ม้าบ้าน

1706 Words
"หมู่ดาวพราวพร่างนภา ดาราแข่งขัน กันอวดแสง ดาวหนึ่ง สุกสว่างสีแดง ส่องแสง บดบังเหล่าดารา แต่แสงของเจ้ากับถูกเมิน ขวยเขินหลบเร้นหนีหาย โอ้เจ้าไม่ต้องตาชาย หลบหายเร้นลบหลบไป" อวิ้นกุ้ยชะงักเท้านิ่งฟังเสียงพิณที่แว่วมาตามลม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ฟังเพลงพิณ ใครกันหนอช่างบรรเลงเพลงเศร้าสร้อยเพียงนี้ เดินตามเสียงเพลงไปคล้ายต้องมนต์สะกด สายตาจับจ้องที่ร่างบางของเฟิ่งหลิวที่ งดงามราวกับภาพวาด นางใส่ความตั้งใจ และวิญญาณลงในบทเพลง นิ้วเรียวขาวมองดูพลิ้วไหวจนเขาใจสั่น ใบหน้างามแย้มยิ้มเพียงน้อยนิดเหมือนกับไม่ใช่เฟิ่งหลิว แต่เป็นเทพธิดาจากสวรรค์ที่กำลังขับกล่อมผู้ทุกข์ตรม หมิงซื่อก้าวขาขึ้นไปบนศาลาฉาฮวา อย่างเงียบๆ นั่งลงห่างออกไป คนดีดพิณชะงักกึกเสียงเพลงขาดหาย ไทเฮาที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที "เล่นต่อไป"หมิงซื่อสั่ง เฟิ่งหลิวก้มหน้ามองพื้น บรรจงเล่นเพลงพิณต่อไปแต่ทว่าเสียงพิณเหมือนไร้ชีวิต ไม่เพราะพริ้งเหมือนในครั้งแรก ไทเฮาชันกายลุกขึ้น "พอได้แล้ว เจ้าไปเสียก่อนไว้ข้าเรียกค่อยเข้ามารับของรางวัล"เฟิ่งหลิวหอบเอาพิณเดินหลบออกจากตรงนั้น "ฝ่าบาทวันนี้ ทำไมมาหาแม่ได้" "เสด็จแม่ ลูกได้ยินเสียงพิณจึงเดินตามเสียงพิณมา"ไทเฮายิ้ม "ไพเราะหรือไม่"สีหน้าเรียบเฉยเพียงแต่ยิ้มบางๆ "นางเป็นเพียงคณิกา ความสามารถก็มีเพียงเท่านี้ เพียงแต่ในวังหลวงไร้เสียงเพลงคร่ำครวญเช่นนี้จึงแปลกไป"ไทเฮาอมยิ้ม "นางเป็นนางคณิกาเช่นนั้นหรือ ทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่แรก น่าเสียดาย แม่ไม่เข้าใจฝ่าบาทเหตุใดถึงนำนางคณิกาเข้ามาในวังหลวง ด้วยแม่รู้นิสัยฮ่องเต้ดีว่าไม่ชอบหญิงมากรัก ฮ่องเต้มักจะเดียดฉันท์หญิงที่ทำกิริยายั่วยวน"ถอนหายใจหงุดหงิดไม่น้อยที่ตอบคำถามไทเฮาไม่ได้ "คนเราเช่นไรถึงจะเลือกชาติกำเนิดของตัวเองได้ จะร้องขอต่อเง็กเซียนว่าข้าไม่อยากเกิดมาเป็นยาจกหรือนางคณิกาเช่นนั้นหรือ เมื่อลืมตาดูโลกครั้งแรกเราทุกคนล้วนสะอาดบริสุทธิ์สวยงาม ทว่าสภาพแวดล้อมและ การเลี้ยงดูจึงทำให้มีกิริยาต่างกันไป เฟิ่งหลิวนางยังพอทีจะขัดเกลาได้ ความดื้อรั้นของนางไม่ได้มีมากมายจนเกินรับมือ เพียงแต่นางยังเด็กนัก" "ลูก เพียงแค่เกรงว่านางจะสร้างความวุ่นวายให้กับวังหลวง" "องค์หญิงสิบสี่ คนนั้นต่างหากที่สร้างความวุ่นวายให้กับฮ่องเต้และแค้วนใต้ของเรา นางเพียงแค่….สวรรค์ส่งนางมาตามที่ควรจะเป็น"หยุดคำพูดไว้แค่นั้น "สวรรค เช่นนั้นหรือ…"ไทเฮารีบเปลี่ยนเรื่อง "ฮ่องเต้ทำองค์หญิงสิบสี่หายไปไยจึงไม่กระตือรือร้นหรือว่าเลิกใส่ใจแล้ว ก่อนหน้านั้นแม่เห็นฮ่องเต้จะเป็นจะตายถึงกับต้องยกทัพไปรบกับแค้วนเหนือ” หมิงซื่อนิ่งไม่ตอบคำถาม “ลูกเหมือนเด็กที่มักจะชอบของเล่นแปลกใหม่”ไทเฮายิ้ม “ฮ่องเต้คิดไปเองฝ่ายเดียวแม่เห็นฮ่องเต้เรียกหาแต่หยิ่วเยว่เพียงผู้เดียวตลอด หากพูดถึงของเล่นหยิ่วเย่วคงเป็นของเล่นชิ้นโปรดที่เล่นได้ไม่เบื่อ แม่ตั้งใจให้เฟิ่งหลิว เดินหมากเป็นเพื่อนยามที่ฮ่องเต้ต้องการเพื่อนเดินหมาก" "ทำไมต้องเป็นนาง"ไทเฮาอึ้ง “ฮ่องเต้ก็รู้แม่ใฝ่ฝันจะมีองค์หญิงมานานแค่ไหนแล้ว เสด็จพ่อด้วยโรคร้ายจึงจากเราไปง่ายดายมีเพียงเจ้าที่เป็นดั่งเพื่อนแต่จะเหมือนลูกสาวได้อย่างไร”หมิงซื่อถอนใจ “หากเสด็จแม่ถูกใจนางลูกก็ไม่ขัดแต่การใช้ชีวิตในวังหลวงเกรงว่าจะไม่เหมาะกับนางนัก” “เพียงเจ้าดีกับนางมากหน่อยคิดเสียว่านางเป็น น้องสาว” ภาพความทรงจำ เมื่อครั้งเสี้ยนตี้ปราบดาภิเษก ร่างอุ้ยอ้ายของสนมนางหนึ่งของ ฮ่องเต้แค้วนใต้องค์ก่อน ก้มลงคุกเข่าตรงหน้าใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับใบหน้าของเฟิ่งหลิวอย่างที่สุด ไทเฮาเวลานั้นยืนอยู่เคียงข้างฮ่องเต้องค์ใหม่ “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”สายตาอ่อนโยนลง ไม่คิดจะฆ่าแกงลำพังตัวนางก็ลำบากแล้วยังมีลูกในท้องอีก “ในท้องของเจ้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของ เฉินจงเต๋อหากข้าปล่อยเจ้าไปเช่นไรจึงจะมั่นใจได้ว่าเจ้าและลูกในท้องของเจ้าจะไม่กลับมาทวงบัลลังก์คืน”คำพูดเหมือนจะอยากรอฟังคำตอบที่นาง จะพูดเพื่อให้สบายใจ “ข้าเป็นเพียงสนมปลายแถวอีกทั้งยังถูกส่งเข้าวังอย่างฝืนใจ ฝ่าบาทคิดว่าข้าจะแค้นเคืองฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ การก่อกบฏครั้งนี้ถือว่าได้ช่วยปลดปล่อยข้าให้หลุดพ้นจากขุมนรกในวังหลวงแห่งนี้"แววตาเจ็บช้ำการแกร่งแย่งในวังหลวงคนในเท่านั้นที่จะเข้าใจ คนนอกอาจมองว่าสุขสบาย แต่ใครจะรู้เล่าหากไม่ได้เข้ามาสัมผัส คำว่าหน้าชื่นอกตรมจึงใช้ได้ดีในวังหลวงแห่งนี้ ใบหน้างดงามเชิดลำคอขึ้นสูง เหมือนกับจะบอกว่าหากขอร้องไม่เป็นผลก็ฆ่าข้าเสีย แววตาเด็ดเดี่ยว ไทเฮาในตอนนั้น กอดแขน เสี้ยนตี้ไว้แน่นเขย่าแขนเบาๆ ก็ในเมื่อหมิงซื่อเองยังเยาว์เช่นกัน หัวอกคนเป็นแม่ “ฝ่าบาท อย่าทำร้ายนางเลย”หันมอง ไทเฮาที่แสดงสีหน้าว่าเห็นใจ อย่างที่สุด "ทหาร อารักขานางออกไปนอกวังหลวง เปลี่ยนทั้งชื่อแช่ นำเงินทุนให้นางพอประทังชีวิต”สนมนางนั้น เพียงแต่ก้มลงคุกเข่ากับพื้น ตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เคยได้พบเจอนางอีกเลย จนกระทั่งวันนั้นวันที่พบไฉ่เฟิ่งหลิว “น้องสาว” “น้องสาว ถือว่าแม่ขอ”หมิงซื่อยิ้มน้อยๆ สายตาคมเหม่อมองไปทิศทางที่เฟิ่งหลิว กำลังยืนคุยอยู่กับอวิ้นกุ้ย ...ตำหนักใหญ่… “เสี่ยวหาน วันนี้ข้าจะเดินหมากเจ้าตาม ไฉ่เฟิ่งหลิวที่ตำหนัก” “ฝ่าบาท แล้ว...แล้วสนมหยิ่วเยว่ ยังจะให้มาปรนนิบัติในคืนนี้หรือไม่” “ให้นางมา ข้ายังไม่ได้บอกว่าไม่ให้นางมาในคืนนี้” “เสี่ยวหานก็แค่..นึกว่าฝ่าบาทจะ..เอ่อ เอ่อ” “ไปได้แล้ว ข้าแค่จะเดินหมาก”เสี่ยวหานวิ่งหายลับออกไปทันที เฟิ่งหลิวในอาภรณ์สีชมพูที่ไทเอาประทานให้ สวยสดใส “โอ้โห้ วันนี้เฟิ่งหลิวเหตุใดน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้”เสี่ยวหานแกล้งสัพยอก เฟิ่งหลิวหมุนตัวไปมา ยิ้ม น้อยๆ เริ่มจะชินกับการยิ้มเพียงบางเบาไม่ต้องฉีกยิ้ม วันนี้ต้าหยุ๋สอนวิธีการเดิน และการยิ้มอีกทั้งการพูดตามพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาที่เน้นเรื่องพวกนี้เสียก่อน “ฝ่าบาท ต้องการเดินหมาก”สีหน้ากังวล นึกเห็นใจเฟิ่งหลิวไม่น้อย “ไม่เป็นไร ข้าชอบเดินหมากที่สุด”พูด เรื่องจริงแต่เสี่ยวหานกับคิดว่าเฟิ่งหลิวเพียงแค่ให้กำลังใจตัวเอง “กับข้า เจ้าไม่ต้องฝืนใจก็ได้ เราสองคนก็แค่ ข้ารับใช้ในวังหลวงแห่งนี้ข้าเข้าใจดี ว่า หากพูดอย่างที่ใจคิดมากไปจะไม่เป็นผลดีแต่กับข้า เจ้าไม่ต้องเกรงใจรับรองข้าไม่นำสิ่งที่เจ้าพูดไปพูดต่อให้ใครได้ยิน”เฟิ่งหลิวยิ้มซาบซึ้งใจไม่น้อยกับมิตรภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้นที่นี่ “เฟิ่งหลิวจะจำใส่ใจ”เสี่ยวหานยักคิ้ว เดินนำเหิ่งหลิวไปยังตำหนักใหญ่ หยิ่วเยว่ไปถึงก่อนแล้ว กำลังเดินหมากอยู่กับ หมิงซื่อสี่ทำสีหน้าเคร่งเครียด เฟิ่งหลิวปรับท่าทีเสียใหม่ ย่อตัวลงอ่อนช้อย “ไฉ่เฟิ่งหลิวถวายพระพรฝ่าบาทและพระสนม” หมิงซื่อเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมากล้อม สายตาสบเข้ากับดวงตาใสของเฟิ่งหลิว ร่างอ้อนแอ้น กับอาภรณืสีชมพูรับกับผิวขาวอมชมพู ใบหน้าสวยใสปราศจากเครื่องสำอาง แต่กลับสวยได้รูปทั้งปากคอคิ้วคาง ทำไมไม่แต่งแต้มใบหน้า เหมือนเมื่อครั้งเจอกันคราวนั้นซึ่งนางถูกแต่งแต้มจนเป็นสาวเต็มตัว แต่ตอนนี้กลับไร้เดียงสาจนหมิงซื่อประหลาดใจ หรือว่าเขาเข้าใจผิดกันว่านางเป็นคณิกากร้านโลก หยิ่วเยว่ เหลือยตามอง ปฏิกิริยาของหมิงซื่อ แล้วหันไปยิ้มหวานให้กับ เฟิ่งหลิว “มานี่มานั่งแทนที่ข้าตรงนี้”ลุกขึ้นดึงแขนเฟิ่งหลิวมานั่งแทนที่ตัวเอง เฟิ่งหลิวหันหน้าหันหลัง กลัวหมิงซื่อจะดุเอาแต่่ หยิ่วเยว่พยักหน้าช้าๆ เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องกลัว “หมากในกระดานมองอย่างไรตอนนี้หยิ่วเยว่ก็เข้าตาจน ต้องยอมแพ้ในไม่ช้าเฟิ่งหลิวคิดหาวิธีที่จะพลิกกลับมาชนะให้จงได้ มองหมิงซื่อที่กำลังครุ่นคิดเช่นกัน เสี่ยวหาน อุ่นน้ำเตรียมชงชา “ไทเฮาประทานขนมจากตำหนักชิงหนิงกงมา ให้ฝ่าบาทลองชิมและเน้นย้ำว่า อย่าให้แม่นางเฟิ่งหลิวอยู่ดึกนัก ไทเฮาตั้งใจให้นางร่ายกลอนให้ฟังก่อนนอน”หมิงซื่อขมวดคิ้ว “นางคณิกาเช่นเจ้า อ่านโคลงร่ายกลอนเป็นด้วยหรือ” “เฟิ่งหลิว กำลังเรียนรุ้เรื่องเหล่านี้ยังไม่ชำนาญ ไทเฮาทรงเมตตาให้ต้าหยู๋สั่งสอน” “ต้าหยุ๋ เจ้าหมายถึงนางคุมกฎของวังหลังนะหรือ”เฟิ่งหลิวยิ้มแค่เพียงบางๆ อย่างที่ถูกสอนมา “ด๊แล้ว หยิ่วเยว่เองก็ได้ต้าหยู๋สั่งสอนมาเช่นกันอีกหน่อยเฟิ่งหลิวคงจะเก่งไม่น้อย”หมิงซื่อนึกทึ่งในความสามารถของต้าหยู๋ไม่น้อยนี่แค่เพียงไม่กี่วัน ยังสามารถปราบพยศเฟิ่งหลิวได้เพียงนี้เปลี่ยนม้าป่าให้เป็นม้าบ้าน หารู้ไม่ว่าเฟิ่งหลิวจงใจให้หมิงซื่อเห็นเฟิ่งหลิวในอากัปกิริยาที่ต่างออกไปต่างหาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD