*****ท่านอาเผชิญหน้ากับเทพมังกร
สำเภาลำใหญ่สีดำสนิทแล่นเข้าสู่ชายฝั่งอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
หาดทรายสีขาวทอดลงทะเลสีฟ้าเข้มที่ไกลสุดลูกหูลูกตา งดงามไร้ที่ติประดุจดินแดนเซียน แม้หาดทรายแห่งนี้จะตั้งอยู่บนดินแดนมนุษย์ ทว่าตำนานต่างเล่าขานกันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเส้นทางการเดินเรือของทวยเทพ หากมีมนุษย์ย่างกรายเข้ามามักจะถูกลงโทษ บ้างก็เจ็บป่วย บ้างก็มิอาจมีทายาทสืบสกุล บ้างก็มีอันเป็นไปแบบไม่ได้ตายดี
และด้วยเหตุนี้เอง สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า นานๆ ครั้งจึงจะมีสำเภาไร้ที่มาเข้าเทียบฝั่ง โดยไม่มีวี่แววของผู้โดยสารเดินขึ้นลง
บรรยากาศช่วงชิวเทียน เมฆบนท้องฟ้าค่อนข้างหนาจัด ท้องฟ้าปกคลุมด้วยสีเทาขุ่นมาตลอดช่วงเช้า สายลมรุนแรงคล้ายกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำ คลื่นลมเกรี้ยวกราดโถมเข้าสู่ชายฝั่ง สัญญาณบ่งบอกว่ามหาสมุทรทางทิศบูรพามีบางสิ่งผิดปกติ
ร่างอรชรยืนนิ่งอย่างโดดเดี่ยว มิหวั่นไหวต่อวาโยที่โบกพลิ้ว เรือนผมสีดำยาวถึงข้อเท้าปลิวไสวดุจเส้นไหมคลอเคลียใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา นัยน์ตาสีอำพันจับจ้องไปที่สำเภาลำนั้น จนกระทั่งพบว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง
“เทพธิดาน้อย”
หลิวฟางซวงไหวตัวน้อยๆ แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าตื่นเต้นอันใด ทันทีที่หันไปสบสายตาเข้ากับอีกฝ่าย ชายร่างใหญ่วัยกลางคนใบหน้าน่าเกรงขามก็แผ่รัศมีแห่งอำนาจออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ข่มให้เทพธิดาอายุหมื่นปีจำต้องก้าวถอยหลังไปสามก้าวเพื่อมิให้พลังปราณเทพอันแรงกล้าของท่านเทพมังกรทำร้ายเอา
ท่านผู้นี้ย่อมเป็นใครไปมิได้นอกจากเทพมังกรผู้ปกครองทะเลตงไห่คนปัจจุบัน... อี้ปั๋ว
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์เหอเหยาจวง” นัยน์ตาสีมรกตที่คล้ายคลึงกับใครบางคนเจือความขบขันอยู่เล็กน้อย “เป็นสตรีเยี่ยงนี้ คาดว่าคงเป็นศิษย์คนที่สามกระมัง”
“ข้าน้อยหลิวฟางซวง คารวะท่านเทพมังกร” หญิงสาวทำความเคารพโดยเอามือขวาทาบลงบนตำแหน่งเหนืออกข้างซ้ายและค้อมศีรษะ อันเป็นการทำความเคารพของเผ่าสวรรค์ “ข้าน้อยเป็นเพียงศิษย์ไม่เอาไหนคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่านเทพมังกรจะหูตากว้างไกล รู้จักข้าผู้ไร้ชื่อเสียงผู้นี้”
“เจ้าอาจจำไม่ได้ แต่เมื่อหกพันปีก่อน ข้าได้เยี่ยมเยือนอาจารย์ของเจ้าที่หุบเขาไกลภพอยู่คราหนึ่ง เห็นศิษย์ทั้งหลายฝึกฝนกันอย่างแข็งขัน มีเพียงคนหนึ่งที่นั่งสัปหงกอยู่หลังโต๊ะคัดอักษร”
หญิงสาวยิ้มรับอย่างไม่เคอะเขิน นั่นย่อมหมายถึงนางแน่นอนแล้ว “เป็นข้าน้อยเอง”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างพอเป็นพิธี สีหน้าประหนึ่งผู้ใหญ่ใจกว้างกำลังเอ็นดูเด็กน้อย เขาค่อนข้างให้เกียรติเหอเหยาจวงในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเผื่อแผ่มันมายังลูกศิษย์ “ความจริงอยากพูดคุยเสวนากับเจ้าสักหน่อย แต่วันนี้ข้ามีบางสิ่งต้องไปจัดการ...”
“ข้าน้อยเองก็มิอยากดึงเวลาของพระองค์เอาไว้นาน” โฉมสะคราญก้มหน้าน้อยๆ ด้วยความเกรงใจ “เพียงแต่เป็นคำไหว้วานของสหาย หวังว่าจะทรงไม่ถือสา”
สีหน้าของผู้ฟังแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย อี้ปั๋วหรี่ตาจับจ้องนางกลับ “สหาย?”
หลิวฟางซวงสูดหายใจเข้า “ท่านเทพมังกร ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจเข้าหาฝั่งเถิด”
หากจะพูดกันตามตรง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนพูดอะไรไป นางรู้แค่ว่าการพูดจาเยี่ยงนี้ ศิษย์น้องห้าเคยบอกว่ามันทำให้ผู้กล่าวดูมีปัญญาและน่าเสวนาด้วย ซึ่งก็คงช่วยถ่วงเวลาไปอีกสักพัก
นึกไม่ถึงว่าการพูดจามั่วซั่วของนางจะส่งผลให้แววตาของผู้มากประสบการณ์เกิดประกายสะท้านไหวบางอย่าง
“ทะเลทุกข์...” อี้ปั๋วเปรยขึ้นมาด้วยสีหน้าอ่านยาก หลิวฟางซวงรับรู้ถึงกระแสลมที่แรงขึ้น บ่งบอกว่าพายุเหนือท้องทะเลกำลังเคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง
หลิวฟางซวงยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผม คำพูดของนางดูจะถ่วงเวลาได้ แต่ผลที่ตามมาอาจเป็นพายุลูกใหญ่ที่เข้าถล่มเมืองมนุษย์โดยไม่รู้ตัว
ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ
เทพธิดาผู้ไม่รู้ความถอนหายใจเสียงแผ่ว ตัดสินใจไหลตามน้ำ “สิ่งที่ท่านอาวุโสปล่อยวางไม่ได้ ย่อมกัดกร่อนจิตใจของท่าน หากไม่หลีกเลี่ยงจากความทุกข์และปล่อยวาง คาดว่าคงมิอาจค้นพบความสงบอันยั่งยืน”
อี้ปั๋วจ้องเขม็งมาที่คนพูด เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติในครั้งนี้
การที่เทพธิดาผู้นี้ผ่านทางมาที่นี่เพื่อมาเอื้อนเอ่ยสิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจมากกว่าความบังเอิญ
“สหายที่เจ้าว่า คงไม่ใช่คนจากเผ่ามังกรใช่หรือไม่” เสียงแหบแห้งของราชันแห่งตงไห่ ดั่งมังกรกำลังส่งเสียงขู่คำรามในลำคอก็มิปาน
หลิวฟางซวงยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบเอาไว้ได้ เอียงคอครุ่นคิดค่อนวันค่อยตอบกลับไป “เป็นมนุษย์วัยชราผู้หนึ่ง”
นางมิได้ปฏิเสธว่าผู้ที่มาขอความช่วยเหลือไม่ใช่คนจากเผ่ามังกร หากสิ่งที่ตอบก็เป็นความจริงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
จิ้งฉายปลอมตัวเป็นมนุษย์วัยชรามาขอความช่วยเหลือจากนาง ดังนั้นสิ่งที่หญิงสาวพูดนั้นย่อมไม่ผิด
บนริมหาดมีร่างสีครามกับร่างสีดำยืนประจันหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งสายลมวูบใหญ่พัดผ่านพวกเขาอีกระลอก พร้อมกับเงาสีดำที่ผุดขึ้นมามากมายด้านหลังบุรุษผู้สูงศักดิ์จากชนเผ่ามังกร
“จินกุย[1]” อี้ปั๋วกล่าวเสียงขรึมโดยมิหันหลังไปมองชายชราซึ่งมีกระดองเต่าขนาดใหญ่ห้อยอยู่ด้านหลัง “พบตัวพวกเขาหรือไม่”
“ข้าน้อยพบแล้วขอรับ แต่ว่า...” เต่าเฒ่าคุกเข่าลงบนพื้นพลางประสานมือเอาไว้เบื้องหน้า นัยน์ตาสีเขียวขุ่นตวัดมายังหญิงสาว หากพริบตาเดียวก็ดึงสายตากลับไปยังผู้เป็นนาย
“แต่ว่าอันใด”
คำถามดังกล่าวชวนให้บ่าวตัวสั่นเทา ทหารผู้ติดตามทางด้านหลังจำนวนยี่สิบกว่าชีวิตรีบพากันคุกเข่าลงบนพื้นทรายโดยพร้อมเพรียงกัน
“นายท่านโปรดเมตตาด้วย!”
หลิวฟางซวงมองภาพดังกล่าวก็แสร้งชมนกชมไม้อยู่พักหนึ่ง เดิมทีคิดจะอาศัยจังหวะนี้ลอบหนีไป แต่นางกลับรู้สึกขี้เกียจขยับตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเสียได้
เอาเถิด ยืนอีกสักประเดี๋ยวคงไม่เป็นอันตรายอันใดกระมัง
ในขณะที่เทพธิดาผู้ถูกทำโทษทำตัวเสมือนทองไม่รู้ร้อนอยู่นั้น ความเคร่งเครียดภายในเผ่ามังกรยังคงดำเนินต่อไป
“เราถูกขัดขวาง...” จินกุยหมอบกายลงต่ำ ตัวสั่นงกๆ ประหนึ่งว่าอากาศช่างหนาวยะเยือกจับใจ “เราถูกมนตราแปลกถิ่นพรางตาเอาไว้”
“มนตรา?” น้ำเสียงของผู้สูงส่งบีบคั้นมากขึ้นอีก คลื่นพลังไร้รูปแผ่ออกจากร่างสูงใหญ่ พัดเอากองทรายสีขาวปลิวคลุ้ง แลดูเป็นภาพที่น่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นไปในคราวเดียวกัน
“เป็น...” สีหน้าของข้ารับใช้คนสนิทขึงเครียดขึ้นมา รู้ดีว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ในภายหลัง แต่อยู่ต่อหน้านาย มีหรือที่บ่าวจะกล้าเท็จทูล “เพลิงพรางมายาขอรับ”
“ชนเผ่ากิเลน” ใบหน้าของอี้ปั๋วเคร่งขรึม “มีวิชาเพลิงพรางมายา ย่อมมิใช่ฐานะธรรมดา”
[1] กุย (*) แปลว่า เต่า