หมิงซื่อเหลือบตามอง เฟิ่งหลิว ต่อไปนี้แตะต้องนางไม่ได้อีกทั้งยังเป็นน้องสาวบุญธรรมอย่างนั้นหรือ รู้สึกใจหายอย่างประหลาดไทเฮาจงใจปกป้องเฟิ่งหลิวจนออกนอกหน้าแม้แต่เขายังไม่เว้น ไทเฮาคิดอะไรอยู่กันแน่ เฟิ่งหลิวควรค่าให้ปกป้องอย่างนั้หรือ
“ต้าหยู๋พยุงหยางหนี่ลุกขึ้น ได้เวลาเรียนการเย็บปักแล้วอย่ามาเสียเวลาที่นี่”
ต้าหยู๋พยุงเฟิ่งหลิวให้ลุกขึ้นตามคำบัญชา พาเดินออกจากตำหนักของหมิงซื่อทันที
หยิ่วเย่วมองจนลับสายตาส่วนอิงเผย ส่งสายตาเคียดแค้นจิตใจสับสนวุ่นวายหาความสุขไม่ได้ ความทะนงตนว่าเหนือกว่าคนอื่นหดหายไปเทียบไม่ได้แม้แต่นางคณิกาคนหนึ่งด้วยซ้ำไป
ค่ำคืนมืดมิด กลิ่นดอกไม้ราตรีหอมขจรขจายไปไกล หยิ่วเย่วนั่งรอ ในห้องบรรทม
เฟิ่งหลิวหอบตำราเดินกลับมาที่ห้องพัเพียงลำพัง เงาร่างสูงตระหง่านของใครบางคน
“เฟิ่งหลิวถวายพระพรฝ่าบาท”ใจเต้นโครมคราม
“ข้ากำลังจะกลับเดินเล่น ไกลไปหน่อย”เฟิ่งหลิวพยักหน้าช้าๆ
“น้อมส่งฝ่าบาท”หมิ่งซื่อจ้องตากลมของเฟิ่งหลิว
“รังเกียจข้าอย่างนั้นหรือ” รวบร่างบางแมาแนบอก
“อย่าทำอย่างนี้”ใจเต้นโครมคราม หมิงซื่อเสียดายว่าของที่ต้องตาต้องใจจะหลุดมือไปเพราะคำบัญชาของไทเฮาเช่นนั้นหรือ เขาไม่เข้าใจตัวเองใจหนึ่งก็คิดว่าอย่าแตะต้องนาง นางไม่คู่ควรแต่อีกใจไยดื้อรั้นพาตัวเองมายืนคอยที่หน้าห้องพักของเฟิ่งหลิว
“ปล่อยเพคะ”
“ไม่ ตอบข้ามาเจ้ารังเกียจข้าหรือไรกับผู้อื่นข้าเห็นเจ้ายิ้มหัว”เฟิ่งหลิวยิ้มบางๆ
“ฝ่าบาทไม่กลัวหรือว่า หญิงกร้านโลกอย่างเฟิ่งหลิวจะยั่วยวนจนฝ่าบาท ไม่อาจห้ามใจกระทำเรื่องฝืนใจที่ไม่อาจฝืน ความต้องการของร่างกาย”เกือบจะเผลอเป่าลมออกจากปากกว่าจะสรรหาคำพูดมาได้
“นางคณิกา เจ้าคิดเป็นแต่เรื่องแบบนี้เช่นนั้นหรือ”หลุบตามองพื้น
“หากเกรงว่าจะเสียเกียรติฝ่าบาทก็ทรงอย่าอยู่ใกล้เฟิ่งหลิวอีกเลย เฟิ่งหลิวก็แค่เพียงคณิกา ไร้ศักดิ์”
“ข้ารู้ดีไม่ต้องตอกย้ำ ข้าไม่เคยปรารถนาในตัวเจ้าอย่าสำคัญตัวเองให้มากนัก”สะบัดตัวจ้ำเท้าออกจากตรงนั้นไปเฟิ่งหลิวทรุดกายลงบนเก้าอี้ถอนหายใจยาวเหยียด
กลับไปที่ตำหนักหยิ่วเย่ว ลุกพรวดพาดแสดงสีหน้าดีใจที่ หมิงซื่อกลับมา
ฉุดหยิ่วเยว่ขึ้นไปบนแท่นนอนโถมตัวลงทาบทับ บดริมฝีปากอย่างเร่าร้อนรุนแรง ด้วยอารมณ์คุกรุ่นภายใน หยิ่วเย่วตกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดเพียงแต่สงสัยว่าหมิงซื่อเป็นอะไรไป
พายุอารมณ์สงบลง หมิงซื่อนอนเอามือก่ายหน้าผาก หยิ่วเย่วขยับตัวเบาๆ หมายจะบีบนวดให้แต่ หมิงซื่อกลับพลิกตัวนอนตะแครงหันหลังให้ หยิ่วเย่วเปลี่ยนเป็นลุกมาสวมเสื้อผ้าแล้วจากไปเงียบๆ ปล่อยให้หมิงซื่อจมอยู่กับความคิดเพียงลำพัง
“ต้าหยู๋ เจ้าบอกข้าว่าได้ยินนางกำนัลขององค์หญิงสิบสี่พูดถึงค่าจ้าง ที่ให้เฟิ่งหลิวอย่างนั้นหรือ”
“เพคะไทเฮา เกรงว่าเฟิ่งหลิวโดนหลอกแน่แล้ว”ไทเฮาถอนหายใจ
“เฟิ่งหลิวยังเด็กนักเรื่องบางเรื่องนาง ต้องการคนปกป้อง”
“ไทเฮาให้เฟิ่งหลิวรั้งตำแหน่งหยางหนี่เหมือนเป็นการกดดันฝ่าบาท”
“กดดันฮ่องเต้ ..อย่างไรกันข้าเพียงแค่ปกป้องเฟิ่งหลิว”
“ไทเฮาทรงเห็นสายตาของฝ่าบาทยามจ้องมองเฟิ่งหลิวหรือไม่”ไทเฮาเอามือทาบอก
“จริงสิข้าลืมไปเสียสนิท สวรรค์ช่างเล่นตลกอะไรเช่นนี้”
“ไทเฮา หมายความว่าอย่างไร”
“ไม่ไม่มีอะไรเพียงแค่ข้า คิดไม่ถึงลืมไปว่าหมิงซื่อกับเฟิ่งหลิวเคยรวมเดินทาง รอนแรมมาด้วยกันก่อนที่จะมาที่นี่หาก ไม่มีใจคง ผลักไสเฟิ่งหลิวตั้งแต่อยู่ที่แคว้นเหนือแล้วจะหอบหิ้วนางมาทำไมกัน”
“ใช่เพคะไทเฮา ลำพังแค่ท่านแม่ทัพอวิ้นกุ้ยพูด ว่านางรู้เบาะแส กับฝ่าบาทพูดว่าพบเฟิ่งหลิวระหว่างทางเหมือนทั้งสองคนคน กำลังช่วยกันปกป้องเฟิ่งหลิว แต่เพียงแค่แสดงออกต่างกัน”
“หากจะเป็นอย่างนั้น เราควรทำเช่นไรดี”
“ไทเฮา คิดว่าอย่างไรดีละเพคะ”
“ข้า...ในใจข้าตอนนี้ ไม่เห็นควรว่าองค์หญิงสิบสี่จะเหมาะกับตำแหน่งฮองเฮาแม้แต่น้อย”ต้าหยู๋อมยิ้ม
“แล้วใครกันที่จะเหมาะกับตำแหน่งนี้กัน”