CHAPTER 1 สิงหราช
“น้องปลายลูก แม่จะพาปกป้องไปเล่นสเก็ต เราอยากไปด้วยกันมั้ย”
“เดี๋ยวหนูมีเรียนพิเศษภาษาอังกฤษต่อ แม่กับพ่อพาน้องไปเถอะ ขอแค่ซื้อมาการองมาฝากก็พอ”
“โอเค ถ้างั้นน้องปลายตั้งใจเรียนนะลูก แล้วเดี๋ยวแม่จะซื้อมาการองมาฝาก”
ประโยคสุดท้ายที่ทิ้งเอาไว้ก่อนแม่จะออกไป แต่สุดท้ายแม่ก็ไม่กลับมา..
ท่ามกลางความเศร้าโศกในงานแขกเหรื่อต่างก็พากันแวะเวียนเข้ามาจุดธูปหน้าศพพร้อมกับพูดปลอบปลายฟ้าอย่างห่วงใย แต่เธอไม่พูดไม่จากับใครคล้ายว่าสติหลุด ตั้งแต่ทราบข่าวการเสียชีวิตของคนในครอบครัวซึ่งตรงกับวันเกิดของเธอ แทนที่จะได้เป่าเค้กกลับกลายเป็นต้องจุดธูปหน้าโลงศพแทน
หลังพระสวดอภิธรรมเสร็จผู้คนก็เริ่มทยอยออกจากศาลา จนเหลือเพียงหญิงสาวในวัยสิบแปดปีที่เอาแต่นั่งเหม่อมองภาพของผู้เป็นบิดาและมารดารวมถึงน้องชายที่อยู่ในวัยกำลังซนได้จากไปก่อนวัยอันควร แววตาอาลัยอาวรณ์และโหยหา แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
ใบหน้าขาวมีเลือดฝาดแดงก่ำลามไปยังปลายจมูก ใต้ตาบวมเป่งผลจากการร้องไห้หนัก น้ำตาเหือดแห้งจนไม่มีให้ไหล ใจสลายจนไม่สามารถประกอบมันขึ้นมาใหม่ได้
เวลานี้เธอยังไม่รู้หนทางในภายภาคหน้าว่าจะเป็นยังไงหลังไร้เงาพ่อกับแม่ เพราะปลายฟ้ารู้ดีว่าญาติพี่น้องฝั่งพ่อตัดขาดพวกเขา ตั้งแต่แต่งงานกับแม่ที่ไม่มีชื่อเสียงและหน้าตาทางธุรกิจ ทั้งในงานยังถามหาเงินประกันของพ่อจากเธอจนเกือบจะมีปากเสียงกันอีกต่างหาก ถึงเธอจะไม่ได้ตอบโต้ แต่ปลายฟ้าก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบอย่างแน่นอน
“ฮึก” หญิงสาวในชุดกระโปรงดำนั่งก้มหน้าสะอื้นไห้ มือทุบอกข้างซ้ายที่ปวดร้าว หนำซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงเลย
เข้าใจแล้วกับคำว่าแตกสลายมันเป็นยังไง ความรู้สึกที่เจ็บปวดเจียนตายแต่กลับยังมีลมหายใจต่อ มันทำให้เธอหยุดเกลียดตัวเองไม่ได้เลยที่ยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งอยากให้อดีตย้อนกลับคืนมาเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งบีบรัดให้เจ็บปวดมากเท่านั้น
ปลายฟ้าอยากจะย้อนเวลากลับไปในคืนวันที่เกิดเรื่อง ในวันนั้นเธอน่าจะไปกับพวกเขา ไม่น่าเลือกที่จะอยู่บ้านเพื่อเรียนพิเศษต่อ การได้เกรดที่ดีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากเธอทำได้แล้วไม่มีใครคอยอยู่ชื่นชม
“ปลายฟ้า” เสียงทุ้มต่ำฟังดูน่าเกรงขามดังขึ้นจากด้านหลัง เงาสูงใหญ่เคลื่อนทับร่างเธอที่นั่งจมอยู่กับความทุกข์ ก่อนจะมีชายชุดดำสองคนเดินเข้าไปดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นยืน
“จะ.. จะทำอะไร” ใบหน้าสวยดูตื่นตระหนก หันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบใครในงานนอกจากเหล่าบอดี้การ์ดชุดดำ
ชายหนุ่มในวัยราวยี่สิบเจ็ดปีกำลังมองไปยังปลายฟ้า นัยน์ตาสีนิลดูเย็นชามองปราดเธออย่างไม่ใส่ใจ พลางเพยิดหน้าให้ลูกน้องพาตัวเธอไป ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะยินยอมหรือเปล่า
“ไปกับฉัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ จนเธอขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยังอ่อนแรงที่จะขัดขืนกับชายหนุ่มร่างใหญ่ที่รั้งแขนเอาไว้อยู่ดี
“อย่ามายุ่ง” ปลายฟ้าตอบเสียงห้วน สีหน้าดูอิดโรยแต่ก็ยังไม่ยอมไปกับคนไม่รู้จักอย่างง่ายดาย
“ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทเหรอ” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ถูกส่งผ่านสีหน้าเรียบเฉย ทว่านัยน์ตากลับวาวโรจน์จนปลายฟ้าชะงักไป
ดวงตากลมโตรับกับใบหน้าสวยเบิกโพลง กัดริมฝีปากล่างด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเห็นใจนอกจากมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“นี่คือสิ่งที่คนอื่นจะพูดกับเธอ ถ้าเธอยังทำตัวไร้มารยาทแบบนี้” สิงหราชเอ่ยเตือน เพราะเขาเห็นพฤติกรรมของปลายฟ้าที่แสดงออกต่อญาติฝั่งพ่อ ถึงจะพอเดาได้ว่ามีเรื่องบาดหมางกัน แต่แขกท่านอื่นก็อาจจะมองเธอไม่ดีได้
“คุณเป็นใคร” ปลายฟ้าพ่นคำถาม ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองหาตัวช่วยอื่นไปด้วย
“นี่คุณสิงหราชครับ เป็นคนที่จะดูแลคุณนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป” หนึ่งในการ์ดส่วนตัวเป็นคนตอบกลับ
สิงหราชชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเซนติเมตร ใบหน้าคมคายเรียวคิ้วคมเข้มรับกับจมูกโด่งสันทัด ดวงตาน่าเกรงขามจนปลายฟ้ารู้สึกหวาดกลัวเมื่อเผลอจ้องเขานานเกินไป
“หนูไม่รู้จักกันคุณ”
“เดี๋ยวก็รู้จักเอง”
“แล้วคุณจะพาหนูไปไหน”
คำถามที่ไม่มีคำตอบทำให้เธอยิ่งหวาดผวามากกว่าเก่า ปลายฟ้าขืนร่างไม่ให้การ์ดชุดดำลากเธอออกไป แต่ก็เหมือนว่าจะขัดขืนได้แค่ในความคิด เพราะความเป็นจริงเธอแทบจะสู้แรงพวกเขาไม่ได้เลย
“ปล่อยหนูนะ ไม่งั้นหนูจะร้องให้คนช่วย” หญิงสาวที่มีส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดเซนติเมตรเชิดใบหน้าขู่
“อย่าดิ้นดีกว่าครับ พวกผมไม่อยากใช้กำลัง คุณจะเจ็บตัวเอานะครับ”
“ถ้างั้นก็ปล่อยสิ ป้าสั่งให้พวกคุณมาฆ่าหนูเหรอ เพราะจะเอาเงินประกันของพ่อใช่มั้ย บอกแล้วไงว่ามันเป็นของพ่อกับแม่ หนูไม่ให้หรอกนะ ปล่อยหนูลง”
เสียงโวยวายดังลั่นแต่ก็ไม่มีใครอยู่บริเวณงานเลยสักคน นอกจากคนของสิงหราชที่ยืนรออยู่ที่รถตู้คันสีดำทึบ
ปลายฟ้าที่ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองพยายามขัดขืนอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็เหมือนจะเหนื่อยเปล่า เพราะแรงของชายฉกรรจ์ที่จับแขนเธอนั้นก็แทบจะบดกระดูกให้แหลกละเอียดจนต้องจำยอมหยุดนิ่ง
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาแทบจะไม่ให้ความสนใจเธอที่ดิ้นเร่าจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้น เขาก้าวขึ้นรถแล้วหันหน้าวางสายตาไว้ที่เธออีกครั้ง
“ช่วยด้วยค่ะ.. ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ปลายฟ้าถูกจับยัดเข้าไปในรถตู้คันสีดำ จังหวะที่พยายามจะยื่นหน้าตะโกนขอความช่วยเหลือ มือหนาก็คว้าแขนเล็กแล้วออกแรงดึงให้กลับมานั่งที่เบาะตามเดิม
“เด็กดื้อ” สิงหราชตวัดหางตามองเธอ พลางใช้มือเชยปลายคางเด็กน้อยที่เขาแทบจะไม่เคยรู้จัก แต่ต้องรับหน้าที่ดูแลหลังเจ้าตัวสูญเสียครอบครัวไป
มันคงจะดีถ้าเขาปฏิเสธท่านเกษมได้ เพราะนอกจากผู้เป็นพ่อสนิทกับพ่อของปลายฟ้าแล้ว ท่านยังเอ็นดูเธอเหมือนลูกอีกคนอีกต่างหาก
“คุณ” ปลายฟ้าสะบัดหน้าหนีแล้วขมวดคิ้วใส่
สิงหราชหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนจะยื่นให้ปลายฟ้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งปลายฟ้าก็รับมาแล้วลอบสายตามองอีกฝ่ายอย่างหวั่นเกรงเช่นกัน
“หลังจากนี้ฉันมีหน้าที่ดูแลเธอ เป็นเด็กดีซะ ฉันไม่ชอบคนพูดจาไม่รู้เรื่อง” สิงหราชกำชับเสียงเข้ม ก่อนกระชับเสื้อสูทแล้วมองตรงไปข้างหน้าไม่สนว่าปลายฟ้าจะมีสีหน้าหรือท่าทางต่อต้านยังไง
“หนูไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แล้วมาช่วยหนูทำไม” ปลายฟ้าโต้ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ท่านเกษมขอให้คุณสิงหราชมาช่วยดูแลคุณครับ หลังจากนี้คุณจะอยู่ในการดูแลของคุณสิงหราชครับ” บอดี้การ์ดที่รับหน้าที่ขับรถเป็นคนตอบ
“คุณลุงเหรอ” ปลายฟ้าเริ่มผ่อนคลายเล็กน้อยหลังได้ยินชื่อเพื่อนของพ่อตัวเอง แต่ก็ยังไม่วางใจสิงหราชอยู่ดี “แล้วทำไมหนูถึงไม่รู้จักคุณเลย ถ้าคุณรู้จักคุณลุง ทำไมหนูถึงไม่เคยเห็น”
“ฉันต้องบอกเธอทุกเรื่องเหรอไง”
“แล้วหนูจะไว้ใจคุณได้เหรอ”
“ทำไม เธอคิดว่าฉันจะทำอะไร”
เจ้าของนัยน์ตาคู่คมหันหน้ามองเชิงคำถาม ครันเมื่อปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงกว่ารอบกายก็เย็นเยียบราวกับหมอก จนเธอเผลอกระถดตัวชิดติดประตูอัตโนมัติ ก่อนจะเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง
บนรถไม่มีประโยคสนทนาอะไรเลยนอกจากความเงียบที่ก่อตัวขึ้น ปลายฟ้ารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเพราะสถานการณ์ดูกดดันเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่อดทนนั่งรอจนกระทั่งรถขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอเอง
ความทรงจำมากมายผุดแทรกเข้ามาในโสตประสาท วันที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในบ้านหลังใหญ่ เวลานี้ช่างเงียบเหงาจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง
“เอาแค่ข้าวของที่จำเป็นก็พอ” สิงหราชเอ่ยขึ้น
ปลายฟ้านิ่งเงียบไปนานหลายวินาที ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปยืนอยู่หน้าประตูบ้านด้วยอาการใจวาบหวิว
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเดินเข้าไปในบ้านเพียงลำพัง แต่หอบความทรงจำมากมายติดตัวไปด้วย ไฟที่เปิดสว่างทำให้เห็นว่าข้าวของภายในบ้านยังวางอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน
ในห้องครัวยังมีจานชามที่ยังไม่ได้ล้าง เป็นกับข้าวมื้อสุดท้ายที่แม่ทำในวันหยุดสุดสัปดาห์ มุมโปรดของน้องชายอย่างปกป้องก็ยังมีของเล่นที่ยังไม่ได้เก็บ มุมโซฟาที่พ่อชอบนั่งดูข้าวก็ยังหลงเหลือร่องรอยและกลิ่นอายความคิดถึงตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน
ดวงตาคู่สวยเคล้าคลอไปด้วยหน่วยน้ำตา เธอเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้วใช้เวลาเปิดสำรวจห้องนอนของพ่อกับแม่รวมถึงน้องชายอย่างไม่รีบร้อน กวาดสายตาจดจำทุกรายละเอียดที่เคยเกิดขึ้นแล้วยิ้มรับด้วยความเจ็บปวด
“อีกนานมั้ย” ไออุ่นแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง เมื่อปลายฟ้าหันกลับไป เธอก็พบเข้ากลับสิงหราชที่ยืนกอดอกมองด้วยสายตาเรียบเฉย
“คุณเข้ามาทำไม หนูยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้าเลย”
“แล้วมัวทำอะไรอยู่”
เธอถอนหายใจแทนคำตอบ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ไม่วายมีเสียงของสิงหราชไล่หลังมา
“ไม่ต้องเยอะล่ะ เอาเท่าที่จำเป็น”
“รู้แล้วค่ะ”
ปลายฟ้าขานรับแกมประชด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเองหยิบเสื้อผ้าที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทาง เพราะเข้าใจดีว่าวันนี้มันดึกมากแล้ว กว่าพระท่านจะสวดอภิธรรมแล้วรอให้แขกเหรื่อกลับจนหมดศาลาก็ปาไปเกือบห้าทุ่มแล้ว ตอนนี้ปลายฟ้าก็เลยไม่มีเวลาทำอย่างอื่น นอกจากทำตามสิ่งที่สิงหราชบอก
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีปลายฟ้าก็เดินตัวปลิวออกมาจากบ้าน เพราะกระเป๋าของเธอสิงหราชเป็นฝ่ายเอาไปถือไว้โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
“ขึ้นรถ” เสียงเข้มเรียกสติคนที่ยืนเหม่อ
ปลายฟ้ากัดริมฝีปากล่างด้วยความประหม่า เธอเงยหน้ามองบ้านหลังนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วนั่งตัวลีบเพราะอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้จักเลยสักคน
บันทึกรสชาติชีวิตของปลายฟ้าในวัยสิบแปดปีขมขื่นจนกลืนไม่ลงเลย..
รถยนต์ที่จอดสนิทปลุกคนตัวเล็กที่ผล็อยไปให้รู้สึกตัว เปลือกตาบางขยับเล็กน้อย ก่อนจะปรือตาขึ้นมองแล้วรีบจัดระเบียบร่างกายทันทีเมื่อเห็นว่าสิงหราชกำลังมองมา สายตาดูนิ่งลึกยากที่จะคาดเดาความคิดออก
“ถึงแล้ว” เขาบอกเสียงเรียบ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อเปิดประตูให้เธอ
ปลายฟ้ากลอกตาไปมา ก่อนที่จะอ้าปากค้างกลางอากาศเมื่อได้เห็นบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์ตรงหน้า สิงหราชหยุดยืนอยู่ด้านหลัง หลุบตามองคนที่สูงแค่อกแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“ตามมา”
“นี่บ้านคุณหรอ”
เสียงเล็กฟังดูเจื้อยแจ้วเหมือนเด็กช่างสงสัยดังขึ้น ปลายฟ้าลากกระเป๋าเดินตามหลังสิงหราชพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วบริเวณบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่าจนแววตาเป็นประกาย
“หนูถาม นี่บ้านคุณหรอ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากสิงหราช เขาลอบถอนหายใจคล้ายติดรำคาญคนอายุน้อยกว่า ก่อนทั้งคู่จะพบเข้ากับบุคคลที่สามที่เพิ่งจะเดินลงจากบันไดมา
“อ้าว เฮียสิงห์พาใครมา” เขาทักด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร สัดส่วนต่างจากสิงหราชอย่างสิ้นเชิง ค่อนข้างไปทางสูงโปร่งและผอมบางกว่า แต่ใบหน้าหล่อเหลาเอาการไม่ต่างกัน
“แนะนำตัวสิ” สิงหราชเพยิดหน้าให้ปลายฟ้าแนะนำตัว
“ปลายฟ้า ชื่อปลายฟ้า” ปลายฟ้ากระอึกกระอักเล็กน้อย เธอค้อมศีรษะแล้วระบายยิ้มบางเพราะความประหม่า
“ปลายฟ้า..” เขาทำหน้าครุ่นคิด “อ๋อ ลูกคุณอาเหมใช่มั้ยที่ป๊าบอกว่าให้เฮียพามาอ่ะนะ”
“เออ” สิงหราชรับคำ “หลังจากนี้เธอจะมาอยู่กับที่นี่”
“เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ ส่วนฉันชื่อเธียร แล้วก็จะมีอีกคนคือพี่ธีร์ เผื่อได้เจอเขาแล้วจะได้ไม่งง”
อีกครั้งที่คนตรงหน้าคลี่รอยยิ้มหวานจนดวงตาหยีลงเป็นสระอิ ก่อนหันไปพยักหน้ากับสิงหราชแล้วเจ้าตัวก็เดินควงกุญแจรถหรูออกไป เหลือทิ้งไว้แค่ปลายฟ้ากับชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสามชั่วโมง
“ห้องเธออยู่ข้างบน” พูดจบเขาก็เดินนำหน้าขึ้นไป โดยที่กระเป๋าของปลายฟ้าถูกชายชุดดำที่เดิมตามหลังมายกขึ้นไปให้
สีหน้าของปลายฟ้าดูตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เดินสำรวจบ้านหลังใหญ่ ส่ายสายตามองตามกำแพงที่มีกรอบรูปราคาหลายล้าน รวมถึงของประดับในบ้านที่คงจะแพงหูฉี่น่าดู ปลายฟ้าก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่มาก มีแค่เฟอร์นิเจอร์และข้าวของที่คล้ายว่าเตรียมเอาไว้สำหรับรับแขกเท่านั้น
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอก”
“หนูจะพบคุณลุงได้ตอนไหน หนูมีเรื่องอยากคุยกับคุณลุง”
“ท่านไปต่างประเทศ อาทิตย์หน้าคงกลับ”
ประโยคสนทนาแสนสั้นจบลงด้วยการที่ปลายฟ้าตัดบทไม่ซักไซ้ไต่ถามอะไรต่อ นอกจากโคลงศีรษะบอกลาอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร ช่างเป็นคนที่ประหยัดคำพูดและใช้น้ำเสียงห้วนถ้วนในการสนทนาจนปลายฟ้าไม่อยากจะเสวนาต่อ
เขาทำหน้าเหมือนคนเบื่อโลกตลอดเวลา สายตาก็ดุดันจนคนที่เผลอสบด้วยประหม่า ทั้งน้ำเสียงก็เคร่งขรึมราวกับผู้บังคับบัญชาสั่งการลูกน้อง เป็นผู้ชายที่เธอรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่วันแรกเจอเอาเสียเลย ถ้าไม่ติดว่ารู้จักท่านเกษมเธอก็คงไม่มีทางยอมมาด้วยแน่นอน
ชีวิตของปลายฟ้าในวัยสิบแปดปีหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะรับไหว หลังจากนี้คงเหลือเพียงเธอท่ามกลางโลกกว้างใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าหัวใจดวงน้อยจะทนได้แค่ไหน
เพราะโลกใบนี้ไม่ใจดีกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว..
เวลาล่วงเลยผ่านไปในค่ำคืนที่ดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ส่องแสงระยิบระยับรายล้อมจันทร์ดวงโต แต่ปลายฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฝืนข่มตาให้หลับลงท่ามกลางความรู้สึกมากมายที่โถมเข้ามา
เธอนั่งกอดเข่าแผ่นหลังพิงเตียงแล้วหันหน้ามองออกไปที่นอกระเบียงด้วยสายตาเหม่อลอย ก่อนเสียงเคาะประตูจะฉุดคนที่จมอยู่กับความคิดให้หันกลับไปมองที่ต้นตอของเสียง
มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาแล้วผ่อนปรนลมหายใจไล่ความเสียดแน่นอก ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอกแล้วก็พบว่าเป็นสิงหราชที่ยืนทำหน้าเป็นยักษาอยู่
สัดส่วนของส่วนสูงที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้ปลายฟ้าต้องเงยหน้าคุยกับสิงหราชทุกครั้ง เวลาที่อีกฝ่ายกดสายตามองมามันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมยังไม่นอน” สิงหราชถามเสียงห้วน ก่อนขยับสายตามองไปด้านหลังของเธอแล้วหันกลับมามองที่คนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง
“นะ.. นอนไม่หลับ”
“แปลกถิ่นสินะ”
ปลายฟ้าพยักหน้ารับหงึกหงัก เผลอกำชายเสื้ออย่างสั่นประหม่าทุกครั้งที่เผลอสบนัยน์ตาคู่คม
“หนูปลุกคุณหรือเปล่า ทำให้คุณตื่นหรอ”
“เปล่า”
สถานการณ์ดูตึงเครียดเข้าไปใหญ่เมื่อคนที่มาเคาะประตูเงียบไปครู่หนึ่ง ปลายฟ้ากลอกตาไปมาก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองสิงหราชแล้วยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรต่อ
“นอนซะ ถ้าไม่ไหว ร่างกายจะแย่เอา” สิงหราชแบ่งจังหวะในการพูดราวกับคนประหยัดคำพูดและพลังงานชีวิต
“คุณไปนอนเถอะ เดี๋ยวหนูก็นอนแล้ว” ปลายฟ้ายิ้มรับ ก่อนจะปิดประตูแต่ก็ถูกอีกคนใช้มือยันปรามเอาไว้
“เธอเรียกฉันว่าเฮียสิงห์เหมือนเธียรก็ได้ ชินหูกว่า”
“.....”
“เรียกสิ”
ดวงตากลมเบิกโต ก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อยเมื่อคนตัวสูงโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เขาหรี่ตาคาดเค้นคำตอบที่ทำเอาคู่สนทนายืนตัวเกร็งจนแข้งขาแข็งไปหมด
“เรียก.. เฮียสิงห์” สิงหราชกดเสียงต่ำ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงเปิดทางให้เธอได้พูด
ปลายฟ้ากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยตอนที่กำลังจะเปล่งเสียงเรียก จนอีกคนต้องพูดซ้ำคล้ายว่าเรียกสติเธอให้กลับมา
“เฮียสิงห์” เขาย้ำ “พูดสิ”
“เฮียสิงห์” เสียงหวานตอบกลับแล้วฉีกยิ้มเจื่อน ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างหาจุดวางสายตาไม่เจอ
นานหลายวินาทีที่สิงหราชเอาแต่จ้องเจ้าของแก้มขาวที่มีเลือดฝาด สายตาที่เพียงปรายตามองก็ทำเอาเธอขนลุกวาบไปทั้งตัว เขาลอบถอนหายใจทิ้งเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง สายตาของเขามันบอกแบบนั้น ทว่าคมหน้ากลับเรียบนิ่งดูเฉื่อยชาจนคาดเดาอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออก
“เดี๋ยวหนูก็ไปนอนแล้ว เฮีย.. พักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ”
ปลายฟ้าชะงักงัน พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันแล้วยืนนิ่งราวกับเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
“หมายถึงหางเสียง พูดค่ะ ทุกครั้งที่คุยกับฉัน” สิงหราชเอ่ยเชิงตักเตือน ประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเขาขานรับปลายฟ้า แต่เป็นการบอกให้เธอพูดมีหางเสียงกับเขาต่างหาก
“ทีเฮียยังไม่มีครับเลย” ปลายฟ้าเอียงคอแล้วแยกยิ้มแหย ความใสซื่อบนใบหน้าแต่สายตากลับกวนประสาท สิงหราชแค่นหัวเราะในลำคอกับสีหน้าที่ดูร้ายเดียงสาของอีกฝ่าย
“จำเป็นหรอ”
“หนูก็แล้วแต่เฮีย”
“เหรอ”
“ถ้าอยากเป็นผู้ใหญ่ให้เด็กเคารพก็ต้องทำตัวน่าเคารพใช่มั้ยคะ” สาวเจ้าช่างสรรหาเปรียบเปรย ใบหน้าสวยสดที่ดูไร้พิษภัยยิ่งทำให้สิงหราชชอบใจกับการโต้ตอบและไม่กลัวคนของปลายฟ้า
เจอกันเพียงครั้งแรกสิงหราชก็ทำตัวดูไม่เป็นมิตรเสียแล้ว ไม่อธิบายอะไรเลยสักอย่าง หนำซ้ำยังมาคาดหวังให้เธอทำตัวดีด้วย ทั้งที่เป็นเขาเองที่เข้าหาอย่างป่าเถื่อน
“แต่หนูแค่บอกเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าเฮียไม่น่าเคารพ” เจ้าของประโยคที่กระตุกหนวดสิงห์เมื่อครู่ยกมือขึ้นปฏิเสธ
“ยอกย้อนเหรอ”
“ค่ะ”
สิ้นประโยคขานรับแกมประชดประชัน สิงหราชก็ถลึงตาดุ แต่เจ้าเด็กน้อยกลับระบายยิ้มตีหน้ามึนแล้วยกมือโบกลา
“ถ้าเฮียไม่มีธุระอะไรแล้ว ขอตัว.. นะคะ” ปลายฟ้ายิ้มแย้มไรฟัน ก่อนจะปิดประตูลงแล้วหันหลังพิงประตู ถอนหายใจพรืดยาวอย่างโล่งอกกับการต่อบทสนทนากับคนตัวสูงกว่า ที่มีสายตาพิฆาตไม่ต่างอะไรจากตัวร้ายในละครหลังข่าว
“สิงหราช.. เกี่ยวข้องอะไรกับคุณลุงกันนะ”
เธอได้แต่คิดแล้วก็สงสัยกับผู้ชายอย่างสิงหราชที่หนาวเย็นราวกับหมอก การแสดงออกเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูล จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลราพณา เพราะปลายฟ้ารู้แค่ว่าท่านเกษมเป็นเพื่อนสนิทของพ่อตน แต่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังไปมากกว่านั้นเลย
“คนอะไรชอบทำหน้ายักษ์ตลอดเวลา คิ้วขมวดเป็นโบแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” ปลายฟ้าบ่นอุบแล้วย่นปลายจมูกอย่างนึกมั่นเขี้ยวอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนอนหงายลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง
แต่ใครจะรู้ว่าประโยคเมื่อครู่ที่พูดออกไป ผู้ชายที่ยืนอยู่นอกประตูอย่างสิงหราช.. ได้ยินมันทั้งหมดเลย