ไอรักมองหน้าน้องสาวแล้วตอบแทน “เคยบอกครับ”
“งั้นดีเลย ช่วยบอกลุงหน่อยพ่อพวกหนูชื่ออะไร” โคล์มองเด็กหญิงและเด็กชายด้วยแววตาอ่อนลง ต่างจากมองพนักงานสาวเมื่อครู่ ไม่รู้สิ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กแฝดคู่นี้
ไอรักตอบเต็มเสียง “พ่อผมชื่อ จอห์นนี วอล์กเกอร์ ครับ”
“จอห์นนี วอล์กเกอร์!” โคล์ครางเสียงต่ำ กรามสบกันแน่นจากอารมณ์ซับซ้อนที่ถาโถมเข้ามาในใจ อนันตาไม่ได้ท้องกับวิสกี้ชั้นดีระดับโลก เป็นไปได้มากที่เธอจะโกรธเขา เพราะถูกเขาจับกรอกเหล้าจอห์นนี วอล์กเกอร์เกือบทั้งขวด โคล์ข่มอารมณ์สะเทือนใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความจริงใกล้เข้ามาแล้ว แต่เขาอยากถามจากปากอนันตามากกว่า
“ขอบใจหนูน้อย เธอสองคนชื่ออะไร” เขาถามเด็กๆ และยิ้มให้ แต่จากการสังเกตโคล์รู้สึกว่าเด็กผู้ชายดูไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่
“ผมชื่อไอรักครับ”
“หนูชื่ออิ่มอุ่นค่ะ” แต่เสียงแม่หนูที่เปล่งออกมานั้นเครือด้วยความเสียใจ คนเป็นพี่เลยยกมือลูบหัว
“แม่ตาไม่เป็นอะไรหรอกอิ่ม เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว แม่เราเก่งจะตาย ไม่กินไม่นอนได้ตั้งหลายวัน” ไอรักชินกับภาพที่เห็นแม่ทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน พอถามว่าแม่เหนื่อยไหม แม่ก็จะบอกพวกเขาว่า
‘คนเป็นแม่เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องสตรอง’
“อะ อิ่ม อิ่ม สงสารแม่ตา” อิ่มอุ่นสะอึกสะอื้น
ภาพนั้นทำให้โคล์หัวใจกระตุกวูบ ความรู้สึกสงสารเด็กน้อยพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ขออย่าให้เป็นแบบที่เขาคิดเลย พระเจ้า ถ้าเป็นแบบที่คิดล่ะ แปดปีที่ไม่ได้เจออนันตา ถ้าเธอไม่ได้มีสามีใหม่ทันทีลูกคงไม่โตขนาดนี้
รสชาติขมเฝื่อนล้นทะลักท่วมใจ โคล์ย่อตัวลงไปแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มราคาแพงซับน้ำตาให้แม่หนูน้อย ทว่าใครบางคนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสอง ในมือหอบของเยี่ยมและอาหารดีๆ อีกหลายชนิดมาด้วย
ไอรักและอิ่มอุ่นสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบผุดลุกจากเก้าอี้วิ่งไปหาผู้ชายคนนั้น โคล์เก็บผ้าเช็ดหน้าลงกระเป๋าอย่างเก้อๆ
‘ใครกัน’
เสียงไอรักและอิ่มอุ่นแย่งกันพูด “ลุงคริตไปไหนมา แม่ตาป่วย แม่ตาน่าสงสารม้ากมาก พี่พยาบาลพาไปห้องโน้นตั้งนานยังไม่ออกมาเลย” อิ่มอุ่นชี้ไปยังห้องฉุกเฉินที่อยู่ข้างหน้า แล้วกอดร้อยตรีชาคริตไม่ยอมปล่อย
นัยน์ตาคมดุมองภาพเหล่านั้น รู้สึกเจ็บร้าวในอกแปลบๆ ขนาดเขายังไม่ได้รู้ความจริง เพียงแค่คิดว่ามีลูก แล้วลูกไปกอดคนอื่น มันกลับเจ็บเหมือนโดนเข็มแหลมคมทิ่มแทง
ร้อยตรีชาคริตยกมือลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองอย่างใจดี เขาถูกส่งไปดูแลความสงบทางภาคใต้ เพิ่งจะมีเวลาได้กลับบ้านเพราะได้รับภารกิจใหม่ เขาห่วงอนันตาและหลานๆ มากไม่อยากปล่อยให้อยู่กันลำพัง เพียงแต่ด้วยหน้าที่แล้วเขาจำเป็นต้องจากทุกคนไป วันนี้เขาได้กลับมา พอไปหาอนันตาที่บ้านก็ได้รับข่าวร้าย คนข้างบ้านบอกว่าเห็นอนันตาจูงลูกๆ ออกจากบ้านบอกจะมาโรงพยาบาล เขารู้จักกับคนในโรงพยาบาลหลายคน เพราะเคยนำตัวพลทหารมาส่งที่โรงพยาบาลนี้หลายครั้ง เลยโทร.มาถามแล้วรู้ว่าอนันตามาที่โรงพยาบาลนี้จริงดังคาด เลยตามมาถูก
“ลุงคริตขอโทษนะครับ ลุงเพิ่งกลับมาจากภาคใต้ คิดถึงแม่เรากับเราทั้งสองคนมากรู้ไหม”
“ไอรักก็คิดถึงลุงคริต ไอรักห่วงแม่ตามาก แต่ไม่ร้องไห้ แม่ตาบอกว่าเกิดเป็นลูกแม่ตาต้องอดทน และลุงคริตก็สอนว่าผู้ชายต้องปกป้องคนที่อ่อนแอ และอย่าทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็น”
โคล์ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาได้ยินทุกคำทุกประโยค จู่ๆ มือเขาก็กำเข้าหากันแน่น รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาตุบๆ มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เหมือนสวมสร้อยอยู่ แล้วถูกคนกระชากไปจากคอ
หลังจากกอดหอมกันจนพอใจ ผ่านไปสักพักร้อยตรีชาคริตก็ถอยห่างจากหลานๆ ทั้งสองคน เมื่อสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่พวกเขา
ดวงตาสีนิลสาดประกายเด็ดขาดมองไปที่ชายในชุดสูท แค่ฝ่ายนั้นยืนเฉยๆ ก็เป็นจุดสนใจ เครื่องหน้าโดดเด่น บ่งบอกถึงความเป็นอเมริกันไม่ผสมเชื้อสายอื่นใด ทรงผมสั้นจัดแต่งไว้อย่างเนี้ยบ ร้อยตรีชาคริตหันกลับมามองหลานๆ รู้สึกถึงความคล้าย แต่จะว่าไปชาวอเมริกันหน้าตาคล้ายๆ กันก็เยอะ
“ฝรั่งคนนั้นใครเหรอ เขามองเราอยู่นานแล้ว”
โคล์ฟังภาษาไทยเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามาทำธุรกิจในเมืองไทยนานหลายปี เคยคบหาคนไทยมามาก มีทั้งเพื่อนและลูกน้องชาวไทยจนภาษาไทยกลายเป็นภาษาที่สองของเขา
ไอรักและอิ่มอุ่นก็รู้สึกสงสัยไม่แพ้ผู้เป็นลุง เพราะตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นเรียกให้พยาบาลพาแม่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน เด็กๆ ก็ลอบสังเกตอยู่บ่อยๆ ว่าลุงคนนั้นเป็นใคร แถมยังไม่ยอมไปไหน เอาแต่เดินไปเดินมา และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเอาแต่ถามหาพ่อของพวกเขา พอตอบไปแล้วก็ยังมองสำรวจพวกเขาด้วยแววตาแปลกๆ
อิ่มอุ่นหูดี ถึงนั่งอยู่ห่างๆ ก็เงี่ยหูฟังตลอดได้ยินพี่สาวคนสวยเข้าไปทักคุณฝรั่งตัวโต แล้วเรียกว่าท่านประธานด้วย อิ่มอุ่นเดาได้ว่าเขาคงเป็นคนสำคัญที่นี่
อิ่มอุ่นจำได้ไม่ลืม แม่ตาชอบสอนการบ้านตอนเย็น แล้วเน้นเสมอว่า ประธาน กริยา กรรม ประธานสำคัญที่สุดเพราะแม่ตาบอกว่า ประธานคือ ผู้กระทำ กริยาคือ การกระทำ ส่วนกรรมคือ ผู้ถูกกระทำ เพราะฉะนั้นประธานสำคัญที่สุด
ดวงตากลมโตสุกใสของแม่หนูอิ่มอุ่น ช่างจินตนาการมองไปที่โคล์อีกครั้ง แล้วตวัดกลับมามองหน้าร้อยตรีชาคริต คราวนี้ปรากฏรอยยิ้ม
“คุณลุงคริตขา คุณลุงคนนั้นเป็นประธาน ประธานคือคนสำคัญโรงพยาบาลนี้ค่ะ สงสัยประธานมายืนเฝ้า รอเก็บตังค์แม่ตาค่ะ”
“หือ! ประธาน รอเก็บตังค์” ร้อยตรีชาคริตไม่ค่อยเข้าใจที่หลานสาวพูดนัก จะว่าตามไม่ทันจินตนาการของอิ่มอุ่นก็ว่าได้
“สงสัยโรงพยาบาลกลัวแม่ตาไม่มีตังค์จ่ายค่ะ เลยส่งประธานมายืนคุมหน้าห้องฉุกเฉิน”
“พอก่อนอิ่มอุ่น” ร้อยตรีชาคริตปรามหลานสาวเมื่อเห็นบุคคลที่หลานสาวกำลังนินทาเดินเข้ามาแทบจะประชิดตัว
วันก่อนอิ่มอุ่นเห็นพี่ชายเปิดทีวีดูหนังเรื่องบอดีการ์ดอะไรสักอย่าง ทั้งเรื่องมีแต่คนแต่งตัวแบบนี้ ใส่สูท ผูกเนกไท เที่ยวไล่เก็บค่าคุ้มครอง บางทีก็รีดไถเงิน ใครไม่จ่ายเงินก็จะถูกซ้อม
โคล์ อิเมอร์สันได้ยินทุกอย่าง รู้สึกต้อยต่ำไปถนัด เขาไม่ได้มายืนคอยเก็บสตางค์ ที่ไม่ยอมไปไหนเพราะมีความกังขาบางเรื่อง ในขณะที่ใช้ลูกน้องคนสนิทไปหาหลักฐานยืนยันความสงสัยของตน
อิ่มอุ่นเหลือบตามองโคล์ โคล์เองก็จ้องแม่ตัวน้อยอยู่ เขาพยายามข่มสติแกมกลั้นขำ “ฉันไม่ได้มายืนรอเก็บเงิน ใคร ฉันเป็นประธานโรงพยาบาลแห่งนี้จริง แต่กำลังรอให้แม่เธอฟื้น เพราะมีเรื่องจะถามแม่ของเธอ”
ยิ่งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแม่หนูช่างพูดตรงหน้า แววตากลมโตไม่กลัวคนมันทำให้เขายิ่งรู้สึกถูกชะตา สีหน้าของโคล์เรียบขรึม แต่ใครจะรู้ว่าเขากำลังเป็นกังวล เกรงว่าจะใช่ เกรงจะเป็นแบบที่คิด
‘แล้วถ้าเป็นจริง?’
ร้อยตรีชาคริตยืนขึ้นเต็มความสูง ท่าทางองอาจ แต่หากเทียบความสูงกับโคล์ อิเมอร์สัน เขายังดูตัวเล็กกว่า