สองเดือนต่อมา
บ้างก็ว่าคนนิสัยคล้ายกันมักจะมีบางอย่างดึงดูดเข้าหากันเสมอ ทว่าสิงหราชกับปลายฟ้าน่าจะเป็นขั้วตรงข้ามที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่ออีกคนรักสงบแต่ชอบถูกคนขี้โวยวายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวเสมอ หนำซ้ำยังเป็นเด็กสาวที่แก่นเซี้ยวจนสิงหราชคิดว่าเขามีน้องชายเพิ่มมาอีกคน
จากตอนแรกที่ตีกันแทบตาย สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนสนิทต่างวัยที่อายุห่างกันเกือบสิบปี
“หนูอยากกินสเต๊กแล้ว” ปลายฟ้านั่งกอดอกแล้วทำหน้าหงอ หลังนั่งรอคนของสิงหราชที่ท่านเกษมเป็นคนนัดดูตัวให้มาพบนานเกินไป
สิงหราชลอบถอนหายใจ พลางกวาดสายตามองหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายในวันนี้ ก่อนจะหันกลับมามองปลายฟ้า
“หนูไม่อยากรอแล้ว ผู้หญิงของเฮียสายเกือบสิบห้านาทีแล้วเนี่ย” เธอบ่นอุบแล้วยู่ริมฝีปากแกมประชด
“เธอไม่ใช่ผู้หญิงของฉัน” เสียงทุ้มต่ำปฏิเสธด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แล้วนัดมาดูตัวนี่ไม่ใช่เหรอ”
“นัดมาเพื่อปฏิเสธ”
“ทำแบบนั้นได้ด้วยหรอเฮีย”
ดวงตากลมโตลุกวาวจนสิงหราชถึงกับส่ายหน้าติดเอือมระอา หญิงสาวที่มักจะชอบทำตาเขียวแล้วก็เถียงคำไม่ตกฟากในวันนั้น กลายเป็นคนที่เขาต้องหอบหิ้วไปด้วยทุกที่จนถึงวันนี้
เหตุผลเดียวที่ต้องทำก็คือท่านเกษมเป็นคนสั่งให้สิงหราชดูแลเธอ แต่จะว่าไปแล้วการใช้เธอมาเป็นเพื่อนในการนัดดูตัวหญิงสาวที่ไม่เคยพบหน้าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเจ้าตัวแสบก็คงจะทำป่วนจนแขกที่จะมาอยากหนีกลับบ้านแน่นอน
“ทำไมจะไม่ได้” สิงหราชบอกกล่าว “ฉันมาดูตัวตามที่ท่านเกษมสั่ง แต่หลังจากนั้นมันก็เป็นเรื่องของฉันแล้ว”
“แล้วถ้าเขาสวยตรงสเปคเฮียเลยอ่ะ เฮียจะทำยังไง”
“แล้วฉันต้องทำยังไง”
พูดจบประโยคนัยน์ตาคมที่เรียบนิ่งบวกกับสีหน้าอันตายด้านของสิงหราชก็เปรยขึ้นมองปลายฟ้า ทำเอาเธอถึงกับจือปากแล้วเบือนหน้าหนี ดูเหมือนว่าคนใกล้สามสิบปีจะไม่อินเรื่องความรักแล้วก็ความโรแมนติคอย่างที่เคยพูดไว้
“แต่เฮียเอาหนูมาเป็นไม้กันสาวแบบนี้เดี๋ยวข้าวก็ไม่อร่อยหรอก”
“แค่ให้มาเป็นเพื่อน”
ปลายฟ้าโน้มตัวพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม “คนอื่นเขาจะคิดว่าพ่อกับลูกมาด้วยกันมั้ยคะ”
สิ้นเสียงนั้นมือหนาก็ดีดมะกอกเข้าที่หน้าผากของคนตัวเล็กอย่างจัง จนเจ้าตัวผงะถอยหลังยกมือขึ้นถูหน้าผากยกใหญ่
“โอ้ย” เธอร้องเสียงหลง ก่อนจะย่นปลายจมูกใส่อีกฝ่าย “อายุปูนนี้แล้วยังไม่อยากมีครอบครัวอีกเหรอเฮีย เดี๋ยวพอแก่ตัวก็มีลูกไม่ทันใช้หรอก”
“แล้วใครเขามีลูกเอาไว้ใช้งาน” สิงหราชเปรยเสียงเรียบ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองเธอ “ยัยเด็กหัวโบราณ”
“เฮีย”
“ฉันจะสั่งสเต๊กให้ จะได้พูดน้อยลง”
คนอายุน้อยกว่าพองแก้มใส่ ก่อนจะยิ้มแฉ่งหลังพนักงานนำเมนูมาวางไว้ให้
เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นมาแต่ไกล พาหญิงสาวร่างสูงราวกับนางแบบใบหน้าสวยหวานมายืนอยู่ข้างโต๊ะ พลางหอบหายใจเหนื่อยไปพร้อมกัน
“ขอโทษนะคะคุณสิงห์ พอดีพริมติดงานลูกค้าด่วนน่ะค่ะก็เลยมาช้า” เธอระบายยิ้มที่ทำให้ใบหน้าดูสวยสดมากกว่าเดิม จนปลายฟ้าที่เห็นยังอ้าปากค้างกับความสวยของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับคุณพริม เชิญนั่งสิครับ”
“ค่ะ แล้วนี่น้องสาวเหรอคะ”
“ครับ คุณคงไม่รังเกียจกันใช่มั้ยถ้าผมจะพาเธอมาด้วย”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ทานกันสามคนก็.. น่าสนุกดีเหมือนกัน”
สุดท้ายการนัดเจอตัวระหว่างสิงหราชกับหญิงสาวที่ท่านเกษมจัดเตรียมไว้ให้ก็สิ้นสุดลง โดยใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีทั้งสองต่างก็ร่ำลากันในบรรยากาศที่แสนกระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะสิงหราชค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ได้ชอบเธอ แม้ว่าเธอจะรู้สึกต้องตาต้องใจกับเขาก็ตาม
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ด้วยนะคะ” เธอว่าพลางยกมือขึ้นทัดหูอย่างเคอะเขิน
“เช่นกันครับ” สิงหราชรับคำ สายตาและใบหน้าเยือกเย็นราวกับหมอก แต่กลับดึงดูดอีกฝ่ายเข้าหาเพราะความงดงามบนใบหน้าของเจ้าตัว
“ไว้โอกาสหน้าให้พริมเลี้ยงข้างคืนนะคะคุณสิงห์”
สิงหราชเพียงแต่ยิ้มรับตามมารยาท แล้วก็หันไปให้ความสนใจปลายฟ้าที่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดการคว้าแขนเธอให้เดินตามมาโดยไม่พูดอะไร
“คุณพริมสวยเนอะ” ปลายฟ้าเปรยขณะที่ลิฟต์แก้วกำลังลงไปชั้นล่างของตึก เธอรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะชอบสิงหราช เพราะบนโต๊ะอาหารเธอแทบจะกลายเป็นอากาศสำหรับพวกเขาสองคนไปเลย
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“เฮียไม่คิดงั้นหรอ”
พูดจบสิงหราชก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าตายด้านกับสายตาไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่ามันกลับทำให้ปลายฟ้าพองแก้มอย่างแง่งอน ถึงจะเป็นฝ่ายถามเขาเองแต่ก็รู้สึกน้อยใจลึกๆ อยู่ดี
“ทำอะไรของเธอ มา” สิงหราชที่เดินออกจากลิฟต์ก่อนหันไปมุ่นคิ้วใส่ปลายฟ้า เธอยืนกอดอกแล้วกลอกตามองบนใส่ ก่อนจะหลุบตามองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ซึ่งเธอก็คว้ามือเขาแล้วแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว
“ทำแบบนี้มีใจหรือเปล่าเอ่ย” ปลายฟ้าพูดแล้วมองมือสิงหราชที่กุมมือเธอเอาไว้
“ฉันทำอะไร”
“จับมือหนูไง”
“มันจำเป็น”
คนตัวสูงกดสายตามองเธอที่สูงแค่อก ก่อนจะปล่อยมือออกพลางส่ายหน้าให้กับความซุกซนของอีกฝ่ายที่ชะเง้อมองของสวยงามรอบข้างไปเรื่อย
แต่สำหรับสิงหราชการได้ดูแลปลายฟ้ามันทำให้เขาได้สัมผัสถึงความสดใสของอีกฝ่าย ทั้งรอยยิ้มและประกายในแววตาของเธอ เป็นความสวยงามที่เขาอยากจะรักษาเอาไว้ ไม่อยากให้ความเจ็บปวดใดมาพรากมันไปได้อีก
“อย่าดื้อ” สิงหราชเอ่ยเชิงดุ ก่อนจะเดินเข้าไปคว้าแขนปลายฟ้าให้เดินตามเขาแทน
“จับมือหนูอีกแล้วนะเนี่ยเฮีย”
“เธอเป็นเหมือนน้องสาวฉันอีกคน อย่าเพ้อเจ้อให้มาก”
“ใครอยากเป็นน้อง”
“อย่าแก่แดด”
ปลายฟ้าแยกเขี้ยวใส่ พลางระบายยิ้มออกมาเมื่อมองมือหนาที่คอยกุมมือเธอเอาไว้อีกครั้ง
เพราะมีเขาเรื่องราวเจ็บปวดในชีวิตถึงทุเลาเบาบางลง เธอคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าหากวันนั้นไม่มีผู้ชายคนนี้เดินเข้ามา หลังจากไร้เงาของพ่อกับแม่แล้วเธอจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อยังไง
จากที่รู้สึกไม่เหลืออะไร สิงหราชก็กลายเป็นคนเดียวที่มีค่าสำหรับเธอ
“วันนี้ทำดีมาก” สิงหราชเอ่ยบอกหลังขึ้นมานั่งบนรถแล้ว
“เลี้ยงไอติมกับซื้อมาการองให้หนูแทนคำขอบคุณก็ได้นะเฮีย” ปลายฟ้ายิ้มกว้าง กะพริบตาปริบๆ เมื่อพูดถึงของโปรด
“โอเค” อีกฝ่ายรับคำ ก่อนจะถามต่ออีกว่า “สรุปอยากเข้าแพทย์ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมถึงอยากเรียนแพทย์”
“เพราะชอบค่ะ”
ช่วงนี้เป็นช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบของปลายฟ้า ซึ่งเธอไม่เคยเหงาเลยสักวัน เพราะได้สิงหราชคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ก็เลยทำให้เจ้าตัวมีแรงฮึดที่จะทำตามฝันไปอีกขั้นหนึ่ง
“คำตอบทำให้หนูดูสวยขึ้นมาเลยใช่มั้ย” ปลายฟ้ายิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ “หนูชอบจริงๆ นะ ถึงจะเป็นอาชีพที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตาย มีคนมากมายได้อยู่ต่อและหลายคนไม่ได้ไปต่อ เพราะงั้นถ้าได้ช่วยคนจริงๆ หนูคงจะภูมิใจในตัวเองมาก แล้วพ่อกับแม่ก็น่าจะภูมิใจเหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็ทำให้ได้”
“ถ้าทำได้เฮียจะมีรางวัลให้มั้ย”
ดวงตากลมโตเป็นประกายทันที แต่คนตรงหน้ากลับนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
“โห่ แบบนี้จะมีกำลังใจได้ยังไง หนูอ่านหนังสือจนตาโปนเลยนะ ไม่มีรางวัลตอบแทนคนเก่งหน่อยเหรอเฮีย” ปลายฟ้าเอามือจับตาเพื่อทำท่าประกอบคำอธิบาย
“มี” สิงหราชพูดพลางขยับสายตามองเธอผ่านกระจกมองหลัง “ถ้าสอบติด ฉันมีรางวัลให้”
“สัญญาแล้วนะคะ”
“ฉันไม่เคยโกหกอยู่แล้ว”
“แต่ก็ต้องสัญญาใจก่อนสิ ถ้าทำแบบนี้หนูจะได้สบายใจ”
หลังพูดจบประโยคปลายฟ้าก็ยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าสิงหราช เขาที่เปรยตามองเพียงครู่เดียวถอนหายใจเบาๆ เพราะไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน
สุดท้ายเจ้าของใบหน้าคมคายก็ยื่นมือซ้ายมาเกี่ยวก้อยกับเธอ เล่นเอาสาวเจ้าถึงกับระบายยิ้มกว้างชอบใจ ก่อนจะหมุนมือขึ้นใช้หัวแม่โป้งมือชนกับนิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่าย
“สัญญาใจแล้วก็ต้องประทับตรา..”
“เด็กน้อย”
“ประทับตราแล้วก็แปลว่าหนูจะเป็นหมอให้ได้ แล้วก็จะเป็นคนดูแลเฮียสิงห์ตอนแก่เอง..”
หนึ่งปีต่อมา
คำพูดของสิงหราชที่เคยบอกว่าจะดูแลเธออย่างดี เขาไม่เคยผิดสัญญาเลยแม้แต่คำเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานนับปีปลายฟ้าก็เริ่มเรียนรู้อะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตเป็นแมวแปดชีวิตตามที่สิงหราชบอก เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรก ได้เข้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่เธอใฝ่ฝัน แม้ว่าในวันนี้ครอบครัวที่อยากจะรักษาให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ จะจากไปก่อนได้เห็นเธอประสบความสำเร็จก็ตาม
“พี่เธียรสวัสดีค่ะ” ปลายฟ้ายกมือไหว้เธียรที่เดินสวนออกมาจากในบ้านพอดี
หลังจากสอบติดแพทย์ปลายฟ้าก็ใช้ชีวิตวนเวียนกับกองหนังสือทั้งวันทั้งคืน จนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอรีบกลับจากมหาวิทยาลัย เพราะจะได้เจอสิงหราชในรอบสัปดาห์ นอกจากเขาจะใช้ชีวิตที่คอนโดส่วนตัวมากกว่ากลับมาบ้านหลังนี้ สิงหราชยังมีบินไปทำงานที่อเมริกาอีกต่างหาก
“สวัสดีครับคุณหมอ” เธียรขยิบตาบริหารเสน่ห์ ก่อนจะหัวเราะร่วนเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษากลอกตามองบนใส่
“หนูยังไม่ได้เป็นหมอสักหน่อย เรียกว่านักศึกษาแพทย์ดีกว่า แบบนั้นมันเขินยังไงก็ไม่รู้”
“ว่าที่คุณหมอก็ได้ครับ”
“ก็ยังห่างไกลอยู่ดีนั่นแหละพี่เธียร” ปลายฟ้าส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไม่เคยรักษาคนจริงๆ ด้วยซ้ำ มีแต่ผ่ากบค่ะ ให้หนูจินตนาการว่าพี่เป็นกบแล้วลองผ่าดูดีมั้ยคะ”
“ไปหาสาวให้ส่องกบดีกว่าว่ะครับ”
ไม่พูดเปล่าเธียรยังใช้มือเสยผมพร้อมกับยกมือขึ้นถูปลายจมูก พลางกระแอมไอแล้วเหลือบสายตามองปลายฟ้าที่ยิ้มเจื่อนปรบมือให้เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ใช้กบบ่อยแบบนี้ ดินสอผมจะแหลมมั้ยครับคุณหมอ”
“ใช้งานหนักหัวมันจะทู่”
“ไอ้เด็กแสบ”
มือหนายีหัวเธออย่างเอ็นดู แต่เจ้าตัวเบี่ยงตัวหลบกลัวว่าจะหัวฟูก่อนไปเจอสิงหราช มันคงเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่
“แล้วจะไปไหน คุณลุงบอกให้อยู่ทานข้าวด้วยกันนะ”
“ไปหาของหวานกินครับ”
ปลายฟ้าเหลียวหลังกลับไปมองเธียร พลางยกมือขึ้นเกาหัวอยู่หน้าบ้านคนเดียว
การใช้ชีวิตในบ้านตระกูลราพณามานานร่วมปีทำให้ปลายฟ้าปรับตัวเข้ากับทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเธียรที่อายุห่างกันไม่กี่ปี และอารมณ์ขันของเธียรมักจะสร้างรอยยิ้มให้ปลายฟ้าเสมอ แม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่ค่อยอยู่ติดบ้านแถมควงสาวเหมือนเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าไม่ซ้ำกันเลยสักคน
เสียงรถยนต์ดังจากด้านหลังทำให้ปลายฟ้าหมุนตัวกลับไปมอง ก่อนจะพบเข้ากับรถหรูของสิงหราชที่ขับเข้ามาจอดพอดี
“เฮียสิงห์” ทันทีที่เขาลงจากรถเธอก็พุ่งกระโจนเข้าไปสวมกอดอย่างแนบแน่น จนคนที่ถูกกอดต้องใช้มือจับศีรษะคนตัวเล็กกว่าออก
“จะกอดผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะปลายฟ้า”
“หนูไม่ได้ไปกอดผู้ชายที่ไหนนี่คะ กอดแค่เฮียเนี่ย”
“ก็ดีแล้ว” สิงหราชยกยิ้มมุมปาก “เรียนหนักมั้ย”
“นิดนึง แต่พอเห็นเฮียก็หายเหนื่อยเลย”
“เธอนี่มัน” เขาทำหน้ามันเขี้ยวแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“ทำไมเหรอคะ” ปลายฟ้าเลิกคิ้วแล้วยิ้มหวานใส่
ยังจำได้ไม่ลืมวันที่รู้ผลว่าสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้ สิงหราชเป็นคนแรกที่ปลายฟ้าเดินเข้าไปกระโดดกอดเขาอย่างแนบแน่น เป็นเหมือนคนในครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวที่คอยให้กำลังใจ แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่สายตาของเขานั้นจริงใจเสมอมา
“เมื่อไหร่งานเฮียที่อเมริกาจะเสร็จ เป็นอาทิตย์เลยเหรอคะ”
“ก็หลังจากนี้อาจจะไม่ค่อยได้ไปแล้ว ท่านเกษมน่าจะหาคนไปดูแลแทน”
“หิ้วสาวผมทองกลับมาหรือเปล่า”
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ส่ายหน้าแล้วเดินนำไปก่อน ทิ้งให้ปลายฟ้าขบคิดจนฟุ้งซ่านไปหมด
ช่วงนี้สิงหราชไม่อยู่ไทยนานนับสัปดาห์เพราะไปเคลียร์งานที่อเมริกาให้เสร็จเรียบร้อย แอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าสิงหราชจะซุ่มคบสาวหน้าคมที่อเมริกาไปแล้วหรือเปล่า
“เฮียไม่อินกับความรักหรอก.. จะสามสิบอยู่แล้วยังไม่ยอมมีแฟนเลย” ปลายฟ้าบ่นอุบ แต่แอบยิ้มในใจ
ใช้เวลาไม่นานทุกคนภายในบ้านก็มารวมตัวกันบนโต๊ะอาหารแล้วเรียบร้อย ทว่าบรรยากาศกลับเงียบเชียบจนน่าใจหาย ปลายฟ้าที่นั่งข้างสิงหราชไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงกับสถานการณ์บนโต๊ะอาหารที่ดูอึดอัดไม่น้อยเลย
เธอเหลือบสายตามองสิงหราชที่นั่งนิ่ง พลางขยับสายตามองคนอื่นที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“ที่จริงวันนี้ฉันก็มีเรื่องอยากจะบอกทุกคน มารวมตัวกันแบบนี้ก็ดี ถึงจะไม่มีเธียรแต่ก็มีตาธีร์เป็นตัวแทนละกัน”
เมื่อเจ้าของบ้านที่นั่งหัวโต๊ะเริ่มเกริ่น ทุกคนบนโต๊ะต่างก็พร้อมใจนั่งฟังทันที
“ฉันจะให้สิงหราชขึ้นสานงานต่อในต้นเดือนหน้า เพราะฉันจะพักรักษาร่างกายให้เต็มที่..” เสียงทุ้มดูแตกตามอายุที่มากขึ้นพูดยังไม่ทันจบ ก็มีคนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“อะไรนะคะคุณ” คุณหญิงแก้วรุ้งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ต่างอะไรจากธีระที่ได้ยินก็ถึงกับลนลานจนนั่งไม่ติดเก้าอี้
“ไหนคุณบอกว่าจะให้ตาธีร์รับช่วงต่อก่อนไงคะ”
“เธอก็เห็นว่าขนาดสาขาย่อยเจ้าธีร์มันยังทำได้ไม่ดี ถ้าขึ้นมาบริหารสาขาใหญ่ มันจะไม่หนักกว่านี้หรือไง”
“คุณก็ควรให้ลูกได้ลองก่อนสิคะ”
“ฉันพิจารณามาอย่างดีแล้ว แค่ให้เจ้าสิงห์มันลองทำ ถ้าทำออกมาไม่ดียังไงบอร์ดบริหารก็ไม่เอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ”
ประมุขของบ้านตบโต๊ะฉาดใหญ่ จนปลายฟ้าสะดุ้งโหยงไปตามกัน สายตาของธีระมองสิงหราชด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันสิงหราชก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร นอกจากนิ่งเฉยเป็นผู้รับฟังเพียงอย่างเดียว
“แล้วตาธีร์..”
“แล้วผมควรทำยังไงครับพ่อ พ่อถึงจะพอใจ”
“แกก็แค่ศึกษางานให้ดี ถ้าให้ดีก็ดูงานจากสิงห์เป็นตัวอย่าง”
“ทำไมพ่อถึงไม่ให้โอกาสผมได้ลองกันล่ะครับ ถ้าผมทำออกมาไม่ดีก็ให้บอร์ดเป็นคนตัดสินแทน”
ท่านเกษมลอบถอนหายใจอย่างปลงๆ พลางยกมือขึ้นวางประสานบนโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
“เห็นพ่อภูมิใจในตัวมันนักหนา สิงห์มันน่าจะเกิดมาเป็นลูกพ่อแทนผมนะครับ ผมมันไม่ได้เรื่องสักอย่างอยู่แล้ว”
“เฮียธีร์”
ดวงตากลมโตสั่นประหม่ากับเหตุการณ์ตรงหน้าที่คงจะทำให้อาหารบนโต๊ะไม่อร่อยเสียแล้ว เมื่อธีระลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะไป รวมถึงคุณหญิงแก้วรุ้งที่เดินตามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขึ้นไปข้างบน
ท่านเกษมผ่อนปรนลมหายใจหนัก ก่อนจะมองสิงหราชแล้วพยักหน้าเชิงให้ปล่อยมันไป
“ทานข้าวกันดีกว่า” ประมุขของบ้านโบกมือให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทว่าสิ่งเดียวที่ปลายฟ้าเป็นห่วงก็คือความรู้สึกของสิงหราช ยิ่งเขาเป็นพวกหน้านิ่งไม่ค่อยพูด เธอก็ยิ่งกลัวว่าเขาจะคิดมาก
ท้ายที่สุดกับข้าวมื้อที่แสนจะอึดอัดจนลิ้นไม่รับรู้รสชาติก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ปลายฟ้าถือวิสาสะเดินขึ้นมาที่ห้องของสิงหราช ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วพบว่าคนตัวสูงยืนอยู่ที่ระเบียงของห้อง
ปลายฟ้าเดินไปยืนขนาบข้างคนตัวสูงกว่า เผลอถอนหายใจทิ้งด้วยความอึดอัดแทนอีกฝ่าย ก่อนที่จะเงยหน้าแล้วแยกยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นสระอิ
“ยิ้มอะไรของเธอ”
“เห็นเฮียทำหน้าเครียดเลยอยากให้ยิ้มไงคะ”
ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นมองสิงหราช สายตาเป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างปิดไม่มิด
“เฮียโอเคหรือเปล่า” เสียงคำถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรให้ไม่โอเค” สิงหราชตอบกลับเสียงเรียบ ต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากจะพูดมันออกไปอยู่ดี
“เฮียมีสิทธิ์ที่จะไม่โอเคนะ.. แล้วหนูก็คิดว่าที่เฮียธีร์พูดมันก็แรงเกินไป”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมท่านเกษมถึงไว้ใจฉันขนาดนั้น”
“เพราะคุณลุงเชื่อว่าเฮียจะทำมันออกมาได้ดีไง แล้วเฮียก็ทำมันดีมาตลอดด้วย”
นัยน์ตาคู่คมหลุบมองเจ้าของใบหน้าสะสวย ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ สิงหราชกระตุกยิ้มมุมปากเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคปลอบใจจากคนอายุน้อยกว่าเกือบสิบปี
“เธอยังเด็ก เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ด้วยหรือไง”
“ปีนี้ยี่สิบแล้วนะคะ ไม่เด็กแล้วมั้ง”
สัปดาห์หน้าปลายฟ้าก็จะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ แต่ทุกครั้งที่วันเกิดจะมาถึง มันก็ไม่ต่างอะไรจากฝันร้ายที่ย่างกรายเข้ามา ตอกย้ำให้เธอเจ็บปวดอีกว่าได้สูญเสียครอบครัวไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
“ว่าแต่เฮียชอบคนเด็กกว่าหรือเปล่า”
“แก่แดด”
ปลายฟ้าหรี่ตาแล้วเอียงคอมองสิงหราชที่เกือบจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อครู่ ตอนนี้เธอแค่อยากให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะปลายฟ้ารู้ว่าสิงหราชรักคำว่าราพณาและพี่น้องมากแค่ไหน
“เฮียเหงาน่าดูเลยใช่มั้ยเพราะที่อเมริกาไม่มีหนูคอยป่วน”
“สบายหูต่างหาก”
“ปากตรงกับใจหน่อยไม่ได้หรือไง คนแก่ปากแข็ง”
“แล้วการเป็นเด็กที่คิดเข้าข้างตัวเองเก่งแบบนี้ เรียกว่าอะไรดี”
“เรียกว่ามีจินตนาการที่ล้ำเลิศค่ะ”
สิงหราชส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดูคนตัวเล็กที่เขย่งปลายเท้าเถียงเมื่อครู่ แต่ก็ยอมรับว่าปลายฟ้าทำให้เขาลืมความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ
“หนูมีของมาให้เฮียด้วยนะ เพื่อนที่มอเขาฮิตกันมาก บอกว่ามูแล้วได้ผล” ปลายฟ้าพูดพลางแบมือให้สิงหราชได้เห็นกำไลที่เธอถือติดมือมาด้วย
มันคือกำไลหินสีขาวอมชมพูมีตัวอักษรจีนกำกับเป็นคำว่าโชคดีอยู่ เธอสวมให้สิงหราช โดยที่เขาไม่ได้มีทีท่าจะปฏิเสธแต่อย่างใด
“อันนี้ช่วยเรื่องความรักแล้วก็สุขภาพ เฮียจะได้แข็งแรงแล้วก็อยู่กับหนูไปนานๆ”
“ขอบใจ”
“หนูก็มีเหมือนกัน เหมือนกำไลคู่เลยเนอะ”
พูดจบปลายฟ้าก็ชูข้อมือของตัวเองที่มีกำไลเหมือนสิงหราช แต่คนที่แสดงออกทางความรู้สึกไม่เก่งอย่างสิงหราชมีแค่สายตาที่เปรยมองตอบกลับมา ก่อนจะพยักหน้ารับทราบแค่นั้น
“กี่ปีแล้วที่เฮียไม่จัดวันเกิดเลย”
“สิบกว่าปีล่ะมั้ง” นัยน์ตาคู่คมฉายแววเศร้าหมอง “ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่ามันคือวันเกิด”
“เรานี่พบเจอกับชะตากรรมเหมือนกันเลยเนอะ”
ปลายฟ้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พลางผ่อนปรนออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“แต่วันเกิดหนูในปีนี้.. เป่าเค้กกันมั้ย”
“ทำไม”
“เฮียสอนหนูเองว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองเศร้านาน เพราะมันจะทำให้เวลาที่เราควรมีความสุขลดลง”
สิงหราชจ้องริมฝีปากสีระเรื่อที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะ แอบภูมิใจในตัวลูกศิษย์เหมือนกันที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ขนาดนี้
“แล้วเฮียก็สอนหนูเองว่าการใจดีกับตัวเองเป็นเรื่องที่ควรทำ หนูว่าเฮียควรใจดีกับตัวเองบ้างนะคะ ยังไงคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตก็คือตัวเราเองนะ แล้วหนูก็จะอยู่กับเฮียด้วย”
“อยากเป่าเค้กหรอไง”
“อื้ม ปีที่ผ่านมาไม่ได้จัด พอปีนี้เห็นเค้กช็อกโกแลตก็เลยนึกถึงปกป้อง หนูว่าปีนี้หนูอยากเป่าเค้ก..”
เจ้าของดวงตาคู่คมเหลือบมองไปด้านข้างอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันกลับมาสบสายตาสีดำสนิทแล้วพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นวันศุกร์หน้า เลิกเรียนแล้วโทรหาฉัน”
“เฮียพูดแล้วนะ”
คู่สนทนาพยักหน้ารับ ก่อนจะหลุบตามองนิ้วก้อยเล็กๆ ที่ยื่นมาตรงหน้า
“สัญญาก่อน..”
“เฮ้อ”
แม้ว่าจะถอนหายใจเพราะไม่ค่อยชอบแสดงออกในลักษณะนี้ แต่สุดท้ายสิงหราชก็ยอมเกี่ยวก้อยปลายฟ้าพร้อมประทับตราสัญญาใจเอาไว้เรียบร้อย
“เฮียอ่า” ปลายฟ้ามุ่ยหน้าหลังถูกมือหนายันศีรษะไม่ให้โผเข้ากอด
“บอกแล้วว่าห้ามกอดผู้ชายซี้ซั้ว”
“ไว้กอดวันหลังก็ได้”
สองสามวันมานี้ปลายฟ้าทุ่มเวลาให้กับสอบย่อยจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันศุกร์ วันเกิดที่เธอตื่นแต่เช้าเพื่อใส่บาตรให้พ่อกับแม่รวมถึงน้องชายที่จากไป
“ทำไมยังไม่โทรมาอีก..” เสียงติดน้อยใจบ่นอุบ ขณะกวาดสายตาอ่านหนังสือรอสิงหราชไปด้วย
ปลายฟ้าในชุดเสื้อคาร์ดิแกนแขนยาวเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่ม แต่ก็ยังไม่มีสายโทรเข้าจากสิงหราช ทั้งที่เธอทิ้งข้อความให้เขาโทรหาถ้าหากเลิกงานแล้ว
แต่ยังไม่ทันจะคิดไปไหนไกล เสียงริงโทนเรียกเข้าก็ดังขึ้น พร้อมกับปรากฏรายชื่อของสิงหราชที่โทรเข้ามา
“หนูกำลังรอเฮียอยู่แล้ว เฮียจะถึงบ้านหรือยัง”
( ปลายฟ้า.. )
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายรอยยิ้มบนใบหน้าของปลายฟ้าก็หายไป พลันเรียวคิ้วสวยก็มุ่นเข้าหากันเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนานหลายวินาที
“เฮียธีร์.. ทำไมเฮียธีร์มารับสายโทรศัพท์เฮียสิงห์ล่ะคะ”
( ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ )
เพียงประโยคเดียวแต่กลับทำใจดวงน้อยสั่นวูบ ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้มือไม้ของเธออ่อนแรง อกข้างซ้ายเสียดแปลบจนปวดชาราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทง
( สิงหราชเสียแล้ว )
“คะ”
( สิงหราช.. จากพวกเราไปแล้ว )