กลิ่นหอมของจินหยินฮวา[1] เป็นสิ่งแรกที่เข้ามากระทบโสตประสาท
“หอมจัง...” ผู้ที่เผลอหลับไประหว่างทางบ่นพึมพำขึ้นมา ความไม่สบายตัวแปลกๆ นั้นย่อมมี ทว่าความง่วงงุนมีมากกว่า
“ยังหอมมิได้ครึ่งหนึ่งของกายเจ้า” เสียงทุ้มห้าวดังข้างใบหู ให้ความรู้สึกน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง
หลิวฟางซวงยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ ผลักเข้าที่ความแข็งร้อนในระยะใกล้ก่อนจะลืมดวงตาสีอำพันขึ้นมา
สิ่งแรกที่นางสังเกตมิใช่เจ้าของอ้อมกอดที่ถือวิสสาสะลวนลามแตะต้อง แต่เป็นมนุษย์วัยกลางคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ต่างหาก
‘ไม่ต้องห่วง ข้าปิดกั้นไอเทพและใช้มนตราเปลี่ยนรูปโฉมให้แล้ว’
เสียงของหลี่ลู่ดังขึ้นในโสตประสาท
“อือ” หญิงสาวขานรับก่อนจะขยับตัวออกห่างอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาสีประหลาดของเทพธิดากลายเป็นนัยน์ตาสีน้ำตาลทั่วไปในสายตาของมนุษย์เหม่อมองไปยังถ้วยชาส่งควันร้อนบนโต๊ะเบื้องหน้า
“ชา?”
“ถูกต้องขอรับ เป็นชาจินหยินฮวา” มนุษย์ในชุดสีทึมผู้นั้นยิ้มกว้าง
โฉมสะคราญพยักหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ความงามที่เจิดจรัสกลับทำให้คนมองเคลิบเคลิ้ม ในที่สุดชายหนุ่มจากเผ่ากิเลนก็ส่งเสียงกระแอม
เฒ่าแก่ผู้ออกมาต้อนรับลูกค้ากระเป๋าหนักซึ่งหอบร่างหญิงสาวในสภาพหลับใหลเข้ามาในร้านกะพริบตาถี่ ทีแรกกังวลว่าเจ้าของร่างอรชรจะถูกวางยาหรือรังแก แต่แท้จริงแล้วดูจะสนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับผู้ที่พามา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวล
“นายท่าน นี่เพิ่งจะยามเซิน[2] แต่ฮูหยินของท่านกลับง่วงนอนถึงเพียงนี้” น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงแววหยอกเย้า “หรือว่าเมื่อคืนพวกท่าน...”
“ไปเอาขนมมาเถิด” หลิวฟางซวงไม่คิดจะแก้ไขฐานะที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นโลกมนุษย์ หากแวะเวียนมาอีกครา คนเหล่านี้คงเวียนว่ายตายเกิดกันไปหมดแล้ว
ทว่าความไม่ใส่ใจของนางกลับทำให้ดวงตาสีทองคำของอีกคนเปล่งประกายวาดหวังขึ้นมา “ซวงซวง หมายความว่าเจ้า...”
ความในใจของเขาที่เก็บงำมานานหลายพันปี ในที่สุดสตรีผู้ขี้เกียจก็รับรู้แล้วใช่หรือไม่!
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังตื่นเต้นอยู่นั้น หญิงสาวก็กล่าวเสียงเนิบนาบขึ้นมาอีก “ลุงของข้าหิวแล้ว”
เถ้าแก่ประจำร้านน้ำชาแทบสำลักน้ำลาย จริงอยู่ที่หนุ่มผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบปลายๆ ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเรียกว่า ‘ลุงกับหลาน’ ได้อยู่หรือ
“ซวงซวง” หลี่ลู่พ่นลมหายใจเสียงดัง ผิดกับคนง่วงที่ปรายตาไปยังชายวัยกลางคน
“เร็วเข้าสิ เขาโมโหหิวแล้ว”
“ขอรับๆ ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่” คนพูดค้อมศีรษะถี่ ก่อนจะเร่งรุดจากไป สัมผัสได้ว่าบรรยากาศในร้านร้อนพิกล จึงยกชายแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อ
และแล้วเสียงจากห้องน้ำชาซึ่งแบ่งแยกเป็นสัดส่วนอยู่ด้านบนสำหรับแขกผู้มียศศักดิ์กับถุงเงินหนักก็ดังเรียกขึ้นมา
“เถ้าแก่”
“ขอรับนายท่าน!” เจ้าตัวขานรับเสร็จก็ลอบกลืนน้ำลายเอื๊อก ทั้งที่เขาตั้งใจจะเดินผ่านหน้าบันไดไปอย่างเงียบๆ แท้ๆ ทว่าคนในห้องริมโถงชั้นสองกลับเรียกตัวเขาเอาไว้ราวกับมีตาวิเศษหยั่งรู้ได้
เจ้าของร้านน้ำชาปาดเหงื่อรอบสอง วันนี้มีแต่คนแปลกๆ มาเยือนโรงน้ำชาของตน ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เกิดเรื่องที่ทำให้การค้าของเขาต้องขาดทุนย่อยยับ
ทางด้านบนอากาศช่างเย็นยะเยือก แต่ด้านล่างนี่ร้อนแรงเหนือคำบรรยาย
หลิวฟางซวงจิบชาหอมกรุ่นไปอึกหนึ่งก็ขยับตัวหนีร่างสูงใหญ่ที่เขยิบเข้ามาใกล้
“ท่านลงมาที่นี่เพื่ออันใดกันแน่”
“ลงมาเยี่ยมเจ้าอย่างไร” เขาตอบพลางยกยิ้ม “ไม่เชื่อหรือ”
“หากท่านคือศิษย์น้องสี่ ข้าอาจจะเชื่อ”
“เจ้าสี่ยังโดนจองจำอยู่ในอารามสิ้นชื่ออยู่เลย”
“แล้วศิษย์พี่ใหญ่?”
หลี่ลู่ละเลียดชิมน้ำชาจนหมดถ้วยจึงค่อยตอบ “ศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้ติดอยู่ในถ้ำงูแปดเศียรทางทิศอุดร ป่านนี้ยังออกมาไม่ได้”
หลิวฟางซวงนิ่งไป ศิษย์พี่ใหญ่วรยุทธ์เก่งกล้ามากสามารถ เพียงแค่ถ้ำงูแปดเศียรถึงกับทำให้หาทางออกมิได้เชียวหรือ
ในระหว่างที่นางถูกโทษทัณฑ์ให้ลงมายังโลกมนุษย์ ความเคลื่อนไหวของสามพิภพคงเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“ยากเย็นถึงเพียงนั้น?”
“ก็ไม่เชิง” คนพูดหัวเราะหึๆ “งูแปดเศียรให้จ่ายค่าผ่านทาง แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมจ่าย”
ในที่สุดคนฟังก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “สมกับที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่”
พูดไปแล้วนางก็อดนึกถึงช่วงเวลาอันแสนสุขบนหุบเขาไกลภพไม่ได้ นอกจากฟังคำดุด่าสั่งสอนของผู้เป็นอาจารย์และฝึกปรือวิชาแล้ว เวลาของนางส่วนใหญ่ก็ทุ่มเทให้แก่การกินและนอนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“ว่าแต่...” มือใหญ่กร้านของคนพูดคว้าหมับเข้าที่ไหล่บางของเจ้าของร่างอรชร สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นอีกสามส่วนยามเอื้อนเอ่ยคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมานาน “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าทำผิดเรื่องอันใดจึงได้ถูกลงโทษหนักถึงเพียงนี้”
ดูเหมือนว่าคำถามของกิเลนหนุ่มจะไม่ใช่สิ่งที่สมควรพูดในเวลานี้สักเท่าไร เมื่อสีหน้าที่มักจะเอื่อยเฉื่อยเป็นนิจเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
“เรื่องนี้...” หญิงสาวพึมพำขณะที่ดวงตาสีอำพันสั่นไหวน้อยๆ คล้ายระลอกคลื่น ความผิดที่นางกระทำนั้น แค่การลงโทษเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นความเมตตาจากพระนางซิหวังหมู่ยิ่งแล้ว
หลี่ลู่คอยสังเกตนางอยู่ตลอด ไม่แน่ว่าบางทีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลิวฟางซวงอยากเก็บตัวอยู่แต่ในสุดแดนพงไพรอาจมีสิ่งอื่นที่มากกว่าแค่การนอนหลับ
ทว่าความคิดของเจ้าตัวเป็นอันต้องสะดุดลงเมื่อเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายทำลายความเงียบขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ช่างเถอะ” หลิวฟางซวงกลับมามีสีหน้าเอื่อยเฉื่อยดังเดิม “ที่นี่น่าเบื่อจะตาย ท่านพาข้ามาทำไมกัน”
“เจ้าใจเย็นก่อนเถิด วันนี้รับรองว่ามีเรื่องสนุกๆ ให้ชมอย่างแน่นอน”
“บอกมา แล้วข้าจะพิจารณาดูว่าควรอยู่ต่อหรือไม่”
“พ่อตามาจัดการกับบุตรสาวที่หนีตามลูกเขย”
หญิงสาวหรี่ตาลงจนเกือบปิด บ่งบอกมิได้ว่ากำลังสงสัยในตัวเขาหรือว่าง่วงนอนกันแน่
“ซวงซวง”
เทพธิดาซึ่งกำลังหรี่ตาสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปากเพื่อมิให้มีพิรุธ “ท่านได้ยินมาจากไหน”
“จากปากของท่านอาจารย์เอง” ชายหนุ่มป้องปากกระซิบก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ข้าแอบฟังของท่านอาจารย์กับอาจารย์ลุงคุยกัน และพ่อตาที่ว่า... ก็คือเทพมังกรแห่งตงไห่!”
น้ำเสียงของหลี่ลู่กระตุ้นปลุกเร้า ผิดกับท่าทีของเจ้าของร่างอรชรที่นิ่งสนิทคล้ายยังไม่ตื่นดี
“เรื่องของชาวบ้าน” นางพ่นลมหายใจ “ไม่เห็นจะน่าสนุกเลยสักนิด”
[1] จินหยินฮวา (***) หมายถึง ดอกสายน้ำผึ้ง
[2] ยามเซิน คือช่วงเวลาระหว่าง 15.00 น. – 16.59 น. ในปัจจุบัน