CHAPTER 2 เด็กดื้อจะโดนอุ้ม

3885 Words
งานศพดำเนินการมาจนถึงวันสุดท้าย โดยที่การจัดงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ปลายฟ้าก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เธอร้องไห้จนใต้ตาบวมช้ำ บีบมือตัวเองแน่นปลายเล็บจิกเข้าเนื้อจนเป็นรอย สายตาคู่หม่นทอดมองไปบนท้องฟ้าเห็นควันไฟจากเมรุที่ลอยขึ้นสู่อากาศ ฉับพลันใบหน้าเศร้าโศกไร้ชีวิตชีวาก็มีน้ำตาไหลจนยืนแทบไม่ไหว แต่ก็ได้คนของสิงหราชคอยช่วยดูแลแขกเหรื่อท่านอื่นอีกแรง ทำให้เธอค่อยหายใจสะดวกไปหนึ่งเปราะ อาการใจหายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง.. ปลายฟ้าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจ มับวูบโหวงเบาหวิวจนเริ่มชาที่ปลายประสาทมือและเท้า การจะทำใจยอมรับว่าพวกเขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้วมันเป็นเรื่องยากเกินจะรับไหว สุดท้ายก็คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันสักที สิงหราชคอยยืนมองอยู่ไม่ไกลเพราะต้องช่วยจัดของชำร่วยรวมถึงส่งแขกแทนปลายฟ้า เพราะสภาพจิตใจของเธอในตอนนี้คงไม่พร้อมจะพูดคุยกับใครสักเท่าไหร่ “ปลายฟ้า” หญิงสาวที่ยืนส่งดวงวิญญาณของครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายละสายตาจากกลุ่มควัน ก่อนจะหันหน้าสบสายตากับหญิงรุ่นราวคราวแม่ แต่แต่งหน้าจัดเต็มโดยเฉพาะลิปสติกสีแดงที่เคลือบอยู่บนริมฝีปาก “เงินประกันของพ่อแก ตกลงแกจะเอายังไง” คู่กรณีเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “มันเป็นของพ่อไม่ใช่ของป้า ถ้าตามกฎหมายยังไงหนูก็มีสิทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ บอกแล้วไงว่าหนูไม่ให้” ปลายฟ้าโต้ตอบเสียงค่อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเพราะไม่อยากมีปัญหาต่อหน้าแขกท่านอื่น “แกคิดว่าฉันมาขอร้องแกเหรอ บ้านหลังนั้นแกก็จะได้ไปไม่ใช่เหรอไง” “แล้วยังไง” “แกไม่รู้เหรอว่าตอนนี้พี่น้องพ่อแกเขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน” สิ้นประโยคที่ฟังดูเห็นแก่ได้ของอีกฝ่าย ปลายฟ้าก็ถึงกับหน้าชาด้วยความโกรธ ที่ผ่านมาญาติทางฝั่งพ่อไม่เคยช่วยเหลือเจือจุนครอบครัวของเธอเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว พ่อของเธอทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำแบกรับภาระโดยไม่บ่นอะไรสักคำ “ป้าไม่เสียใจที่พ่อเสียเลยเหรอ คิดแต่เรื่องเงินอย่างเดียวเลยหรือไง ไม่ละอายสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ ก็ละอายกับคนตายหน่อยเถอะ” เสียงสั่นที่ฟังดูโกรธเคืองส่งผลให้น้ำตารื้นคลอเบ้า “ยัยเด็กนี่” อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกลับถลึงตาเกือบจะง้างฝ่ามือขึ้นทำร้ายร่างกายปลายฟ้า แต่ได้ธีระเข้ามาสมทบก่อนจนทำให้ป้าของปลายฟ้าชะงักไป “มีอะไรกันเหรอครับ” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำบ่งบอกว่าเป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอเลิกคิ้วถามปลายฟ้า ก่อนจะหันมองไปทางหญิงรุ่นแม่ที่แสร้งโปรยยิ้มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฉันเป็นป้าของปลายฟ้า เธอล่ะ เป็นใคร” เธอแนะนำตัวแล้วยกมือขึ้นกอดอก “ผมชื่อธีระครับ เป็นลูกท่านเกษม” ธีระแนะนำตัวแล้วแยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวไปหยุดอยู่ข้างปลายฟ้าที่ดูจากภายนอกก็รู้ว่าเธอแอบเกร็งเวลาอยู่กับเขาเหมือนกัน ทั้งคู่เพิ่งจะได้เจอกันเมื่อเช้านี้เอง ธีระเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงดูมีภูมิฐาน แต่ก็เป็นผู้ชายที่ดูเข้าถึงได้ยาก ท่าทางรวมถึงสายตาคล้ายกับสิงหราชไม่มีผิด แค่ธีระจะยิ้มง่ายกว่าสิงหราชเท่านั้นเอง เหตุการณ์ที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่ในสายตาของสิงหราชทั้งหมด เขาละหน้าที่จากการแจกของชำร่วย ส่งต่อให้เธียร์ที่ยืนด้านข้างแทนแล้วรีบก้าวเท้าตรงไปยังปลายฟ้าทันที “มีปัญหาอะไรกัน” สิงหราชถามขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบวงสนทนาที่ทั้งปลายฟ้าแล้วก็ป้าของเธอ ไม่มีใครกล้าสบตาด้วยเลย ธีระไหวไหล่ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวขอไปช่วยงานตรงนู่นก่อน ฝากด้วยละกัน” “มีอะไร” นัยน์ตาคู่คมกดสายตามองปลายฟ้า สลับกับมองป้าของเธอไปพร้อมกัน “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่มีเรื่องเข้าใจผิดหน่อย” “แน่ใจเหรอ” ปลายฟ้าพยักหน้ารับแทนคำตอบ แต่สิงหราชมองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอนั้นพูดโกหก เขาแค่ไม่อยากถามให้มากความกับเรื่องส่วนตัว ก่อนหันไปมองป้าของปลายฟ้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ก็แค่คุยกันตามประสาป้าหลาน” “เธอเป็นคนของผม ถ้าคุณมีปัญหา คุยกับผมได้” สุ้มเสียงรื่นหูแต่แฝงความน่าเกรงขามผ่านนัยน์ตาลึกของสิงหราชทำให้อีกคนไม่กล้าที่จะต่อบทสนทนาด้วย ได้แต่ยิ้มแหยแล้วปลีกตัวเดินออกไปจากตรงนี้แทน ทว่าคนที่ดูท่าจะไม่ดีก็เห็นมีแต่ปลายฟ้า เธอตัวงอใช้มือยันเข่าเอาไว้หลังเกิดอาการหน้ามืดคล้ายว่าจะเป็นลม ลมหายใจฮืดฮาดดังขึ้น ก่อนที่ปลายฟ้าจะเงยหน้ามองสิงหราชแล้วทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง โชคดีที่สิงหราชคว้าร่างบางเอาไว้ได้ทัน ท่ามกลางแขกเหรื่อในงานที่ยกมือป้องปากส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “ปลายฟ้า” สิงหราชเขย่าตัวเธอ ฉับพลันเรียวคิ้วเข้มก็ขมวดแน่นหลังจากที่อีกคนหมดสติไปต่อหน้าต่อ เขาช้อนร่างหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมอกเดินออกจากงานตรงไปยังรถตู้ที่มีคนของสิงหราชประจำจุดอยู่แล้ว สิงหราชวางร่างที่ไร้สติของปลายฟ้าอย่างเบามือ ก่อนจะหันไปสั่งคนขับรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไปโรงพยาบาล” “ครับ คุณสิงห์” นานหลายชั่วโมงที่ปลายฟ้ายังไม่ฟื้น หลังมือมีสายน้ำเกลือเชื่อมต่ออยู่ จากการที่คุณหมอตรวจร่างกายแล้วพบว่าเจ้าตัวพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลให้เป็นลมหมดสติ สิงหราชนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างเตียงของปลายฟ้า สายตาเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับลอบถอนหายใจทิ้งเป็นระยะ กระทั่งได้ยินเสียงพึมพำจากคนบนเตียงดังขึ้น สิงหราชถึงได้หลุดออกจากภวังค์ความคิดตัวเอง สิงหราชผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หลุบตามองสาวเจ้าบนเตียงที่ยังดูงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ “บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้นอน” ไม่ทันจะพูดคุยอะไร สิงหราชก็ดุเธอทันที “คนมันนอนไม่หลับจะนอนได้ยังไง..” คนป่วยกระหมิบปากบ่น ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบบริเวณห้อง แล้วก็พบว่าตัวเองนอนแช่เป็นผักอยู่บนเตียงโรงพยาบาล “ฉันได้ยิน” หญิงสาวลอบพึมพำในใจ พลางชำเลืองมองสิงหราชแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของตระกลูราพณา ปลายฟ้าก็ใช้ชีวิตเป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากับสิงหราช มีประโยคเหน็บแหนมกันตลอดทุกทีที่เจอเพราะอีกฝ่ายชอบชี้นิ้วสั่งเธอตลอดเวลา ทุกการเคลื่อนไหวของชีวิตมักจะมีผู้ชายอย่างสิงหราชวนเวียนอยู่รอบกายเสมอ จนแทบจะขยับตัวทำอย่างอื่นไม่ได้เลย “จะทำอะไร” “ทำไมเฮียพาหนูมาที่นี่ แล้วที่งานล่ะ” “นอนลง” สิงหราชไม่ตอบแต่ออกคำสั่งกับคนที่ทำท่าจะหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงแทน “แต่หนูไม่เป็นอะไรแล้ว เผื่อเฮียยังไม่รู้ว่าหนูแข็งแรงเหมือนหมูที่ออกกำลังกายเช้าเย็น” ปลายฟ้าพยายามจะแสดงให้เขาเห็นว่าเธอดีขึ้น แต่สภาพร่างกายภายนอกที่สิงหราชเห็นไม่ได้ทำให้ไว้ใจเจ้าตัวเพิ่มขึ้นเลยสักนิดเดียว “บอกให้นอน” “ก็บอกว่า..” “นอน” เรียวปากกระจับเม้มเป็นเส้นตรงเพราะเถียงต่อไม่ออก ถึงจะยังห่วงหน้างานแต่ปลายฟ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายตอนนี้ไร้เรี่ยวแรง รวมถึงการต่อล้อต่อเถียงกับสิงหราชก็มีแต่เธอเองที่จะสูญเสียพลังงานอันน้อยนิดไป “ที่งานมีคนของฉันคอยดูแล ไม่ต้องห่วง” สิงหราชลุกขึ้นปรับเตียงให้ปลายฟ้านั่งได้สะดวก ก่อนจะเข้าสู่โหมดเคร่งเครียดเพราะรอบข้างไม่มีใครเลยนอกจากเธอกับเขา “เลือกมหา’ลัยที่จะเข้าได้หรือยัง” เขาถามเสียงเรียบ เป็นเรื่องที่คุยกันเมื่อวันก่อนกับการเรียนต่อมหาวิทยาลัยของปลายฟ้า แต่เธอก็ยังเลือกที่จะยืนยันคำตอบเดิมด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก “หนูไม่อยากเรียน” “ทำไม” “เรียนไปแล้วได้อะไร ถ้าวันที่จบไม่มีพ่อกับแม่ ไม่มีปกป้อง” ประโยคคำตอบที่ดูสิ้นหวังทำเอาสิงหราชถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาช้อนสายตาขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้แววตาของคนฟังเป็นประกาย “ชีวิตเธอไม่ได้สิ้นสุดแค่ตอนที่ไม่มีพวกเขา ถ้าไม่เรียนต่อแล้วจะไปทำอะไร” น้ำเสียงเย็นชาเจือแววตักเตือนทำสาวเจ้าหน้าหงอไม่มีอะไรจะตอบโต้ นอกจากนั่งไหล่ลู่คอตกแล้วบีบมือเข้าหากันแน่น “แล้วหนูจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ ไม่ชอบอยู่โรงพยาบาลนาน” “ดีขึ้นเมื่อไหร่ ก็ออกเมื่อนั้น” ปลายฟ้าถอนหายใจแล้วพองลมจนแก้มป่อง คิดไม่ตกว่าหลังจากนี้จะเอายังไงต่อ แต่ในขณะที่เธอคิดจนสมองแทบจะฝ่อ สิงหราชกลับนั่งไขว่ห้างอ่านข่าวสารผ่านหน้าจอมือถือไม่หยี่ระทีท่าร้อนรนของเธอแม้แต่น้อย “แล้วเฮียไม่มีอะไรทำเหรอคะ ถ้าไม่ก็ไปทำเถอะค่ะ ไม่ต้องนั่งเฝ้าหนูก็ได้” ปลายฟ้ายิ้มแห้ง อีกคนช้อนสายตาขึ้นมอง “ที่ฉันต้องดูแลเธอ เพราะมันเป็นคำสั่งของท่านเกษม” “ออกนอกลู่นอกทางนิดหน่อยหนูก็ไม่ฟ้องคุณลุงหรอกค่ะ เฮียเองก็โตแล้ว น่าจะมีหลายอย่างให้ต้องทำมากกว่าเฝ้าหนู” “การโกหกมันไม่ดี ไม่รู้เหรอ” “บางทีถ้ามันจำเป็นหนูว่าก็พอจะอนุโลมได้นะคะ” “การโกหกมีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง มีแค่คนโกหกเท่านั้นแหละที่คิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นถ้าไม่พูดความจริง” “เฮียสิงห์” ระหว่างที่ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันผ่านสายตา นางพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหาร หญิงสาวในชุดขาวบริสุทธิ์ยิ้มให้ปลายฟ้า ก่อนจะจัดการวางอาหารไว้บนโต๊ะของเตียง โดยที่มียาสำหรับทานหลังอาหารวางไว้เรียบร้อย “ทานอาหารเสร็จแล้วก็ทานยานะคะ” พยาบาลสาวกำชับเสียงนุ่มนวล พลางค้อมศีรษะแล้วเดินออกจากห้องไป “หนูไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ไม่เห็นต้องกินยาเลยนี่เนอะ” ปลายฟ้าหัวเราะเสียงเจื่อน ความจริงก็คือเธอกินยาเม็ดไม่เก่ง ถึงจะโตขึ้นแต่ก็ยังไม่เคยชินกับความขมของมันอยู่ดี “โตแล้วแต่กินยาเม็ดไม่ได้เหรอ” “ใครบอก หนูแค่รู้สึกว่ากินไปก็เท่านั้น ยังไงเดี๋ยวก็หายอยู่ดี” “แล้วถ้าไม่กิน จะหายได้ยังไง” “หายได้สิคะ ใครจะมารู้ดีกว่าตัวหนู ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว แค่นอนพักอีกสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” “กินข้าวแล้วก็กินยาซะ” “แต่..” “กินข้าวแล้วก็กินยาตามที่สั่ง.. เดี๋ยวนี้” ปลายฟ้ากัดฟันกรอดแล้วกลอกตามองบนใส่ ตั้งแต่เจอหน้ากันไม่มีครั้งไหนที่สิงหราชจะไม่ออกคำสั่ง ราวกับว่าเธอเป็นลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาของเขา “ถ้าไม่อยากให้คนอื่นทำหน้ายักษ์ใส่ ก็ทำตามที่บอก” สิงหราชตวัดหางตามองเธอ “ฉันไม่ชอบคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง” ใบหน้าขาวร้อนผ่าวลามไปยันใบหู นั่งตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกนอกจากตักข้าวเข้าปากแล้วค่อยๆ หันหน้าหนีไปทางหน้าต่างหลับตากัดริมฝีปากอย่างน่าอาย ที่รู้ว่าคำพูดที่พ่นไปในคืนนั้นสิงหราชได้ยินมันทั้งหมดเลย “ที่จริงเฮียก็ไม่เหมือนยักษ์หรอกค่ะ แค่ชอบทำหน้าเหมือน..” คนที่พยายามจะแก้ต่างยิ้มแห้งแล้วหุบยิ้มลง เมื่ออีกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไงก็.. ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนู” แม้ว่าจะเขินอายเล็กน้อย แต่ปลายฟ้าก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณสิงหราช ถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าเป็นซังกะตายก็ตาม ช่วงบ่ายของอีกวันที่สิงหราชเสร็จจากงานของบริษัท หลังรับช่วงดูแลบริษัทชั่วคราวในนามของท่านเกษม เจ้าของใบหน้าคมคายยืนสูบบุหรี่ก่อนเข้าบ้าน สองขายาวก้าวตรงไปยังห้องนอนของหญิงสาวที่เพิ่งได้รับรายงานจากแม่บ้านว่ายังไม่ตื่น สิงหราชยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนานหลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจทิ้งแล้วเปิดเข้าไปในห้องที่เงียบเหงาราวกับไม่มีคนอยู่ นัยน์ตาคู่คมปะทะเข้ากับร่างบางที่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มผืนหนา ปอยผมตกลงมาปรกใบหน้าขาว ริมฝีปากสีสวยเผยอขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจผ่อนปรนเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบอกว่าคนบนเตียงกำลังหลับฝันดีแค่ไหน “แม่..” เสียงพึมพำฟังแทบไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นในลำคอ สิงหราชกดสายตามองเธอแล้วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง มือที่จะแตะพวงแก้มสีระเรื่อชะงักค้าง ก่อนเขาจะดึงมือกลับไปแนบไว้ข้างลำตัว และใช้เสียงเรียกแทนการสัมผัส “ปลายฟ้า” “.....” “ตื่นได้แล้ว” ร่างบอบบางบนเตียงช่างน่าทะนุถนอม จนไม่อยากให้ความมืดมนใดเข้าใกล้เธอ ความสดใสในวัยสิบแปดปีควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ ไม่ใช่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แบบนี้เลย สิงหราชหลุบตาจมกับความคิดบางอย่างของตัวเอง เขารู้ว่าการที่ปลายฟ้าเอาแต่หลบหนีความเป็นจริงด้วยการนอนมันเป็นยังไง เธอนอนหลับเพื่อหลบหลีกความเศร้าภายในใจ ใช้ความฝันขับกล่อมจิตใจวาดภาพสวยงามไว้ในห้วงนิทรา ไม่อยากตื่นมาพบเจอความเป็นจริงที่โหดร้าย แต่ทว่าฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น สิงหราชจำเป็นต้องทำให้ปลายฟ้าอยู่กับโลกความเป็นจริงให้ได้ แม้ว่ามันจะโหดร้ายก็ตาม.. “ปลายฟ้า” สุดท้ายสิงหราชก็จำใจต้องใช้หลังมือสัมผัสข้างแก้มอุ่นร้อน คนบนเตียงถึงรู้สึกตัวแล้วยอมตื่นลืมตาด้วยสภาพตกใจจนเผลอถอยหลังกรูติดหัวเตียง “เฮีย” ปลายฟ้ายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา ก่อนจะคว้าผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมร่างกายเอาไว้ “บอกแล้วใช่มั้ยว่าตอนบ่ายต้องไปลองชุด ทำไมยังไม่ตื่นอีก” “หนูกำลังฝันดีเลย เฮียปลุกหนูทำไม” “แล้วรู้สึกแย่หรือเปล่า” “รู้สึกแย่..” เธอมุ่นคิ้วด้วยความสับสน “รู้สึกแย่เรื่องอะไร” “ที่มันเป็นได้แค่ฝันไง” สิงหราชเอ่ยมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับเสียดแทงความรู้สึกคนฟังเหลือเกิน ใบหน้าสวยเจื่อนไปในทันทีที่ถูกดับฝันกลางอากาศ แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะเธอก็รู้สึกแย่กับมันเหมือนกันที่เป็นได้แค่ฝันดีในตอนเธอหลับเท่านั้น “ไปอาบน้ำ ฉันจะไปรอข้างล่าง” “หนูไม่ไปได้มั้ย” “ทำไม” “วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การพักผ่อน.. เฮียไม่คิดว่างั้นเหรอคะ” “ถ้าอากาศดีก็ควรออกไปสูดอากาศข้างนอก ถูกมั้ย” เขากดเสียงต่ำพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูง ปลายฟ้าคลี่รอยยิ้มบนมุมปาก คล้ายว่าสิงหราชอ่านใจเธอออกทั้งหมดว่ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ทุกครั้งที่เธอมีความคิดที่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อแล้ว จะมีผู้ชายหน้ายักษ์ปรากฏตัวตรงหน้าเสมอทั้งที่เธอไม่เคยร้องขอเลย “ไม่เข้าหูเลยใช่มั้ย” สิงหราชส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะถือวิสาสะอุ้มช้อนร่างเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ไม่ได้หลุบตามองเพราะเธอสวมเพียงเสื้อยืดตัวโคร่งแต่ไร้บราข้างใน “ทำแบบนี้มันจะไม่เกินไปเหรอคะ นี่มันเวลาส่วนตัวของหนูนะเฮีย” ปลายฟ้าโวยวาย มือก็ยกขึ้นคล้องลำคออีกฝ่ายเพะราะกลัวตกจนกลายเป็นว่าร่างกายกลัดเกร็งไปทุกส่วน “ถ้าเธอช้า ฉันจะสาย” “หนูเดินเองได้ ไม่เห็นต้องอุ้มกันเลย ปล่อยหนูลง.. เป็นพวกชอบใช้กำลังหรือไงเนี่ยหะ” “อือ” “เฮียสิงห์” งานเลี้ยงของเหล่าผู้คนในแวดวงธุรกิจทำให้ปลายฟ้ารู้สึกเหมือนจะไม่เข้าพวก แม้ว่าจะมีเธียรที่อายุห่างกันเพียงสองปีมาด้วยก็ตาม แต่ลึกลงไปภายในจิตใจเธอก็ยังรู้สึกเดียวดาย จนต้องหลบหนีความวุ่นวายขึ้นมายังดาดฟ้าของตึกสูงระฟ้าเพียงลำพัง ดวงตาคู่สวยถูกฉาบไปด้วยความเศร้า ไร้ซึ่งประกายความสดใสในแววตา ใบหน้าหมดจดถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อยเมื่อต้องออกงานสังสรรค์ โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสิงหราชพาเธอมาด้วยทำไม แต่ไม่ว่าจะด้วยความหวังดีหรืออะไร เธอก็อยากขอบคุณที่ไม่ทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง “เฮ้อ” ปลายฟ้าลอบถอนหายใจ พลางเงยหน้ารับลมหนาวที่พัดโกรกใบหน้าเป็นระยะ ทอดสายตามองไปตามตึกราบ้านช่องที่ถูกประดับด้วยดวงไฟหลากสี ความหนาวเหน็บเข้าเกาะกุมหัวใจของปลายฟ้า ใต้ท้องฟ้าสีหม่นในค่ำคืนนี้มันทำให้เธอโดดเดี่ยวจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นความรู้สึกได้เลย ถ้าทิ้งตัวดิ่งลงไปก็คงจะได้นอนมองฟ้าสมใจสินะ.. ความคิดชั่ววูบที่ผุดแทรกขึ้นมาในหัวทำเอาหน่วยน้ำตารื้นคลอเบ้า เคล้าคลอด้วยรอยยิ้มเศร้าบนมุมปากสวย “ปลายฟ้า” “เฮียสิงห์” “เธอคิดจะทำอะไร” ปลายฟ้าหลบตาแล้วก้มหน้าไม่พูดอะไร ภาพของเธอที่สิงหราชได้เห็นในเวลานี้คือหญิงสาวในชุดเดรสกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์กำลังยืนอยู่ขอบดาดฟ้า โดยที่ถอดรองเท้าส้นสูงไว้ข้างตัว ช่างเป็นภาพที่ทำเอาใจเขาร่วงหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม “ฉันถามว่าเธอคิดจะทำอะไร” สิงหราชโยนคำถามเสียงแข็ง พลางหอบหายใจหนักหลังพยายามวิ่งตามหาเธอจนทั่วงาน ก่อนได้ความจากเธียรว่าเธออยากขึ้นมาชมวิวตอนกลางคืนบนดาดฟ้า “ก็แค่ท้องฟ้าสวยดี อยากขึ้นมาดู” ร่างสูงก้าวขายาวตรงปรี่เข้าไปคว้าแขนของปลายฟ้าทันที ฉับพลันเรียวคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เมื่ออีกคนตีหน้าซื่อราวกับไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไป มันทำให้เขากระวนกระวายใจจนคุยเรื่องงานต่อไม่รู้เรื่อง “เฮียทำวันที่สงบของหนูพังหมดแล้ว” “การเสียสละของพ่อกับแม่ไม่ได้ทำให้เธอคิดได้เลยงั้นเหรอ” สาวเจ้าขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของดวงตาคู่คมอย่างไม่ลดละ “คิดว่าตายจากไปแล้วพ่อแม่จะดีใจหรือฟื้นขึ้นมามั้ย” “เฮียจะไปรู้อะไร เคยเข้าใจคนอื่นด้วยเหรอ เคยเจ็บปวดหรือสูญเสียแบบหนูหรือยัง” สิงหราชแค่นหัวเราะในลำคอ แววตาเจือรอยความโกรธเคืองแต่ก็ทำได้แค่เก็บอารมณ์ไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย “เฮียไม่รู้อะไรเลยต่างหาก ไม่รู้อะไรเลย” รู้ว่าต่อให้เจ็บจนอยากตายแค่ไหนก็ต้องอยู่.. แบบนั้นหรือเปล่า แน่นอนว่าเวลาสิงหราชคงไม่สามารถทำความเข้าใจความเจ็บปวดของเธอได้ทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสมัน เพียงแค่ไม่รู้ว่ารสชาติของความเจ็บปวดของเขากับเธอ มันเท่ากันหรือเปล่าแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ตัดสินความเจ็บปวดของเธอ เพียงเพราะว่าตัวเขาเองก็เคยผ่านมันมาแล้วเหมือนกัน จนกว่าจะได้ยืนจุดเดียวกับที่ปลายฟ้ายืน “ลงไปข้างล่าง เราจะกลับกันแล้ว” “อีกแปปเดียวไม่ได้เหรอ ขอหนูอยู่ตรงนี้สักพัก แล้วจะโทรหาเฮียอีกที” “คิดว่าฉันขอร้องเธอเหรอ” ทั้งคู่ปะทะคารมกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ปลายฟ้าสบสายตาคมกริบแล้วมุ่ยริมฝีปากอย่างแง่งอน “พูดไม่รู้เรื่องสินะ” “เฮีย.. เฮียจะทำอะไรคะ” รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนที่เขาจะย่อตัวแล้วสอดแขนเข้าใต้ข้อพับเรียวขาสวย จัดการอุ้มเธอจนตัวลอยหวือขึ้นจากพื้น “เฮีย” ปลายฟ้าเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “เด็กดื้อ..” สิงหราชยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนแนบริมฝีปากไว้ข้างใบหู “จะโดนอุ้ม” สิ้นประโยคนั้นสิงหราชก็อุ้มเธอพร้อมหิ้วรองเท้าส้นสูงติดมือมา โดยไม่สนสายตาของแขกเหรื่อท่านอื่นที่มองมา จนปลายฟ้าที่ก่อนหน้านี้ดีดดิ้นก็แกล้งหลับซุกอกเขาเพื่อหนีความอับอายที่อีกฝ่ายมอบให้ นอกจากจะบ้าอำนาจแล้วยังทำตัวบ้าบิ่นอีกต่างหาก กว่าท่านเกษมจะกลับจากต่างประเทศ เธอคงถูกเขาปั่นประสาทจนหัวหมุนไปข้างแน่ หลังจากเดินเข้ามาในลิฟต์ที่ไม่มีคน ปลายฟ้าก็รีบทุบอกให้อีกคนปล่อยเธอลง นัยน์ตาคู่สวยตวัดมองคล้ายว่าไม่สบอารมณ์ มือก็จัดแจงชุดให้เรียบร้อยรวมถึงรีบใส่รองเท้าแล้วยืนเชิดหน้าใส่คนตัวสูงกว่า “ไม่ว่าเฮียจะเข้าใจว่ายังไง แต่ที่บนดาดฟ้าหนูไม่ได้จะทำแบบนั้นสักหน่อย” “เหรอ” “ใช่ค่ะ” พูดจบเธอก็เดินนำหน้าออกไปก่อนหลังลิฟต์เปิดออก ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปไหนไกล ข้อเท้าเล็กที่เดินสับก็ไขว่กันเป็นผลให้ปลายฟ้าเกือบจะหน้าขมำบนรองเท้าส้นสูง ไวเท่าความคิดเอวบางก็ถูกเรียวแขนแกร่งคว้าเอาไว้ พร้อมกับกระชากเข้าหาตัว จนกลายเป็นว่าตอนนี้ปลายฟ้าซุกหน้าลงบนอกแกร่ง ทั้งยังใช้สองแขนกอดอีกฝ่ายเอาไว้สุดชีวิตอีกต่างหาก สิงหราชกระแอมไอในลำคอหลังพบว่ามีสายตาของผู้คนรอบข้างมองมาเป็นตาเดียว ปลายฟ้าที่เพิ่งจะตั้งสติได้เอาคางเกยอกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตากลมโตเป็นประกายความหวาดกลัว เหมือนแมวน้อยที่ต้องการความช่วยเหลือยังไงยังงั้น “ยัยแมวเก้าชีวิต” “.....” “อีกแปดชีวิตที่เหลือก็ใช้ให้ดีแล้วกัน หึ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD