุกตะลุยอยู่ด้านหน้า ศึกครั้งนี้แคว้นเหนือหมดปัญญาต่อสู้ก็ในเมื่อกองทัพของแคว้นใต้ ทั้งฮึกเหิมและแข็งแกร่ง ใช้เวลาไม่นานก็บุกทะลวง ด่านหน้าเข้าไปในเขตวังหลวงผู้คนแตกตื่นต่างหนีตาย ทั้งๆ ที่ทหารของแคว้นใต้ถูกย้ำมาหนักหนาว่าห้ามรังแกปล้นสะดมหรือกลั่นแกล้งราษฎร การศึกครั้งนี้ แค่เพียงสร้างแสนยานุภาพให้แคว้นเหนือเห็นว่าการ ที่ไม่ยินยอมทำตามข้อเสนอของแคว้นใต้จะมีผลลัพธ์เป็นเช่นไร
แต่ชาวบ้านต่างขวัญเสียวิ่งวุ่นวายอลม่าน แม่ทัพผู้เกรียงไกร ก้มลงเบื้องหน้า ร่างสูงสง่าบนอาชาสีขาวดุจปุยนุ่น ตัดกับอาภรณ์สีดำขลิบแดง ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของจิตรกรเอก ไม่อยากเชื่อว่าจะมีหญิงใดปฏิเสธเขาได้
“ฝ่าบาท บัดนี้กองทัพของเราควบคุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว”
“ห่าว (ดี) องค์หญิงของแคว้นเหนือร่ำลือไปทั่วเจ็ดแคว้น ว่างามหาหญิงใดเปรียบเปรยกล้าปฏิเสธที่จะมาเป็นฮองเฮาของข้า”
“ฝ่าบาทฮ่องเต้แคว้นเหนือยอมจำนนเพื่อเห็นแก่ราษฎร เชิญฝ่าบาทเข้าไปในวังหลวงได้แล้ว”
“เตรียมเกี้ยว ข้ารับเพียงองค์หญิงของแคว้นเหนือกลับแคว้นเราเท่านั้น”
“รับบัญชาฝ่าบาท”ท่านแม่ทัพโบกมือให้ทหารเตรียมเกี้ยวตามบัญชาของหมิงซื่อฮ่องเต้
กระตุกบังเ**ยน ให้ม้าเหยาะย่างสำรวจบริเวณโดยรอบกระโดดลงจากหลังม้าพยุงหญิงชราที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น หญิงชรายิ้มให้ หมิ่งซื่อกลับยิ้มได้สว่างสดใสกว่าทำเอาทั้งโลกสว่างไสว
ข้างกันนั้นหอนางโลมนางคณิกาแตกตื่นวิ่งหนี ร่างอ้อนแอ้นแต่ทว่าใบหน้ามอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าควัน ของหญิงนางหนึ่ง วิ่งหันหน้าหันหลังชนเข้ากับร่างสูงของหมิงซื่อที่รวบเอวบางไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น ตาสบตาใบหน้างดงามจนไม่อาจบรรยายดวงตาสวยใส ไร้จริตมารยา หากแต่การแต่งเนื้อแต่งตัวหาได้งดงงามอย่างหญิงคณิกาทั่วไปไม่ หรือนางจงใจแต่งตัวเพื่อหลบหนี
หมิงซื่อตกตะลึงจังงัง สายตาสบเข้ากับดวงตาใส ก่อนที่ร่างเล็กในอ้อมแขนจะดิ้นหลุดแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วหมิงซื่อเผลอยิ้มขำกับอาการตกตะลึงที่ตัวเองเป็นอยู่หญิงงามมากหน้า ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามา จะมีสะดุดตากี่มากน้อยกันยกเว้นองค์หญิงสิบสี่ผู้นั้น
ในวังหลวงแคว้นเหนือ
“องค์หญิง จะมีน้ำตาไปไย ตอนนี้ต้องแสร้งฝืนยิ้มไว้ ระหว่างทางนั้นมีโอกาสหนีได้มากมาย” ปาดน้ำตาปรับสีหน้าให้เยือกเย็นดั่งหิมะแรกของปี ผ้าแพรสีแดงถูกดึงลงมาคลุมหน้า นางกำนัลส่งมือให้จับ พาเดินไปยังเกี้ยวที่รออยู่ด้านหน้า ท่านแม่ทัพ ยืนม้าคอยอยู่ก่อนแล้วส่งสัญญาณให้ เคลื่อนเกี้ยวออกทันที หมิงซื่อรั้งอยู่ด้านหลังในอาภรณ์แสนธรรมดาไม่ได้บ่งบอกฐานะฮ่องเต้
“หลานซานเตรียมอารักขา”บุรุษหนุ่มท่าทีองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากคนบนหลังม้าสีขาวนวล
“อารักขา เกี้ยวองค์หญิงให้ดี การเดินทางค่อนข้างยาวนาน ระวังไว้จะดีที่สุด” หลานซานประสานมือ ก้มหัวแทนคำตอบ
ดวงอาทิตย์อัสดง ในเงามืดของหุบเขายิ่งมืดมิด หุบเขาทอดยาวไม่อาจผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ ท่านแม่ทัพ ส่งสัญญาณให้ตั้งกองที่นั่น กระโจมน้อยใหญ่ถูกกางเป็นที่พัก หมิงซื่อนั่งร่างอักษร มือเรียวบางตวัดพู่กันด้วยความแคล่วคล่องตัวอักษรพลิ้วสวยไร้ที่ติ ดึงแผ่นกระดาษขึ้น ส่งให้ขันทีข้างกาย
“เสี่ยวหาน นำไปให้องค์หญิงสิบสี่ที่กระโจม”
“ฝ่าบาท ไม่ส่งถึงมือองค์หญิงเองเพื่อแสดงความจริงใจ”
“ไม่มีประโยชน์ ธารน้ำแม้ถูกกักกั้นไว้เพียงใดก็จะไหลไปตามทางที่มันต้องการ”คำพูดเขาย้อนแย้งในตัวเองในเมื่อนางไม่ยินยอมที่จะเป็นฮองเฮาของเขาทำไม่เข้าต้องฝืนใจนาง หรือรอว่าสักวันนางจะเห็นความจริงใจของเขา เสี่ยวหานประสานมือคำนับถอยออกห่าง แต่
“เสี่ยวหานเองก็ไม่เข้าใจในเมื่อกักเก็บธารน้ำไม่ได้ ทำไม่ไม่ปล่อยมันไหลทะลัก”หมิ่งซื่อยกมือฟาดกระบาล เบาๆ เสี่ยวหานรีบวิ่งออกไปทันที
“หลงรูปเจ้ายิ่ง เสียดาย
หากแม้นหมายรูปโฉม งามยิ่ง
ดั่งดอกเหมยร่วงหล่น เมื่อถึงคราต้องลมหนาว
แต่ใครจะเล่าโอบอุ้มไม่ให้ ต้องพื้นดิน”
“อักษร เหล่านี้ก็เป็นเพียงอักษร ไร้ค่าไม่เหมาะแก่การครอบครอง”องค์หญิงสิบสี่ พับกระดาษแผ่นเดียวกับที่หมิงซื่อส่งมาวางลงบนโต๊ะ
...กระโจมใหญ่อีกฝั่ง..
หมิงซื่อทอดถอนหายใจ หลับตาลงช้า ๆ กลิ่นกำยานหอมอบอวลไม่นานก็นิทราหลับใหล
ร่างบางในชุดสีแดงมงคลที่ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง วิ่งถลาเข้ามาที่ แท่นนอนหมิงซื่อ หกล้มหกลุกล้มลงบนตัวของหมิงซื่ออย่างแรง ร่างใหญ่สะดุ้งตื่นแต่มือไวยิ่งกว่าความคิด กอดรัดเอวบางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแม้ร่างบางจะดิ้นรนเพียงใดก็ตาม
ตาคม จ้องมองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุม ที่มองเห็นเพียงเลือนราง
“ปล่อย”ใบหน้าสวยเชิดหยิ่งของเฟิ่งหลิวที่ไม่หลบสายตาคมดุ
“องค์หญิงสิบสี่ ”แว๊บหนึ่งดีใจอย่างที่สุดเผลอกระชับอ้อมกอดแน่น
“ฝ่าบาท องค์หญิงแคว้นเหนือ อยู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากกระโจม”
เสี่ยวหานตะโกนบอกจากข้างนอกกระโจม ตอบคำถามแทนเฟิ่งหลิว
“ปล่อย ” ร่างบางยังขยับตัวหนีแต่โดนมือใหญ่ล็อกไว้แน่น
“บอกมาองค์หญิง เข้ามาในนี้ทำไม”
“ไม่รู้ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” เฟิ่งหลิวลำดับเหตุการณ์เมื่อ ยกชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอกแล้วก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิวก่อนจะสะดุ้งตื่นมาอีกครั้ง บนแท่นนอนในอาภรณ์สีแดง ทีแรกนึกว่าตัวเองตายไปแล้วบนสวรรค์หรือไร ช่างสวยงามตระการตา เสียงคนพูดคุยกันฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สะบัดหัวไล่ความมึนงง
เฟิ่งหลิวลุกขึ้นวิ่งออกมาข้างนอกกระโจม
“องครักษ์จับตัวองค์หญิงแคว้นเหนือไว้”หัวหน้าองครักษ์สั่งเสียงดังลั่นแต่ช้ากว่าเฟิ่งหลิว เพราะนางวิ่งลิ่วไปทั่วกอง จนสุดท้ายก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของ หมิงซื่อฮ่องเต้
“ปล่อยนะ”เงื้อไม้เงื้อมือ
“สามหาว”เฟิ่งหลิวถอนหายใจยาว
“สามหาวแปดหาวอะไรกัน ข้าไม่ใช่องค์หญิงอะไรนั่น ดูสิ” เปิดผ้าคลุมหน้าออก ทันที หมิงซื่อจ้องตาไม่กะพริบตกตะลึงกับใบหน้างามผุดผาดริมฝีปากสีชมพูระเรื่อไม่ได้สีแดงสดอย่างที่คิด ใบหน้าได้รูปสวยจนคนมองตกตะลึง แต่จมูกเชิดหยิ่งดวงตาสีน้ำตาลใส มีแววขี้เล่น แต่ไม่ใช่องค์หญิงสิบสี่อิงเผย เป็นนางคณิกาคนเมื่อเช้าที่เขาจำติดตาไปได้อย่างไร แต่ใบหน้าไม่ได้ขะมุกขะมอมเหมือนเมื่อครั้งแรกที่พบนาง เผลอปล่อยเอวบาง เฟิ่งหลิวเซเกือบล้มคนตัวใหญ่จึงต้องรวบเอวบางมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งสบตานิ่ง
“เจ้าเป็นใคร”น้ำเสียงระคนสงสัย
“เฟิ่งหลิว ข้าคือเฟิ่งหลิว บอกแล้วว่าไม่ใช่องค์หญิงอะไรนั่น” ไหนเขาบอกว่าแค่ดื่มชา งานง่ายๆ ก็จะได้เงินอย่างไรเล่า
“เสี่ยวหาน”เสี่ยวหานวิ่ง เข้ามาในกระโจมใหญ่
“นางคือใคร สวมรอยมาได้อย่างไรแล้วองค์หญิงสิบสี่ของแคว้นเหนือเล่า” เสี่ยวหานก้มลงคุกเข่าเบื้องหน้า
“ ข้าน้อยสมควรตาย”เฟิ่งหลิว ส่ายหน้า สมควรตาย
“ไม่ได้สวมรอย”
หมิงซื่อ ผลักเฟิ่งหลิวให้ล้มลงไปกองกับพื้น
“บอกมาองค์หญิงสิบสี่อิงเผย หนีไปทางไหน”
“ใครจะรู้เล่า ตื่นมาก็มาอยู่ในชุดนี้แล้ว”ว่าแต่ว่าใคร จับเฟิ่งหลิวเปลี่ยนชุดหนอ
“ นำม้ามา ข้าจะออกตามหาองค์หญิงสิบสี่ นำนางไปขังรอการไต่สวน”คนอะไรใจร้าย หน้าตาก็ดี แต่ทำไมใจร้าย
“หา อย่านะอย่าเข้ามานะ”เสี่ยวหานโดนทั้งหยิกทั้งข่วนจนเข้าไม่ถึงตัว หมิงซื่อยืนมองอยู่นาน ก่อนจะตวัดมือใช้อ้อมแขนแข็งแรงเพียงข้างเดียวรวบร่างบางมาแนบอก มืออีกข้างกำมือบางที่กำลังหยิกข่วนเสี่ยวหานอยู่
...หมดฤิทธิ์…
“ปล่อยนะ”ปากไวเท่าความคิด
กัดฉับเข้าที่แขนแข็งแรงของหมิงซื่อ
“โอ๊ย”แต่ไม่ยอมปล่อยกับรวบแน่นกว่าเดิมจ้องตาคมดุดัน
“บังอาจ” หญิงผู้นี้เป็นนางคณิกาแต่ทำเหมือน ไม่เคยต้องมือชายกระนั้น ร้อยเล่ห์มารยาไม่น้อยคงนึกว่าเขาจำนางไม่ได้หรือไร
เฟิ่งหลิวยกเท้าขึ้นกระทืบเท้าของหมิงซื่อเต็มๆ คราวนี้อ้อมแขนคลายออกโดยง่าย เสี่ยวหานยกมือขึ้นปิดตาเมื่อใบหน้างามยิ้มอย่างมีชัยหันหน้าหนี มือใหญ่แข็งแรงรวบท้ายทอยจนตึงขยับตัวไม่ได้ดึงตัวมาใกล้ ก้มลงบดริมฝีปากกับปากบาง เฟิ่งหลิวตาโต ยกมือขึ้นดันออกกว้างแต่ไม่สำเร็จ เสี่ยวหานปิดตาแน่น หมิงซื่อถอนริมฝีปากออก เมื่อพบว่าเฟิ่งหลิวกลายร่างเป็นขี้ผึ้งลนไฟอ่อนระทวยในอ้อมแขนหมิงซื่อต้องพยุงไว้ นี่ก็แสร้งเป็นอ่อนระทวยในอ้อมแขน เหมือนกับจูบแรกกระนั้นหรือเมื่อลิ้นอุ่นของนางกับแข็งทื่อ นางเหมือนไม่เคยถูกจูบหรือเรียนรู้การจูบมาก่อน
“เก่งจริงๆ เสี่ยวหานพานางไปได้แล้ว”ความหมายของเขาคือนางช่างแสดงละครได้เก่งจริงๆ เขาเกือบจะเชื่อ ว่าเป็นจูบแรกของนาง ดึงสายรัดเอวออกจากตัวผูกมือเฟิ่งหลิวไว้แน่น เสี่ยวหานอมยิ้ม หมิงซื่อส่งปลายสายรัดเอวให้เสี่ยวหาน
“ฝ่าบาท หลานซานมาช้าไป”หมิงซื่อโบกมือว่าไม่เป็นไร ฝ่าบาทเลยเหรอ ว่าแต่ฝ่าบาทใครเล่นตลกอะไรกันเฟิ่งหลิวก็แค่เด็กสาวที่ขายตัวเองเข้าไปอยู่ในหอคณิกาอยู่ๆ ทำไมถึงต้องมาเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ ฝ่าบาทเลย เข่าอ่อน
“นำนางไปขังไว้ จับตาดูนางให้ดี” ชักไม่ชอบมาพากลแล้ว ฝ่าบาทอะไรนั่นจะประหารเฟิ่งหลิวหรือไม่หากเขาโกรธขึ้นมาอาจสั่งประหารทันที
“องค์หญิงสิบสี่อิงเผย หายไปอย่างไร้ร่องรอยไว้ พรุ่งนี้ข้าจะไต่สวนนาง ตอนนี้ต้องออกติดตามองค์หญิงก่อน”แม่ทัพอวิ้นกุยคุกเข่าข้างหน้า ตาเหลือบมองเฟิ่งหลิวสายตาไม่สู้ชอบใจนัก
“ฝ่าบาท อย่าทรงกังวลไป ข้าขันอาสาตามหาองค์หญิงเอง เส้นทางคดเคี้ยวบุกป่าฝ่าดงฝ่าบาทอาจเกิดอันตรายได้”น้ำเสียงห่วงใยจริงจัง
คนอะไรจะมีคนยอมทำเรื่องยากๆ แทนแบบนี้ต้องไม่เป็นคนดีมาก ไม่ก็คงชอบบังคับคนอื่น แต่อาจจะเป็นอย่างหลัง
"ฝากท่านแม่ทัพเป็นธุระด้วย"
"น้อมบัญชาฝ่าบาท ข้าน้อยอวิ้นกุยแม้ตายก็จะนำองค์หญิงกลับมาให้ได้"หมิงซื่อรับปลายสายคาดเอวจาก เสี่ยวหาน
“ข้านำนางไปไว้ในกระโจมของข้า นางเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเจ้า อาจหลงกลนางได้”น้ำเสียงเหมือนจะสัพยอกเสี่ยวหานแต่เฟิ่งหลิว กลับรู้สึกว่าเหมือนเยาะหยันอย่างไรชอบกล เอาสิเอากับเขาหน่อยนั่งลงกับพื้นไม่ไปไหน
“ลุกขึ้น”ออกคำสั่ง
“ไม่ ปล่อยข้าไปเถิด”หมายความอย่างที่พูดจริงๆ จากนี้ไปคงหาทางกลับเองได้ไม่ยากแต่หากไกลออกไปเล่า หลับตาไม่สนใจสิ่งที่หมิงซื่อพูด
“ไม่ลุกข้าจะให้ พวกทหารมายกเจ้าขึ้น” หญิงคนนี้ช่างเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวสมกับเป็นนางคณิกาที่คงผ่านผู้คนมามากหน้าในแต่ละค่ำคืนจึงมีฤทธิ์มีเดชเช่นนี้
“หากไม่ปล่อยข้าจะนั่งอยู่อย่างนี้ เชิญเลยจะทำอย่างไรก็เชิญ”หมิงซื่อยิ้มมุมปาก
"เสี่ยวหานเรียกทหารเข้ามาสักสองคนหามแม่นางคนนี้ไปที่กระโจมของข้า"ทหารสองคนเข้ามาข้างใน เฟิ่งหลิวลุกขึ้นยืนกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นหากจะให้ทหารพวกนั้นมาถูกเนื้อต้องตัวทั้งลากทั้งดึงอีกทั้งแต่ละคนท่าทีกักฬะสิ้นดี
"อย่านะ"
"เป็นนางคณิกา เจ้าหวงตัวแบบนี้ได้หรือ"คำก็นางคณิกาสองคำก็นางคณิกา
"ข้าถึงจะเป็นนางคณิกาแต่ก็เป็นนางคณิกาชั้นดี"โกหกทั้งๆ ที่ จะถูกฝึกให้เป็นอี้จีแต่ไม่ทันจะผ่านงานแรกไปด้วยซ้ำ
"บอกมาองค์หญิงให้สิ่งใดตอบแทนเจ้าเจ้าจึงต้องมาถ่วงเวลาข้า"น้ำเสียงยามพูดถึงองค์หญิงช่างอ่อนโยน แต่ท้ายประโยคกลับดุดันใส่ เฟิ่งหลิว
"ไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม"ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้
"ไปได้แล้ว"ดึงสายรัดเอวที่ผูกติดกับมือ จูงเฟิ่งหลิวไปที่กระโจมใหญ่ ที่รายรอบด้วยกระโจมเล็กๆ มากมาย คล้ายกับเป็นเกราะป้องกัน
เมื่อถึงกระโจมใหญ่
“นอนข้างล่างนี่แหละ”หมิงซื่อทิ้งเฟิ่งหลิวลงบนผ้าห่มกองใหญ่ด้านล่างที่เสี่ยวหานเอามากองไว้หมายจะเข้ามานอนคอยรับใช้หมิงซื่อ
"เสี่ยวหานเฝ้าประตูไว้แม่นางคนนี้ร้อยเล่ห์มารยา ต้องเป็นข้าที่จัดการนาง" ในเมื่อใจคิดไปเสียแล้วว่าเฟิ่งหลิวร้อยเล่ห์มารยา ยากจะเปลี่ยนความคิดได้
เดินไปจับปลายสายรัดเอวกระตุก แล้วทิ้งตัวลงนอนบนแท่นนอนสบายอารมณ์เฟิ่งหลิวนั่งนิ่งไม่ยอมนอน หมิงซื่อกระตุกเชือกไปมา
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางและยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะบางทีอาจไม่ได้นอนอีกต่อไป สวมรอยเป็นองค์หญิงอาจถูกม้าแยกร่าง หรือไม่ก็ต้องถูกประหาร ข้าชอบที่จะเห็นม้าแยกร่าง ตัดสินใจแล้วให้ม้าแยกร่างดีที่สุด”น้ำเสียงดุดันเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านทั้งที่คนฟังขวัญหนีดีฝ่อ แต่กลับสะกดกลั้นอาการกลัวไว้
“ดีจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า..ท่าน.. อีก”เฟิ่งหลิวบ่นเบาๆ
ฉับพลันนั่นเองใบหน้าหล่อก็ยื่นมาเกือบชิดใบหน้าเนียน
“ใบหน้าข้าเป็นอย่างไร เจ้ามันก็แค่นางคณิกา เหตุใดกล้าต่อคำของข้า” เฟิ่งหลิวนิ่งหลบตาคม ตกใจแทบช็อกเมื่อใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้แค่เอื้อม