“ดีขึ้นหรือยังอิง”
เหนือฟ้าจัดแจงหายาดมและที่นั่งพักให้อิงจันทร์ได้หายใจสะดวก นั่นก็คือห้องพักทางด้านหลังของร้าน จุดสำหรับนั่งพักแล้วก็ดูภาพจากกล้องวงจรปิดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะพี่เหนือ ขอบคุณนะคะฉันมาเป็นภาระพี่อีกแล้ว” อิงจันทร์ยิ้มติดเกรงใจ
หลังจากรับประทานอาหารฝีมือเหนือฟ้าจนอิ่มแปร้ คนที่เกือบจะหน้ามืดเป็นลมก็เริ่มกลับมามีแรงเดินหน้าต่อ
งานช้างของจริงคือค่ำคืนนี้ต่างหาก..
“อย่าคิดมาก พี่เต็มใจทำให้เรา”
“มื้อหน้าฉันต้องทำอาหารให้พี่ทานบ้างแล้ว”
“ไม่เป็นไรดีกว่าอิง พี่เกรงใจ อิงเหมาะกับเป็นนักชิมดีแล้ว” เหนือฟ้ายิ้มแหย พลางยกมือปรามให้เธอหยุดความคิดที่จะเข้าครัว
ไม่ใช่แค่รสชาติการทำอาหารที่แย่ แต่เธอเคยเกือบทำไฟไหม้ครัวมาแล้วต่างหาก
เพราะงั้นอิงจันทร์เลยตั้งปนิธานกับตัวเอง ว่าให้เอาดีทางด้านอื่นยังดีกว่า ต่อให้ต้องเจรจางานกับเหล่านักธุรกิจที่โหดหินแค่ไหนก็ยังดีกว่าการเข้าครัวทั้งนั้น
“พี่อิงขา”
“ม่อน”
เจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วมาแต่ไกล ก่อนหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มจะวิ่งเข้ามาสวมกอดอิงจันทร์อย่างแนบแน่น
“ม่อนคิดถึงพี่อิงจังเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยแวะมาที่ร้านเลยนะคะ งานเยอะเหรอ” เลม่อนยิ้มกว้างจนเห็นเหล็กดัดฟันในปาก
เธอเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปีที่น่ารักสดใสสมวัย หากได้ยืนเทียบเคียงอิงจันทร์ก็เหมือนกลางวันกับกลางคืน ภาพลักษณ์ภายนอกของสองสาวต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว
อีกคนสดใสแต่อีกคนมืดครึ้มมาเชียว..
“นิดหน่อย ช่วงนี้พี่มีอะไรให้ทำเยอะ แต่ถ้าว่างจะรีบมาหาม่อนเลย” อิงจันทร์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดูอีกฝ่าย
“พี่อิงน่ารักที่สุด ม่อนรักพี่อิง”
“ไอ้ม่อน”
เลม่อนที่ทำท่าจะเข้าไปสวมกอด ถูกเหนือฟ้าคว้าลำคอเหมือนอุ้มลูกแมวให้ถอยห่าง
“อิงไม่ค่อยสบาย ไปทำงานของเธอได้แล้วไอ้เด็กแสบ” เหนือฟ้ายิงฟันขู่ใส่ แต่แทนที่เลม่อนจะสลดเธอกลับหันมาจ้องหน้าอิงจันทร์แทน
“ว่าแต่พี่อิงรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ ม่อนเห็นพี่มองตั้งนานแล้ว”
“ไอ้ม่อน..”
เหนือฟ้าส่ายหน้าติดเอือมระอา ก่อนจะเบิกตากว้างเล็กน้อย เมื่อได้เห็นว่าอิงจันทร์แอบมองใครสักคนผ่านภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่พอดี
“ทำไมเหรอ ม่อนมีอะไรหรือเปล่า” อิงจันทร์ยกมือปรามชายหนุ่มให้เลม่อนได้พูดก่อน
“อย่าหาว่าม่อนนินทาลูกค้าเลยนะ แต่ครั้งที่แล้วคนที่มากับพี่ผู้หญิงไม่ใช่พี่ผู้ชายคนนี้ค่ะ” เลม่อนป้องปากกระซิบให้ได้ยินแค่สองคน แต่เหนือฟ้ากลับหูผึ่งตามไปด้วย
“เมื่อไหร่เหรอม่อน ที่ม่อนเห็นผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่คนนี้”
“ไม่แน่ใจว่าสองหรือสามวันก่อนนี่เองค่ะ ม่อนเปิดให้พี่อิงดูจากกล้องวงจรปิดได้นะ ม่อนไม่ได้เป็นเด็กเลี้ยงแกะแน่นอน”
หลักฐานเด็ดคงเป็นกล้องวงจรปิดย้อนหลัง..
ทั้งสามคนมองภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ประกอบคำพูดของเลม่อน ขณะที่เจ้าตัวลากเก้าอี้มานั่งเลื่อนหาไฟล์โฟลเดอร์ย้อนหลังด้วยสีหน้ามั่นใจ
“แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นเลม่อนเด็กเลี้ยงแกะ”
“เฮียเหนืออย่าขัดสิ ม่อนจะพิสูจน์ให้เห็น.. ว่าไม่ได้โกหกแน่นอน”
มื้อค่ำของอิงจันทร์คือดินเนอร์สุดหรูบนภัตตาคารในเครือเคย์ยูกรุ๊ป ไม่ว่าจะร้านอาหารหรือโรงพยาบาลในระแวกตัวเมือง ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ตระกูลวรโชติเมธาทั้งสิ้น
ตึกสูงระฟ้าทำให้บรรยากาศที่มองเห็นจากมุมนี้สบายตา แต่ใจดวงน้อยกลับสั่นไหว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่านไตรภูมิและคุณหญิงญานี ท่ามกลางสายตาลูกชายตัวดีที่กดดันเธอไม่พัก
“ทานเยอะๆ นะหนูอิง ลุงรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไหร่ แต่ยังไงหนูอิงก็ยังมีลุงกับป้าแล้วก็เจ้าเอกอีกคนนะ” ผู้เป็นประมุขของวรโชติเมธา ตักอาหารใส่จานอิงจันทร์ด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณค่ะคุณลุง อิงจะผ่านมันไปให้ได้ค่ะ”
“ดีแล้วลูก อิงเป็นคนเก่งในสายตาป้านะ ป้าพร้อมช่วยเราเสมอ”
อิงจันทร์ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ แต่ตวัดสายตามองเอกชยินร์ตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์
“อิง” เอกชยินทร์เรียกชื่อหญิงสาวที่นั่งข้างกาย ก่อนจะลอบถอนหายใจทิ้งด้วยความอึดอัดใจ
“คะ พี่เอก” อิงจันทร์ละสายตาจากทั้งสองสามีภรรยาตรงหน้า เธอหันมองเขาที่ส่งสายตาเชิงให้พูดเรื่องที่คุยกันไว้ในตอนนี้เลย
“เธอมีอะไรจะบอกพ่อฉันไม่ใช่เหรอ”
“จะให้ฉันพูดตอนนี้เลยเหรอ เราทานอาหารกันให้อิ่มแล้วค่อย..”
“ตอนนี้เลย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแทรกจังหวะ ทั้งที่เธอยังพูดไม่จบเลยด้วยซ้ำ
นั่งรวมตัวกันยังไม่ถึงสิบนาที เอกชยินทร์ก็ออกอาการทางสีหน้าทันทีว่าไม่สบอารมณ์
เขายกแขนดูนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ ราวกับมีนัดกับใครอีกคน แต่ก็ยังสละเวลามาเล่นละครตบตาพ่อแม่ตัวเอง
“มีอะไรหรือเปล่าหนูอิง” ท่านไตรภูมิไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง
ความพ่อลูกกันย่อมมองออกว่าตอนนี้เอกชยินทร์มีแผนการอะไร แต่ประมุขของบ้านก็ไม่ได้มีท่าทีหนักใจเท่าไหร่ ราวกับรู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่มีใครมาขวางงานแต่งครั้งนี้ได้
“ใช่ค่ะ อิงมีเรื่องที่สำคัญอยากจะบอกคุณลุงกับคุณป้า” อิงจันทร์กลั้นใจเอ่ยบอก ใบหน้าสวยหวานปั้นยิ้มทั้งที่นัยน์ตาเศร้า
เขาใจร้ายเกินไปหรือเปล่า..
“เรื่องอะไรเหรอลูก”
“เรื่องงานแต่งงานน่ะค่ะคุณป้า..”
ทุกคนบนโต๊ะอาหารพร้อมใจกันเงียบเพื่อรอเธอพูดให้จบ โดยเฉพาะเอกชยินทร์ที่จ้องมองริมฝีปากของอิงจันทร์ไม่วางตา
หากทว่า..
“งานแต่งของเราสองคน สามารถจัดเตรียมให้เสร็จเรียบร้อยภายในหนึ่งเดือนได้หรือเปล่าคะ” พูดจบอิงจันทร์ก็หอบหายใจหนัก พลางคลี่รอยยิ้มให้พ่อกับแม่เอกชยินทร์ได้วางใจ
เธอตัดสินใจเลือกแล้ว..
“นี่เธอ..”
“คุณลุงก็รู้ใช่มั้ยว่าอิงมีงานที่เหลือต้องทำอีกเยอะเลย อิงไม่อยากต้องรอนาน”
สิ้นประโยคนั้นอิงจันทร์ก็บีบมือเข้าหากันแน่น สะกดกลั้นอารมณ์ที่อยากจะร้องไห้ให้ลึกสุดหัวใจ
ม่านตาคู่สวยสั่นไหวไม่กล้าหันมองสีหน้าของเอกชยินทร์ ริมฝีปากสีระเรื่อแห้งผาดจนต้องเม้มเข้าหากันกลบความสั่นประหม่า
ได้ยินแค่เสียงถอนหายใจจากคนข้างกาย หัวใจที่สั่นระรัวก็แทบจะปลิวเตลิดไปแล้ว
“ลุงก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเราอยากเร่งรัดขนาดนั้น ลุงจะได้รีบทำการ์ดเชิญแขกตั้งแต่ตอนนี้เลย” ท่านไตรภูมิหัวเราะชอบใจ
“เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรออิงจันทร์” เอกชยินทร์พูดกรอดไรฟัน ก่อนจะกระชากแขนอิงจันทร์ให้หันหน้ามาคุย
“เอกทำไมพูดกับน้องแบบนั้นล่ะลูก” คุณหญิงญานีรีบห้ามปราม แต่เขากลับไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากหญิงสาวที่กลืนน้ำลายตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย
“อิงตามใจคุณลุงกับคุณป้าเลยนะคะ ว่าต้องการแบบไหนหรือว่าอยากได้ตรีมงานอะไร”
“หนูอิงเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวก็พอ เรื่องงานหรือชุดลุงจะให้คนจัดเตรียมให้เรา”
เอกชยินทร์กระตุกยิ้มมุมปากให้กับความร้ายกาจของอิงจันทร์ หากเมื่อวานเธอไม่ตอบรับข้อตกลง วันนี้เขาคงไม่โผล่แม้แต่เงาหัวมาให้เห็นแน่นอน
“เธอนี่มัน.. หน้าไม่อายชะมัดเลย” เขาแสยะยิ้มมุมปาก ดูท่าจะโดนจิ้งจอกสาวเล่นเหลี่ยมใส่เสียแล้ว
“ตาเอก”
“เจ้าเอก”
เจ้าของใบหน้าสวยที่มีหยาดน้ำตาเอ่อรื้นคลอเบ้า หันมองชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มเย็นเยือก
“อิงยังยืนยันคำเดิม.. อิงอยากแต่งงานกับพี่เอกค่ะ”