ปัญหาใหญ่สุดของบ้านไม่ใช่การที่ทั้งสามหนุ่มมีปากเสียงหรือมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่คือการที่ทุกคนแย้งกันในเรื่องมัดผมให้คนมือเจ็บ หลังมีรายงานว่าท่านเกษมกำลังจะเดินทางกลับถึงไทย และอยากให้พาปลายฟ้ามาพบทันที
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าในบ้านของตระกูลราพณามีผู้หญิงสักคน ไม่ใช่ลูกผู้ชายล้วนที่มีนิสัยดิบเถื่อนเหมือนกันหมดแบบนี้
ทั้งสามคนยืนกอดอกมองปลายฟ้าที่นั่งตัวลีบอยู่ปลายเตียง ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ปลายฟ้าเลื่อนสายตามองสิงหราชเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับได้รับสีหน้าเย็นชาตอบกลับมา เธอเลยขยับสายตามองไปยังธีระที่ลูบคมหน้าอย่างคิดไม่ตก ไม่ต่างอะไรจากเธียรที่ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อเช่นกัน
“ใครจะเป็นคนมัดผมให้เธอก่อนไปเจอป๊า ปล่อยผมฟูไปแบบนี้ ป๊าคงต้องด่าว่าเราดูแลเธอไม่ดีแน่” เสียงเข้มของเธียรเอ่ยขึ้น เขามองคนแขนเจ็บเพราะลื่นล้มในห้องน้ำจนต้องใช้เฝือกอ่อนดามไว้พร้อมกับยิ้มแห้ง
ปลายฟ้ายิ้มเจื่อนส่งกลับไป เพราะตอนนี้กิจกรรมเดียวที่เธอไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือการหวีผม ยิ่งผมยาวสยายจนถึงกลางหลังการจะใช้มือข้างเดียวสางเส้นผมมันเลยไม่ค่อยถนัด เธอถึงปล่อยให้ผมฟูตั้งแต่เมื่อวาน
“เฮียธีร์เคยมีแฟนไม่ใช่เหรอ น่าจะเคยทำให้แฟนไม่ใช่หรือไง”
“แฟนเก่าพี่มีแต่ผมสั้น”
“เฮียสิงห์ต้องเป็นคนทำแล้วแหละ เฮียเคยมีพี่สาวนี่ ส่วนผมไม่สันทัดเรื่องนี้เท่าไหร่”
คราวนี้เธียรเป็นคนปัดป้องที่จะทำ เพราะเขาไม่สันทัดอย่างที่พูด นอกจากแข่งรถแล้วก็ยิงธนู เธียรก็ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งด้านไหนอีกแล้ว
“พี่สาวเหรอ..” ปลายฟ้าพึมพำเสียงเบา เพราะไม่รู้ว่าพี่สาวที่พวกเขาพูดถึงคือใคร
“แต่ฉันไม่ได้เปิดร้านซาลอนนะไอ้เด็กนี่” สิงหราชตวัดสายตามอง
“เออก็ถูกของเฮีย งั้นเราพาไปทำผมที่ร้านก็ได้นี่” เธียรออกความเห็น
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูให้ป้าจ๋ามาทำให้ก็ได้ ถ้าทุกคนจะ.. ทำหน้าเจื่อนกันขนาดนั้น” ปลายฟ้ายิ้มติดเกรงใจ
หลายวันที่ผ่านมานี้เหล่าลูกชายของตระกูลราพณาปฏิบัติตัวต่อเธอราวกับน้องคนเล็กของบ้านไปโดยปริยาย แต่เหมือนเป็นน้องสาวคนเล็กที่โตท่ามกลางชายฉกรรจ์ที่นิสัยต่างกันสุดขั้วมากกว่า
“ถ้างั้นพี่ไปรอข้างนอกละกัน เหลือสองคนก็ตัดสินใจกันเอานะ” พูดจบธีระก็ปลีกตัวเดินออกจากห้อง ก่อนเธียรจะหันไปยิ้มแหยใส่สิงหราชแล้วเดินปาดหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในห้องที่เหลือเพียงแค่เธอกับเขา มันทำให้สาวเจ้าประหม่าเล็กน้อย ถ้าหากให้เลือกความน่ากลัวในบรรดาสามคนพี่น้อง สิงหราชนี่แหละที่ดูเข้าใจยากที่สุดแล้ว
“ไปนั่ง” สิงหราชเพยิดหน้าให้เธอไปนั่งที่หน้าตู้กระจก
“ภ้าเฮียไม่อยากทำก็ไม่เป็นอะไรนะ หนูสบายมาก ไม่ซีเรียสเลย”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำ บอกให้ไปนั่ง”
ปลายฟ้าพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ มองภาพสะท้อนในกระจกที่ฉายภาพเธอในชุดเดรสกระโปรงตัวโปรด แต่ผมเผ้าปล่อยยาวจนคลุมไหล่ยาวไปถึงสันหลัง
คนตัวสูงยืนซ้อนจากทางด้านหลัง แววตาดูวิตกกังวลเล็กน้อย ในมือถือหวีท่าทางดูเก้ๆ กังๆ จนปลายฟ้าเกือบจะหลุดขำแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้
“แค่หวีอย่างเดียวก็ได้นะ หนูไม่ซีเรียสอยู่แล้ว” เธอบอกพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
“จะไปพบท่านเกษมก็ต้องเรียบร้อยหน่อย ฉันไม่อยากถูกว่าเหมือนกันว่าดูแลเธอไม่ดี” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบสายตามองปลายฟ้าผ่านกระจกแล้วลอบถอนหายใจทิ้งออกมา
สิงหราชหยิบหวีขึ้นมา มืออีกข้างก็จับผมนิ่มแล้วหลับตาลงครู่หนึ่ง แค่คิดเสียว่ามันเป็นภารกิจอย่างหนึ่งที่จะทำให้เขาได้เรียนรู้ ว่าการหวีผมเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับชายอกสามศอก ถึงแม้จะไม่เคยทำให้ใครมาก่อนก็ตาม
“โอ้ย”
เสียงร้องลั่นทำให้สิงหราชหยุดชะงักเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าปลายฟ้ามองเขาจนตาเขียว โทษฐานหวีแรงจนกระชากหนังหัวเธอไปเมื่อครู่
“หนูเจ็บนะ ทำแรงขนาดนี้เฮียคิดว่าสางขนม้าอยู่เหรอไง”
“ใครใช้ให้ไว้ผมยาวขนาดนี้ มันพันกันหมดแล้ว”
“ถ้ามือไม่เจ็บหนูก็หวีทุกวันอยู่แล้ว แค่นี้ก็บ่นเป็นคนแก่เลยนะคะ”
พูดจบปลายฟ้าก็กอดอกใส่อย่างแง่งอน มองสิงหราชที่ถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง ก่อนจะแก้ผมที่พันกันอย่างเบามือ
เขาใช้หวีสางเส้นผมให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาดูตั้งใจจนปลายฟ้าเผลอลอบมองเขาไม่วางตา
ความเงียบเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากทั้งคู่ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไร โดยเฉพาะสิงหราชที่กำลังแบ่งผมเป็นสองฝั่ง แล้วใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดในการพยายามถักเปียให้ปลายฟ้า
“เฮียจะถักเปียเหรอ” ปลายฟ้าเลิกคิ้วถาม
“คิดว่าฉันทำอะไรล่ะ” เขาตอบกลับเสียงขุ่น ดูหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้ออกมาเหมือนการเปียผมเลยสักนิดเดียว
“คิดว่ากำลังขยำผมหนูให้เป็นกองขี้อะไรสักอย่าง” ปลายฟ้าเบะริมฝีปากเหมือนเด็กที่พ่อแม่ทำผมให้แล้วไม่ถูกใจ
“ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยก็แล้วกัน” สิงหราชกระแทกเสียงตอบกลับ เพราะเหลือแค่เขาคนเดียวแล้วที่ต้องรับทำหน้าที่นี้ต่อ
“ไม่เคยหวีผมให้สาวหรือไงคะ อายุปูนนี้แล้วทำอย่างกับไม่เคย”
สิงหราชไม่ได้สนใจคนตัวเล็กที่นั่งกระหมิบปากบ่นเขาขณะที่ทำผมให้ นานหลายสิบนาทีกว่าที่เจ้าตัวจะพึงพอใจในฝีมือ สุดท้ายผลงานก็ออกมาเป็นเปียธรรมดาแบบลวกค่อนไปทางเละ แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นเปียโดยที่ปลายฟ้าได้แต่ยิ้มรับ เพราะรู้ว่าสิงหราชตั้งใจทำให้ แม้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาไม่เหมือนที่คิดเอาไว้ก็ตาม
“ไปตัดผมซะ” เสียงจริงจังเอ่ยบอก หลังจากมัดหนังยางเสร็จเรียบร้อย “ยุ่งยากไปหมด”
“ไว้มาตั้งนานกว่าจะยาว ทำไมต้องตัดด้วย”
“มันเหมือนผี”
“เฮียสิงห์”
ปลายฟ้าชะเง้อคอมองหาท่านเกษมหลังมายืนรอที่เกตทางออกได้ประมาณสิบห้านาที โดยที่มีธีระและเธียร รวมถึงสิงหราชที่ยืนประกบข้างจนเหมือนว่าเธอจะมีบอดี้การ์ดเป็นลูกชายตระกูลราพณาไปซะแล้ว
“เฮียสิงห์ถักเปียได้โคตรห่วยเลย” เสียงเธียรกระซิบบอก แต่ปลายฟ้าดันได้ยินเข้า
“หุบปาก” สิงหราชตอบกลับ ซึ่งเป็นปกติของทั้งสองคนที่จะจิกกัดกัน ปลายฟ้าเองก็เริ่มชินกับพี่น้องบ้านนี้แล้วเหมือนกัน
ไม่นานชายวัยกลางคนที่อายุราวห้าสิบกว่าก็เดินออกมาพร้อมภรรยาอย่างคุณหญิงแก้วรุ้งที่เดินประกบข้างมาด้วย ทันทีที่ปลายฟ้าได้เห็นท่านเกษมเจ้าตัวก็หันไปสะกิดสิงหราชให้มองด้วยกัน
ปลายฟ้าโคลงศีรษะแล้วเดินเข้าไปหา ก่อนจะยกมือไหว้คนอายุมากกว่าอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะคุณป้า”
หญิงรุ่นแม่รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีจ้ะ แล้วนี่แขนไปโดนอะไรมาลูก”
“ลื่นล้มในห้องน้ำน่ะค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวก็หาย” ปลายฟ้าระบายยิ้มให้อีกคนที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ปลายฟ้า.. ลุงเสียใจด้วยนะกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ท่านเกษมพูดปลอบ “เราต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ”
โทนเสียงของท่านเกษมอ่อนโยนกับคนที่เขาเอ็นดูเหมือนลูกสาวอีกคน ก่อนที่จะเงยหน้ามองเหล่าลูกชายตัวแสบของบ้านแล้วหรี่ตามองเชิงดุ แน่นอนว่าผมของปลายฟ้าสะดุดตาไม่น้อย จนท่านเกษมเองก็พอจะเดาออกว่าเป็นฝีมือของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ยืนเรียงกันอยู่สามคน
“เดี๋ยวผมถือกระเป๋าให้นะครับป๊า” เสียงทะเล้นของเธียรพูดขึ้น ก่อนจะเข้าไปช่วยลากกระเป๋าให้
“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” ธีระยกมือไหว้แล้วยิ้มน้อยๆ
“สวัสดีครับท่านเกษม คุณหญิงแก้วรุ้ง” สิงหราชพนมมือไหว้แล้วค้อมศีรษะลง ทำเอาปลายฟ้าถึงกับขมวดคิ้วงง เพราะสรรพนามที่แต่ละคนเรียกท่านเกษมต่างกันไป โดยเฉพาะสิงหราชที่ใช้คำดูห่างเหินที่สุด
“จำเจ้าธีร์กับเธียรไม่ได้ใช่มั้ย เคยเจอกันตอนเด็กๆ น่าจะลืมกันหมดแล้ว” ประมุขของบ้านราพณาชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ขณะที่พากันเดินออกจากสนามบินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัว
“ตอนนั้นหนูปลายฟ้ายังตัวเล็กอยู่เลยลูก” คุณหญิงแก้วรุ้งเสริม “จำกันไม่ได้สินะเนี่ย”
สิ้นประโยคนั้นเธอก็ส่ายหน้าว่าจำไม่ได้ ก่อนจะหันไปหัวเราะแห้งกับธีระและเธียร เพราะพวกเขาก็คงจะจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เหมือนกัน
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีเอารถมา” สิงหราชเอ่ยอย่างสุภาพ ท่านเกษมชำเลืองมองพลางวางมือลงบนบ่าเขาแล้วพยักหน้ารับทราบ
“ผมก็เหมือนกันครับ เอาไว้เจอกันที่บ้านนะครับ” ธีระเองก็ขอตัวกลับก่อนเช่นกัน ก่อนจะค้อมศีรษะลาแล้วเดินออกไปทันที
“ไม่กลับด้วยกันเหรอสิงห์” เสียงนุ่มของคุณหญิงแก้วรุ้งเอ่ยถาม
“ไม่ดีกว่าครับ ขอตัวนะครับ” พูดจบสิงหราชก็ปลีกตัวออกไป ทิ้งไว้แต่คำถามให้กับปลายฟ้าว่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้เป็นยังไงกันแน่ เพราะตอนมาสนามบินพวกเขาทั้งสามคนก็นั่งรถคันนี้มาด้วยกัน แต่ทำไมขากลับถึงบอกว่าเอารถมาเอง
แต่สุดท้ายปลายฟ้าก็ปัดข้อข้องใจนั้นทิ้งไป เพราะยังไงเธอก็ไม่คิดจะอยู่กับพวกเขานานอยู่แล้ว อย่างน้อยเงินประกันที่เธอเพิ่งจะได้รับมาคงจะทำให้เธอพอตั้งหลักได้
ถึงมันจะยากแค่ไหน แต่เธอจะผ่านมันไปให้ได้
เพราะมนุษย์ถูกออกแบบมาให้พบเจอความเจ็บปวด และเพราะเจ็บปวดก็แปลว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่
“อยู่ที่บ้านป้าเป็นยังไงบ้าง พวกพี่ๆ น่ารักดีมั้ย” สาวรุ่นแม่ถามไถ่หลังจากทุกคนขึ้นมานั่งบนรถแล้วเรียบร้อย
“พูดให้ดีนะครับน้องสาว” เธียรพูดด้วยทีท่าติดตลก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะครืนของผู้เป็นบิดามารดา
“ตาเธียรแกล้งอะไรเราหรือเปล่าลูก”
“ไม่เลยค่ะคุณป้า พี่เธียรเขาน่ารักมากค่ะ”
“ผมเป็นเด็กดีนะครับม้า อย่าทำให้น้องคิดหนักสิครับ”
“เพราะมีพวกเขาเลยค่ะคุณลุง.. หนูถึงผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาได้” ปลายฟ้าที่นั่งข้างเธียรระบายยิ้มให้พวกท่านที่หันกลับมามองวางใจ ทว่านัยน์ตากลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะยังคิดถึงคนที่จากไป
“ผ่านมันไปให้ได้นะปลายฟ้า ลุงเป็นกำลังใจให้”
“ป้าก็เหมือนกันนะลูก เข้มแข็งไว้นะคนเก่ง”
ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านต่างก็พูดให้กำลังใจปลายฟ้า โดยที่มีเธียรคอยตบบ่าเบาๆ
“ขอบคุณค่ะคุณลุง ขอบคุณนะคะคุณป้า” เธอยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะคลี่รอยยิ้มเศร้าแล้วก้มหน้าประสานมือไว้บนตัก พลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเธียรสะกิดแล้วทำท่าประกอบให้เธอยิ้ม
“ยิ้มไว้ตัวเล็ก”
“อะ.. อื้ม”
“เก่งมากครับ”
หลังกลับจากสนามบินปลายฟ้าก็ช่างใจอยู่นานว่าจะเริ่มต้นพูดเรื่องนี้กับท่านเกษมยังไง เพราะแค่เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบสองอาทิตย์ก็เกรงใจจะแย่แล้ว ตอนนี้มันคงถึงเวลาที่เธอจะต้องอยู่กับความเป็นจริงให้ได้สักที
แม้ว่ามันจะโหดร้ายจนไม่อยากยอมรับก็ตาม..
“คุณลุงคะ หนูเข้าไปนะคะ”
“เข้ามาเลย”
หลังได้ยินเสียงอนุญาต ปลายฟ้าก็เปิดประตูห้องทำงานของท่านเกษมเข้าไป แล้วก็พบว่าคนรุ่นพ่อกำลังหน้าเคร่งเครียดกับงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้หลังเห็นเธอเดินตัวลีบไปนั่งที่โซฟา
“เรามีอะไรหรือเปล่า” ชายที่สวมแว่นทรงกลมเปิดช่องไฟให้พูด
“คือ.. หนูอยากมาขอบคุณคุณลุงกับคุณป้าค่ะที่ช่วยหนูทุกอย่างเลย” เธอยิ้มบางๆ ราวกับจะบอกลา “แต่หนูคงรบกวนคุณลุงไม่นานหรอกค่ะ หนูพอมีเงินอยู่บ้าง.. น่าจะหาเช่าห้องพักแล้วก็เอาเงินไปเรียนต่อได้”
คู่สนทนาพยักหน้ารับ เพราะรู้เรื่องราวจากสิงหราชหมดแล้วเรื่องที่บริษัทพ่อของปลายฟ้ามีปัญหาหนัก จนตอนนี้ปลายฟ้าน่าจะมีเงินเก็บเดียวก็คือเงินประกันของพ่อตัวเอง
“เราไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ แต่หนูไม่อยากรบกวนคุณลุง แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”
สายตาของหญิงสาวติดเกรงใจ เธอเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พลางระบายยิ้มเศร้าออกมา
“รู้มั้ยว่าลุงอยากมีลูกสาวมาก แต่พอมีเจ้าธีร์กับเธียรก็ดันเป็นผู้ชายหมด ขนาดมีลูกบุญธรรมอย่างเจ้าสิงห์ก็เป็นผู้ชายอีก เฮ้อ” ท่านเกษมพูดเชิงตัดพอแต่ยังยิ้มได้
ใบหน้าสวยนั่งเงียบเป็นผู้ฟังที่ดี ฉับพลันเรียวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ เมื่อได้ยินคำว่าลูกบุญธรรมออกจากปากของคนตรงหน้า
“ลุงเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวอีกคน เหมมันเองก็เป็นเพื่อนที่ลุงรักมาก การทำธุรกิจหาคนจริงใจกับเรายากนะปลายฟ้า แต่พ่อหนูเป็นคนที่จริงใจจนลุงเกรงใจเลย”
ปลายฟ้าพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเหลือบสายตามองไปบนเพดานเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“เหมมันเป็นคนดี แล้วก็เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีมาโดยตลอด”
ท่านเกษมเองก็คงจะนึกถึงความหลังในตอนที่เขากับเหมรัตน์โลดแล่นไปในวงการของการทำธุรกิจ จนล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน ถ้าไม่เจอวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา บริษัทของเหมรัตน์ก็คงไม่ต้องปิดตัวลงแล้วตอนนี้ก็น่าจะไปได้ไกลไม่ต่างจากเขาแน่นอน
“ลุงรู้สึกแย่จริงๆ ที่บินกลับมาช่วยงานไม่ทัน แล้วลุงก็รู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่เหมมันต้องการก็คงอยากให้ลูกสาวของมันปลอดภัย ลุงคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ทำอะไรเพื่อมันเลย”
“แต่ถ้าจะให้หนูอยู่ที่นี่..”
“ลุงถามความคิดเห็นของคนที่นี่แล้วนะ ทุกคนอยากให้เราอยู่ต่อ”
ปลายฟ้าเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นอารมณ์อ่อนไหว จนอีกคนที่ได้เห็นก็แย้มยิ้มอย่างเอ็นดู เธอยกมือขึ้นนวดใต้ตาแล้วเบะปากคล้ายคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ราวกับว่าหัวใจดวงน้อยได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง อย่างน้อยก็ทำให้ปลายฟ้าได้รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
“สภาพจิตใจของเราไม่เหมาะที่จะอยู่คนเดียวนะปลายฟ้า ยิ่งเจ้าสิงห์โทรมาบอกลุงว่าเราอาการไม่ค่อยดี ลุงก็ยิ่งไม่ไว้ใจเราเลย ลุงแค่อยากให้เรามองพวกเราเป็นเหมือนครอบครัว ลุงไม่ติดขัดอะไรเลยถ้าจะมีลูกสาวเพิ่มอีกคน”
ประโยคหนึ่งที่สะดุดหูคนฟังก็คงจะเป็นตอนที่บอกว่าสิงหราชโทรไปฟ้องเกี่ยวกับเธอ เห็นเป็นผู้ชายเงียบขรึม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้ใหญ่ขี้ฟ้องเหมือนกันด้วย
“ถ้างั้นหนูไม่รบกวนเวลาคุณลุงแล้วดีกว่าค่ะ” ปลายฟ้ายกมือไหว้ลา ก่อนจะชะงักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “แต่ว่า.. หนูขอถามอะไรคุณลุงอย่างนึงได้ไหมคะ”
“ได้สิ อะไรล่ะ”
“เฮียสิงห์เกี่ยวข้องกับอะไรกับคุณลุงเหรอคะ”
“สิงหราชเป็นลูกบุญธรรมของลุงเอง เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อสามเดือนที่แล้วนี่เอง”
ดวงตาคู่สวยเบิกโตอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ถึงว่าทำไมสิงหราชถึงหน้าไม่เหมือนธีระกับเธียร แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้มีเรื่องราวบาดหมางจนปลายฟ้าสังเกตเห็น ออกจะดูรักใคร่กลมเกลียวกันเสียด้วยซ้ำ
“สิงหราชก็สูญเสียครอบครัวเหมือนกับหนู เขาเสียพ่อกับแม่แล้วก็พี่สาวไปในวันเกิดของตัวเอง”
“เขา.. เขาน่ะเหรอคะ”
“ใช่ ตอนนั้นก็น่าจะอายุไล่เลี่ยกับหนูนั่นแหละ แต่พอลุงรับมาเป็นลูกบุญธรรมหลังจากนั้นลุงก็ส่งเขาไปเรียนอเมริกา อยากให้ไปเริ่มต้นใหม่ ไปหาสังคมใหม่ๆ ที่นั่น แล้วก็เพิ่งกลับมาช่วยงานเพราะลุงขอ” ท่านเกษมพูดด้วยสีหน้าภูมิใจในตัวลูกคนนี้ไม่น้อย ถึงสิงหราชจะเป็นพวกไม่ค่อยพูด แต่เขาแสดงออกทางการกระทำชัดเจนมาโดยตลอด แล้วก็เป็นคนที่อยู่ในโอวาทของท่านเกษมอย่างดีเช่นกัน
“เพราะแบบนี้เขาถึงดูแข็งกระด้างใช่มั้ย” ปลายฟ้ายิ้มแห้ง “ขอโทษนะคะแต่ว่า.. เขาดุมากแล้วก็ชอบสั่งนู่นนี่ด้วยค่ะ”
“สิงห์เขาก็เป็นคนแบบนั้นนั่นแหละ ไม่เคยมีน้องสาวมาก่อนคงจะทำตัวไม่ถูก”
ปลายฟ้านั่งซึมจ๋อย คล้ายว่าจะนึกขึ้นได้หลายอย่างว่าก่อวีรกรรมหรือพูดจาอะไรใส่สิงหราชไปบ้าง ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เผชิญเรื่องราวเลวร้ายมาไม่ต่างกัน
“แต่เชื่อลุงเถอะว่าเขาหวังดี.. สิงหราชไม่เคยคิดร้ายกับใคร”
เธอเชื่อหมดใจว่าคนอย่างสิงหราชคงไม่เคยมีน้องสาวมาก่อน เพราะขนาดแค่ถักเปียหรือหวีผมยังไม่ผ่านเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูตั้งใจที่จะทำมันออกมา จนปลายฟ้ารู้สึกผิดไม่น้อยเลยที่เผลอพูดจาแรงใส่เขาในคืนนั้นที่งานเลี้ยง
เขาเองก็เจ็บปวด แต่แค่ไม่พูดหรือฟูมฟายให้ใครเห็นเท่านั้นเอง
“แล้วถ้าเรามีคำถามว่าทำไมลุงถึงให้สิงหราชคอยดูแล..”
ปลายฟ้าเลื่อนสายตาขึ้นสบกับคนตรงหน้า ขณะที่น้ำตาเอ่อคลอจนดวงตามองอะไรไม่ชัดเจน
“เพราะว่าคนที่จะเข้าใจเรามากที่สุด.. ก็คือคนที่เคยผ่านมันมาเหมือนกัน แล้วลุงก็เชื่อว่าเจ้าสิงห์จะพาเราผ่านมันไปได้เหมือนกัน”
“เฮียจะไปรู้อะไร เคยเข้าใจคนอื่นด้วยเหรอ เคยเจ็บปวดหรือสูญเสียแบบหนูหรือยัง”
ปลายฟ้าเดินคอตกออกมาจากห้องทำงานของท่านเกษม เบะริมฝีปากกับน้ำตาที่เอ่อคลอ พยายามเดินตามหาสิงหราชไปทั่ว ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นเจ้าของใบหน้าคมคายกำลังนั่งเลื่อนดูงานผ่านไอแพดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทันทีที่เจอเขาปลายฟ้าก็ล็อคเป้าหมายอย่างรวดเร็ว เธอเดินลงไปนั่งที่โซฟาข้างสิงหราช โดยเว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งช่วงแขน
“เฮียสิงห์ทำอะไรอยู่เหรอคะ” เธอถามขึ้นพลางชะโงกหน้ามอง อยากจะชวนคุยกลบความรู้สึกผิดของตัวเองที่เคยทำไว้กับเขา
“ดูงานต่างประเทศ”
“ที่ไหนหรอ”
“อเมริกา”
“ตอนนี้ที่นั่นหน้าหนาวหรือยังคะ แบบว่า.. หิมะแรกของปี”
สิงหราชลอบถอนหายใจ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองเธอแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน
“มีอะไร” สิงหราชเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะการแสดงออกของเธอมันผิดแปลกเกินไป
ปกติปลายฟ้าแทบจะจิกกัดกับเขาตลอดเวลา ไม่พ้นเหตุการณ์ที่ถักเปียให้ คนอายุน้อยกว่าทำหน้าบูดบึ้งตลอดเวลาเหมือนไม่ชอบผมที่เขาทำให้ แม้ว่าจะตั้งใจจนสุดความสามารถก็ตาม
“คือ.. หนูอยากมาขอโทษที่วันนั้นพูดจาไม่ดีใส่ ที่บอกว่าเฮียไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไงกับการสูญเสีย”
“ช่างเถอะ ฉันไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว”
ใบหน้าคมคายโบกมือปฏิเสธคล้ายว่าไม่อยากใส่ใจ แต่มันกลับยิ่งทำให้ปลายฟ้ารู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ที่อยากให้คนอื่นเข้าใจความเจ็บปวดของตัวเอง แต่เธอกลับไม่เคยพยายามเข้าใจคนอื่นเลย
“เฮียจะรับคำขอโทษของหนูใช่มั้ยคะ”
“จะรับไว้ก็แล้วกัน”
ปลายฟ้าคลี่รอยยิ้มอย่างโล่งใจ แต่ใบหน้าก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี
“แล้วทำไมถึงอยากขอโทษฉัน”
“หนูไปถามเรื่องเฮียกับคุณลุงมา..”
อีกฝ่ายตวัดสายตามอง “เสียมารยาทอีกแล้วนะปลายฟ้า”
“ขอโทษ..” เธอค้อมศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกโกรธที่เขาพูดแบบนั้น แต่เพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าผู้ชายอย่างสิงหราชเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี
“แต่เธอก็พูดถูกแล้วนี่”
“ถูกยังไงเหรอคะ”
“ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอหรอก ไม่รู้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน.. เพราะฉันไม่ใช่เธอ”
ดวงตาคู่สวยเป็นประกายยามได้ยินประโยคเชิงปลอบใจ ถึงสีหน้าของผู้พูดจะเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก แต่พอมองให้กว้างขึ้นเธอกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเช่นกัน
“แล้วเธอก็คงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันเหมือนกัน.. ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน” สิงหราชหลุบตามองต่ำ การเห็นหน้าเธอก็เหมือนว่าเขาส่องกระจกถึงอดีตตัวเอง ว่าชะตากรรมบางอย่างก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงพ้น
“แต่เฮียก็ควรมีวิธีการพูดที่ดีกว่านี้นะคะ”
“ฉันปลอบคนไม่เก่ง”
“แล้วก็ง้อคนไม่เก่งด้วยหรือเปล่า” ปลายฟ้ายู่ริมฝีปากก่อนจะยิ้มร่า “ไม่อินกับความโรแมนติคเหรอคะ”
สิงหราชส่ายหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่อีกคนกลับรู้สึกอยากจะพูดคุยด้วยจนเผลอขยับตัวเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม
“แล้วเฮียรู้มั้ยว่าทำไมมันถึงต้องเจ็บขนาดนี้ด้วย” เสียงหวานถามต่อ ขณะที่จ้องสันครามคมของเขาไปด้วย
“ความทรงจำ” สิงหราชตอบกลับเสียงเรียบ เป็นประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ปลายฟ้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเสียใจมากมายขนาดนี้
เพราะสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำยังคงอยู่กับเธอไม่จางหายไปไหน..
“แล้วเฮียผ่านมันไปได้ยังไง.. หนูอยากผ่านไปให้ได้เหมือนเฮียบ้าง”
สิ้นเสียงเธอสิงหราชก็กดปิดหน้าจอแล้ววางไอแพดไว้ข้างตัว ก่อนจะหันหน้าสบสายตาคู่สนทนา นัยน์ตาคู่คมฉายแววจริงจัง ยามมองลึกเข้าไปในดวงตาของปลายฟ้าที่เขามั่นใจว่าประกายความสดใสยังหลงเหลืออยู่ภายในตัวเธอ
“มันก็มักจะมีเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ที่มากพอจะทำให้ฉันอยากอยู่ต่อ”
“เช่นอะไร เฮียยกตัวอย่างให้..”
รอยยิ้มดูร้ายกาจผุดขึ้นบนมุมปากของสิงหราช ก่อนเขาจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วดันศีรษะคนตัวเล็กทีนึง
“ต้องดูแลเธอไง ยัยแมวแปดชีวิต”
“อ้ะ”
ปลายฟ้ามุ่ยหน้าพลางยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง ทว่าเสี้ยววินาทีที่ดวงตากลมโตขยับขึ้นสบนัยน์ตาคู่คม เธอก็ถึงกับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง พลันหัวใจหญิงสาวก็เต้นแรงอย่างไร้สาเหตุ ติดอยู่ในห้วงภวังค์สายตาของสิงหราชที่มองมานานหลายวินาที
ใบหน้าสง่างามมีรอยยิ้มบางๆ ประดับไว้บนมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่สวยงามเหมือนวสันตฤดู แววตาที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาปลายฟ้าสัมผัสได้ทั้งหมดว่าคนตรงหน้าจริงใจ
“เธอจะผ่านมันไปได้ปลายฟ้า..”
“เฮีย..”
“ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้แล้วใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น.. เข้าใจมั้ย”
ในเวลานี้สายตาของสิงหราชนั้นช่างอบอุ่น เหมือนเตาผิงไฟในฤดูหนาวที่มีหิมะโปรยปราย ไม่ต่างอะไรกับภายในใจของปลายฟ้าที่เหน็บหนาว แต่กลับมีผู้ชายคนนี้ปรากฏขึ้นข้างกายทำให้หัวใจเธออุ่นซ่านไปทั้งดวง
“ฉันถามว่าเข้าใจมั้ย หืม” สิงหราชเลิกคิ้วถาม ใบหน้ากลับมาอยู่ในโหมดจริงจังอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“เข้าใจว่าอะไร”
“เข้าใจว่า..” ปลายฟ้าเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มทั้งสองข้างที่ร้อนผ่าวจนแทบไหม้
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงงกับทีท่าของเธอ เมื่อคนตัวเล็กลุกขึ้นจากโซฟาแล้วจ้องหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจ้ำอ้าวหายไป ทิ้งให้สิงหราชนั่งส่ายหน้ากับท่าทางของอีกฝ่ายเมื่อครู่
ปลายฟ้าวิ่งกลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับรีบปิดประตูแล้ววิ่งไปที่หน้ากระจก ก่อนจะพบว่าแก้มขาวที่ร้อนผ่าวแดงฉานราวกับมะเขือเทศสด หนำซ้ำอกข้างซ้ายยังเต้นรัวจนเจ้าตัวยังรู้สึกได้
“ทำไมใจมันเต้นแรงแบบนี้” ปลายฟ้ายกมือขึ้นทาบอก ในหัวติดอยู่กับรอยยิ้มของสิงหราชที่ไม่ว่าจะสลัดออกไปเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้นสักที
“ชอบ.. ชอบที่เขายิ้มหรอ”
ปลายฟ้าเบิกตาโต ก่อนจะยกมือขึ้นอุดปากแล้วตบแก้มเรียกสติ
บางครั้งการตกหลุมรักใครสักคนก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือสายตา ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบให้เราตกหลุมรักทั้งสิ้น
“แค่เขายิ้มเนี่ยนะปลายฟ้า.. แค่รอยยิ้ม” ใบหน้าสะสวยดูเพ้อฝัน พลางกะพริบตาสองสามทีเพื่อดึงสติตัวเองกลับมา
หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของสิงหราช หัวใจมันพองโตเต็มไปด้วยความรู้สึกดีดีที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย
นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าจังหวะตกหลุมรัก..