สหายของท่านอา 3.1

1728 Words
*****สหายของท่านอา อุณหภูมิทางด้านนอกอุ่นขึ้นดังคาด ให้ความรู้สึกเหมือนเซี่ยเทียน[1] มากกว่าชิวเทียนเสียด้วยซ้ำ หลิวฟางซวงสูดหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะวาดมือไปมาในอากาศ ละอองน้ำโปรยปรายออกมาจากมือของนาง ก่อนจะเหือดแห้งโดยที่ยังไม่แตะถึงพื้นด้วยซ้ำ พลังธาตุทั้งหมดในสามโลกแบ่งออกเป็นแปดแขนง... ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง แสง และเงา เทพธิดาผู้ก่อกำเนิดจากน้ำค้างเยี่ยงนางถือครองพลังธาตุน้ำและแสง จึงมิแปลกที่จะรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อพบเจอกับอากาศที่ค่อนข้างอุ่นและแห้ง นางยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งราวกับกำลังใคร่ครวญว่าควรจะทำเช่นไรต่อ นิ่งมากๆ นิ่งจนรู้สึกว่า... เริ่มง่วงนอน หญิงสาวหลับตาลงอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างทางทิศอุดร จึงใช้พลังวัตรพาร่างอรชรเหาะไปยังจุดหมาย พงไพรเขียวขจีแลดูมีชีวิตชีวาโบกพลิ้วไปตามจังหวะที่นางพุ่งตัวผ่าน ดวงตาสีประหลาดจับจ้องความเคลื่อนไหวที่ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แสงสีส้มแสดสาดประกายจ้าจนให้ความรู้สึกแสบตา เสียงร้องคำรามคล้ายพยัคฆ์แต่ก็มิใช่ส่งผลให้เจ้าตัวเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกคุ้นเคย “ซวงซวง!” เสียงทุ้มทรงพลังดังขึ้นจากด้านล่าง หญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าปลดพลังวัตรเพื่อทิ้งตัว หากก็มิอาจหักห้ามเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเอาไว้ได้อยู่ดี ‘มีคนมากวนเวลานอนเล่นจนได้สิท่า’ หลิวฟางซวงครุ่นคิดในใจ พลางแสงดังกล่าวก็เปลี่ยนรูปร่างจากสัตว์สี่เท้ากลายมาเป็นร่างมนุษย์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำเบื้องหน้าสวมอาภรณ์สีดำแดง เรือนผมสีแสดดั่งเปลวเพลิงโดดเด่นสะดุดตา ผิวสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาสีทองของเขาเปล่งประกายเรืองรองราวกับทองคำบ่งบอกถึงพื้นเพที่ไม่ธรรมดา พลังธาตุทั้งห้าที่รุนแรงเพียงนี้ ย่อมเป็นคนจากชนเผ่ากิเลน และนางก็รู้จักคนจากชนเผ่ากิเลนอยู่ไม่กี่คน เทพธิดาคนงามมองไปสักพักหนึ่งก็เบือนหน้าหนี รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายกลับกลบรัศมีความน่าเกรงขามในทีแรกให้ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง ซึ่งนางก็รู้จักกับบุรุษผู้หล่อเหลาจนขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งบนหุบเขาไกลภพผู้นี้มานานเกินกว่าจะมองเห็นเสน่ห์ในตัวของเขา “ข้าก็หลงคิดว่าเป็นสัตว์วิเศษที่ไหนออกมาอาละวาด ที่แท้ก็เป็นท่านนั่นเอง” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยไร้น้ำหนัก ส่งผลให้รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหายไปอย่างรวดเร็ว “ไยเจ้าจึงดูไม่ดีใจเลยที่ได้พบข้า เราไม่ได้พบกันมานานกว่าร้อยปีเชียวนะ” หลิวฟางซวงพยักหน้าทีหนึ่ง ทำให้คนมองมิอาจคาดเดาได้เลยว่าการที่นางพยักหน้ายอมรับ หมายถึงยอมรับเรื่องไม่ดีใจที่ได้พบเขา หรือเรื่องเห็นด้วยว่าพวกเขาไม่ได้พบกันมานานกว่าร้อยปี “ท่านอาจารย์เป็นเช่นไรบ้าง” หลี่ลู่พ่นลมหายใจเหมือนต้องการข่มกลั้นอารมณ์ร้อนของตัวเอง เป็นเพราะเขาตื่นเต้นเกินไปจึงเผลอลืมไปว่า ‘ศิษย์น้อง’ ของเขามีอุปนิสัยเป็นเช่นไร “นับตั้งแต่ทราบว่าเจ้าถูกลงโทษ ช่วงแรกก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จะไปเอาผิดท่าเดียว” หลิวฟางซวงกะพริบตาถี่ นี่นางได้ยินผิดไปหรือไม่ “ท่านอาจารย์จะไปเอาผิดที่ตำหนักประจิม?” ท่านอาจารย์ที่เคารพรัก คอยสั่งสอนไล่ตีนางมาตั้งแต่เพิ่งถือกำเนิดผู้นั้น แท้จริงแล้วก็ใส่ใจนางอย่างลึกล้ำเช่นกัน ในขณะที่ร่างอรชรกำลังซาบซึ้งใจจนแทบหลั่งน้ำตา เสียงทุ้มห้าวของผู้เป็นศิษย์พี่ก็ทำให้ความเปียกชื้นที่ขอบตาพลันเหือดแห้ง “จะมาเอาผิดที่เจ้าต่างหาก” “ศิษย์พี่รอง!” นางย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ช่างเถิด ข้าขี้เกียจต่อปากต่อคำกับท่านแล้ว” “ทำไม เจ้าจะไปนอนรึ” “รู้ก็ดีแล้ว” “เจ้า!” ใบหน้าของกิเลนหนุ่มแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ข้าอุตส่าห์มาหาเจ้าถึงที่นี่นับตั้งแต่ออกจากการบำเพ็ญเพียร แต่เจ้ากลับจะไปนอนเนี่ยนะ!” หลิวฟางซวงเลิกคิ้ว นางดูออกว่าเขากำลังน้อยใจ แต่จะน้อยใจไปใยในเมื่อเขาก็เห็นแล้วว่านางสุขสบายดี “แล้วท่านจะมิกลับไปหรอกหรือ” “ยัง” เขาตีสีหน้าเคร่งขรึม หรี่ตาลงอย่างจับผิด “เจ้าซ่อนอะไรเอาไว้หรืออย่างไร เหตุใดจึงได้ดูรีบร้อนนัก” “เลอะเลือนไปกันใหญ่แล้ว” นางปฏิเสธเสียงเนือย เรื่องการเลี้ยงดูเด็กสามคนเพื่อแลกกับการลดหย่อนโทษเป็นการตัดสินใจระหว่างนางกับผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่า จะให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ของนางก็ตาม เมื่อเห็นว่านางปฏิเสธ คนพูดก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อให้รำคาญใจ มือใหญ่กร้านสีเข้มคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางของคนตัวหอม “ไหนๆ เราก็พบกันแล้ว เจ้าก็ไปเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์เป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” เขาพูดจบก็จะลากศิษย์น้องผู้มีอายุน้อยกว่าเขาสองพันปีไปด้วยกันเสียให้ได้ หากคนที่มักไม่นิยมออกแรงกลับขืนเอาไว้เสียอย่างนั้น “ขี้เกียจไป” เสียงหวานๆ ฟังดูเบื่อหน่ายอยู่ในที หากแท้จริงแล้วนางไม่อยากไปไกลจากที่นี่มากนัก เด็กน้อยสามคนยังคงรออยู่ในถ้ำ นางรู้สึกไม่ดีที่ปล่อยพวกเขาเอาไว้ตามลำพัง แม้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพวกเขาจะอยู่ได้ก็ตามที ‘แปลกดีเหมือนกัน เมื่อก่อนมิเห็นต้องสนใจเรื่องอันใด มาวันนี้กลับมีเด็กประหลาดสามคนมาเป็นบ่วงผูกคอ’ เจ้าตัวครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าผู้ที่กำลังตรึงข้อมือนางกำลังจ้องนางตาไม่กะพริบ “เจ้าควรจะไปใช้กรรมบนโลกมนุษย์มิใช่หรือ” “ไม่ผิด” “หากเจ้าไม่ไปโลกมนุษย์เลย เกรงว่าการทำโทษในครั้งนี้จะถือเป็นโมฆะไปน่ะสิ” หลิวฟางซวงคิดตามที่เขาบอก หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมเป็นเรื่องที่แย่... แย่เอามากๆ “เข้าใจแล้ว” หญิงสาวพยักหน้า นัยน์ตาสีอำพันสบเข้ากับนัยน์ตาสีทอง “แต่เราต้องกลับมาที่นี่ภายในเย็นนี้” คราวนี้หลี่ลู่เลิกคิ้วมอง “เจ้านัดผู้ใดไว้หรืออย่างไรกัน” “ไม่มี” หลิวฟางซวงตอบ แววตาไม่ลอกแลกแม้แต่น้อย ทว่ายิ่งสีหน้าของนางนิ่งมากเท่าไร มันกลับยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของอีกฝ่ายมากขึ้นเป็นทวีคูณ “แล้วเจ้าจะรีบกลับทำไม” บุรุษจากชนเผ่ากิเลนถาม นี่เป็นครั้งแรกที่นางปฏิเสธเขา ก่อนหน้านี้คนขี้เกียจแม้แต่จะโต้เถียงมีแต่ปล่อยเลยตามเลย อย่างมากก็ให้เขาลากไปแล้วไปแอบงีบหลับเอากลางทาง “ข้าจะนอน” เจ้าของร่างอรชรตอบกลับหน้าตาย “ความจริงข้าง่วงตั้งแต่ยามนี้แล้วด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มเห็นนางเริ่มงอแงก็พยักหน้าน้อยๆ “ข้าเข้าใจแล้ว” หลิวฟางซวงเลิกคิ้ว หมายความว่าเขาจะยอมปล่อยให้นางกลับไปพักผ่อนในถ้ำใช่หรือไม่ “ไปกันเถิด” เสียงทุ้มเข้มกล่าวไปอีกอย่าง “ท่าน...” เทพธิดาถึงกับอับจนด้วยคำพูด คิดๆ ไปแล้วท่านอาจารย์คงภูมิใจในตัวลูกศิษย์ทั้งหมดน่าดู ท่านอาจารย์เป็นผู้ละทางโลก มุ่งเก็บตัวฝึกฝนพลังปราณจนมีอายุยืนยาวสามหมื่นปี ตลอดชีวิตรับศิษย์เพียงครั้งเดียว และรับทั้งหมดห้าคน ศิษย์แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงโด่งดังจนผู้เป็นอาจารย์ถึงกับหลั่งน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง ศิษย์คนโตขึ้นชื่อเรื่องความขี้งก หากต้องตากน้ำทะเลจากคาบสมุทรทั้งสี่ เกรงว่าความเค็มนั้นมิอาจเทียบได้กับหนึ่งในสี่ส่วนของบุรุษผู้นี้ ว่ากันว่าเพียงเจ้าตัวสลัดชายผ้าก็มีเกลือไหลออกมาเลยทีเดียว ศิษย์คนรองขึ้นชื่อเรื่องความดื้อด้าน หลี่ลู่เรียกได้ว่าไร้เหตุผล ตรรกะทั้งหลายในใต้หล้าล้วนไร้ความหมายเมื่อเขาฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่คือสิ่งใด ใช่คืออันใด ก็หาได้สำคัญไม่ หลี่ลู่พอใจหรือหลี่ลู่ไม่พอใจต่างหากที่สำคัญกว่า ศิษย์คนที่สามขึ้นชื่อเรื่องความขี้เกียจ ซึ่งก็คือนาง และสตรีอย่างหลิวฟางซวงไม่คิดปฏิเสธฉายาที่ผู้อื่นตั้งว่า ‘น้ำค้างหลับ’ เพราะไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลายอย่างไร ถ้าหากนางไม่ตื่นเสียอย่าง ก็ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าจะปลุกให้รู้สึกตัวได้ ศิษย์คนที่สี่ขึ้นชื่อเรื่องความโง่เขลา ว่ากันว่าคนผู้นี้มีพรสวรรค์ด้วยการทำนายชะตาที่แม่นยำราวกับหยั่งรู้ฟ้าดิน ทว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง การพูดจาอย่างทื่อๆ โดยไม่มีวาทศิลป์ทำให้คนฟังพิโรธอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ยังพลั้งปากเรียกว่า ‘อัจฉริยะสมองหมู’ ศิษย์คนที่ห้า ฝาแฝดร่วมอุทรของศิษย์คนที่สี่ ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดในแดนสวรรค์ จวบจนกระทั่งแดนปีศาจกล้าคบค้าสมาคม เพราะมักจะถูกเอาเปรียบอยู่เรื่อยไป ด้วยเหตุนี้ วันๆ จึงเอาแต่เที่ยวเตร่หาผลประโยชน์ไปเรื่อยๆ นานทีปีหนจึงจะกลับมายังหุบเขาไกลภพสักครา หลิวฟางซวงครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนจะสัมผัสได้ว่าภาพเบื้องหน้าเริ่มหมุนคว้าง ความบิดเบี้ยวดังกล่าวส่งผลให้เจ้าตัวสังหรณ์ใจบางอย่าง หากมันก็จางหายไปอย่างว่องไวเมื่อหลี่ลู่พานางพุ่งทะยานผ่านกลีบเมฆ มุ่งหน้าไปยังสักที่หนึ่ง ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวซักถามด้วยซ้ำว่าเป็นที่ใด [1] เซี่ยเทียน (**) หมายถึง ฤดูร้อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD