ท่านอาเผชิญหน้ากับเทพมังกร 4.2

1330 Words
ไม่นานนักเทพมังกรก็แหงนหน้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะดังกึกก้องแข่งกับอสนีบาต “ฮ่าๆๆ ดี! ดีมาก!” นัยน์ตาสีมรกตวาววับส่องประกายเจิดจ้าน่าหวาดหวั่น บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ทำให้บ่าวทั้งหลายต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้น “ชนเผ่ากิเลน ประเดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน!” ครานี้คนที่คล้ายกำลังยืนสัปหงกไปแล้วถึงกับสะดุ้งตัวโหยง เมื่อครู่นางฟังผิดไปหรือไม่ เพียงบุตรสาวกับบุตรเขยหนีออกจากบ้าน จำเป็นต้องสร้างความแค้นระหว่างเผ่าเชียวหรือ! นัยน์ตาสีอำพันกลอกไปมา ใบหน้างดงามโดดเด่นเผยความวิตกออกมาอย่างเปิดเผย มิได้! นางจะปล่อยให้หลี่ลู่กับชนเผ่ากิเลนต้องมาเดือดร้อนด้วยเรื่องนี้มิได้เป็นอันขาด! “ท่านเทพมังกร” เสียงหวานเรียกความสนใจจากอี้ปั๋วได้สำเร็จ ยามที่เจ้าตัวหันไปก็พบว่าหลิวฟางซวงยกมือประสานกันไว้เบื้องหน้า “ข้าน้อยเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ห่างไกลจากเรื่องราวในสามพิภพหกดินแดนมานาน ทว่าการเคียดแค้นห้ำหั่นรังแต่จะสร้างความไม่สงบ ผู้ที่ทรงตามหาคลาดกันไปครั้งนี้ ครั้งหน้าย่อมหาพบ ท่านอาจารย์กล่าวไว้เสมอ ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก สามภพภูมิสงบสุขมานานหลายพันปีแล้ว ขออย่าได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเลย” ดินแดนทั้งหกที่ว่าได้แก่ แดนเทพ แดนเซียน แดนมนุษย์ แดนปีศาจ แดนภูตผี และแดนมาร หลังจากที่สงครามได้ถึงคราวปะทุขึ้นเมื่อสี่พันปีก่อนและจบลง ดินแดนทั้งหลายก็กลับคืนสู่ความสงบสุข หากว่ากันว่า... มันคือความสงบสุขที่จะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ราชันมังกรแห่งคาบสมุทรบูรพานัยน์ตาลุกวาว “เทพธิดาน้อย กล้าสั่งสองข้า?” รัศมีกดดันอันเข้มข้นบาดเข้าสู่ผิวเนื้อจนแสบร้อน หลิวฟางซวงกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยตอบ “หาได้เป็นเช่นนั้น ท่านเทพมังกรทรงฉลาดปราดเปรื่อง การลงมือทำทุกอย่างย่อมใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี ความเมตตาใจกว้างของท่านเป็นที่ล่วงรู้กันทั้งสามภพภูมิ แม้แต่ท่านอาจารย์เองยังเอ่ยปากให้ศิษย์ทั้งหลายถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...” “ยกยอกันเกินไปแล้ว” อี้ปั๋วหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก แม้จะอารมณ์เย็นลงบ้างแล้ว ทว่ากลิ่นอายที่เสียดแทงผิวบางละเอียดลออของร่างระหงยังคงมิจางหาย “เทพธิดาน้อย เจ้าไม่เข้าใจหรอก คนของข้า... พวกเขาไม่เพียงแต่หนีออกจากวัง หากยังนำของล้ำค่าอย่างหนึ่งติดตัวมาด้วย” หากเป็นการหนีออกจากบ้านธรรมดาๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องออกมาตามหาด้วยตนเองเช่นนี้ หลิวฟางซวงเริ่มเข้าใจมากขึ้น ที่แท้เป็นเช่นนี้ จิ้งฉายมิได้บอกรายละเอียดอันใดแก่นาง ที่แท้เป็นการปล้นแล้วหนีต่างหาก “พอมีสิ่งอื่นชดใช้ได้หรือไม่” นางกล่าวด้วยสีหน้าวาดหวัง พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่งและอ่อนน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าน้อยมิได้ตั้งใจจะก้าวก่ายเรื่องนี้ เพียงแต่ชนเผ่ากิเลนนั้นมีพระคุณต่อข้า ความโกรธแค้นชิงชังรังแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสีย หากเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อได้ก็ควรเลี่ยง อย่าได้กลายเป็นเรื่องบาดหมางกันเลย” “ชดใช้?” เมฆครึ้มทางด้านหลังมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมกับสายฝนโหมกระหน่ำ เสียงคำรามของผืนฟ้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด สีหน้าของเทพธิดาคนงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย ย่อมเป็นพายุลูกใหญ่ที่จะนำความลำบากมาสู่ชาวมนุษย์อย่างมิอาจเลี่ยงได้แล้ว “ท่านเทพมังกร ได้โปรดยับยั้งโทสะด้วย” “หากตรัสแก่ข้าน้อยว่าสิ่งที่พวกเขานำไปคือสิ่งใด ข้าน้อยจะช่วยท่านตามกลับคืนมา...” หลิวฟางซวงก้มหน้าลง น้ำเสียงของนางจริงจังยิ่ง หากผู้อื่นบนสรวงสวรรค์สืบรู้ว่านางสร้างความเดือดร้อนให้แดนมนุษย์ คาดว่าโทษของนางบนโลกมนุษย์คงเพิ่มพูนมากกว่าเดิม ความหวังที่จะได้กลับไปนอนเฉื่อยแฉะที่หุบเขาไกลภพดูเลื่อนลอยออกไปมากขึ้นทุกที “ขอเพียงแค่ทรงอย่าให้พายุนี้ขึ้นชายฝั่ง...” “ฮึ! สมกับที่เป็นศิษย์ของเหอเหยาจวง” ร่างสูงใหญ่กระตุกยิ้มมุมปาก ทว่ามันให้อารมณ์เหมือนการเย้ยหยันมากกว่าชื่นชม “สองชั่วยาม[1]” ร่างอรชรในอาภรณ์สีครามเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับนัยน์ตาสีมรกต ความหวังสว่างวาบขึ้นในดวงตาคู่งามดุจน้ำค้างต้องแสงจันทร์ “หมายความว่า...?” มีหนทาง! มีหนทางมิให้โทษทัณฑ์เพิ่มเข้าไปอีกกระทงหนึ่งแล้ว! “ข้าให้เวลาเจ้าสองชั่วยาม” อีกฝ่ายยืนกรานคำพูดของตน “และสิ่งที่พวกเขาช่วงชิงไปก็คือตราลัญจกรรูปมังกร” ความแสบร้อนบนต้นแขนฝั่งซ้ายส่งผลให้หลิวฟางซวงเบ้ใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ครั้นจะถลกแขนเสื้อขึ้นมาดูก็มิกล้า เพราะมีสายตาหลายสิบคู่จากเผ่ามังกรจับจ้องอยู่ “มัน...” อี้ปั๋วชี้นิ้วไปยังตำแหน่งที่นางรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่ “คือนาฬิกาทรายของเจ้า” แน่นอนว่าสีหน้าของหญิงสาวซีดขาวลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เห็นทีว่าหนนี้ท่านเทพมังกรแห่งตงไห่จะเอาจริง พระราชลัญจกรรูปมังกรคือสัญลักษณ์สั่งการทัพของเผ่ามังกรแห่งตงไห่ ถือเป็นของสำคัญที่สามารถควบคุมกำลังพลสำคัญของชนเผ่าสวรรค์ได้! ความหนักหนาของเรื่องที่เกิดขึ้นมีมากกว่าที่หลิวฟางซวงคิดเอาไว้ เจ็บแล้วจำถือเป็นนักปราชญ์ เจ็บแล้วทำซ้ำถือว่าเป็นคนโง่ นางหลิวฟางซวงเคยพลาดท่ามาแล้วคราหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าคราวนี้ก็ดันพลาด เห็นเหวลึกอยู่ข้างหน้าก็ยังจะกระโจนลงไป และดูเหมือนท่านเทพมังกรจะมองมันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มิเช่นนั้นคงไม่ใช้วิธีการที่เข้มงวดและบีบคั้นกันถึงเพียงนี้ บัดนี้เวลาเริ่มนับถอยหลัง หากนางไม่รีบนำพระราชลัญจกรมาคืน เกรงว่าสิ่งที่อยู่บนต้นแขนของนางคงสร้างเรื่องเลวร้ายมากกว่าดี สายฝนเย็นยะเยือกชโลมผ่านร่างกาย ทว่าหลิวฟางซวงได้เรียกม่านพลังขึ้นมาป้องกันเอาไว้แล้วชั้นหนึ่ง นางสะบัดมือส่งผลให้ชายเสื้อโบกพลิ้ว ดูงดงามราวกับกิ่งหลิวต้องลม “เช่นนั้นข้าน้อยขอลาก่อน” เทพธิดาแห่งแดนสวรรค์กล่าวจบก็ทำความเคารพชายวัยกลางคนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็มุ่งหน้าเหาะไปยังทิศทางที่ตนจากมา อี้ปั๋วหรี่ตาลงก่อนจะหันไปพยักหน้าแก่จินกุย “ตามไป” “ขอรับ!” ผู้เฒ่าเต่าผู้เป็นข้ารับใช้คนสนิทขานเสียงรับ จากนั้นก็หันไปสั่งการทหารที่ติดตามมาด้วย “เร็วเข้า!” ทหารฝีมือดีจากชนเผ่ามังกรพยักหน้ารับก่อนจะกลายร่างเป็นกลุ่มควันสีดำ มุ่งหน้าตามหลังหลิวฟางซวงไปอย่างเร่งรีบ อี้ปั๋วยืนรอดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้ายุ่งยากเกินจะคาดเดา ในที่สุดก็ปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า ศึกครั้งใหญ่ระหว่างชนเผ่ามารเมื่อสี่พันปีก่อนนั้นสาหัสนัก บัดนี้ความสูญเสียยังมิได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูให้ดีเหมือนเก่า เขายังจดจำโลหิตที่หลั่งรินที่หน้าบัลลังก์นั้นได้ดี ยังคงจดจำ... สีหน้าของบุตรชายคนหนึ่งของตนได้อย่างแม่นยำ การศึกครานั้นได้พรากบุตรชายคนสำคัญไปจากเขา บุตรชายที่มลายกลายเป็นฝุ่นผง ไม่มีแม้กระทั่งเถ้ากระดูกให้ทำพิธี ไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณให้รวบรวมเพื่อกลับมาจุติใหม่อีกครั้ง ราวกับว่า... บุตรชายของเขาถูกลบเลือนให้หายไปเฉยๆ ประหนึ่งตัวตนของเขาไม่เคยปรากฏตัวขึ้นในสามภพภูมิ [1] 1 ชั่วยาม มีค่าเท่ากับ 2 ชั่วโมง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD