จิ้งฉายเบนสายตาจากสตรีในดวงใจไปยังหลี่ลู่ ความเงียบระหว่างพวกเขากลืนกินบรรยากาศไปพักใหญ่ จนกระทั่งเสียงทุ้มของชายหนุ่มจากเผ่ามังกรทำลายความเงียบงันดังกล่าว
“ไม่ผิด” ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
หลี่ลู่นิ่งไป หากความฝันของอี้ลิ่วจูเป็นความจริง เรื่องนี้ย่อมถือเป็นข่าวใหญ่ที่อาจสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่หกดินแดน!
สีหน้าเคร่งเครียดของบุรุษเจ้าของเรือนผมสีเพลิงเป็นสิ่งที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น ทว่าบรรยากาศเคร่งเครียดกลับมลายหายไปทันทีเมื่อมีใครบางคนหาวเสียงดัง
“ฮ้าวๆๆ...”
หลี่ลู่หันไปมองหญิงสาวที่หาวจนน้ำตาไหล ใบหน้างดงามที่มีเค้าความง่วงงุนทำให้ดวงตาสีทองอ่อนละมุนลงอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าโดนสาปเยี่ยงนี้ยังใจเย็นได้อยู่อีก”
“อือ...” หลิวฟางซวงพึมพำแล้วหาวอีกรอบ “จวนจะถึงเวลางีบหลับของข้าแล้ว”
ผู้เป็นศิษย์พี่ยกยิ้มอย่างอ่อนใจ รอบนี้เขาขอยอมแพ้เทพธิดาผู้นี้อีกตามเคย
“เจ้าไปรอตรงนั้นก่อน ประเดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”
“ไม่ทันแล้ว...” ร่างอรชรหรี่ตาลงเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่เข้ามาโอบล้อมพวกเขา “ทหารจากเผ่ามังกรมาถึงแล้ว”
ร่างของอี้ลิ่วจูสั่นเทาพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือด แข้งขาอ่อนแรงจนทรุดกายลงไปนั่งบนพื้น สีหน้าหงิกงอด้วยความเจ็บปวดขณะที่สองมือเอื้อมขึ้นมากุมท้องใหญ่โย้
ม่านตาดำในดวงตาสีอำพันหดลีบลง “องค์หญิงทรงปวดครรภ์”
สถานการณ์แต่เดิมที่ย่ำแย่แล้วก็เพิ่มระดับความแย่มากขึ้นไปอีก
หลิวฟางซวงโดนคำสาป
ทหารจากเผ่ามังกรกำลังตามมา
ยามนี้ไม่อาจระบุได้ว่าพระราชลัญจกรอยู่ที่จิ้งฉายหรืออี้ลิ่วจู
และในขณะเดียวกัน อี้ลิ่วจูก็กำลังจะคลอดบุตร
“อยู่ตรงนั้น!”
เสียงทุ้มแหบคล้ายดังมาจากที่ไกลแสนไกล ย่อมเป็นเสียงของจินกุย ข้ารับใช้คนสนิทของอี้ปั๋ว
หลีกหนีอย่างไรก็มิอาจปกปิดกลิ่นอายของเทพไว้ได้จนหมด พวกเขาตามมาถึงจนได้!
“จิ้งฉาย ข้าไม่อยากบีบบังคับ แต่ว่าหนนี้มีชีวิตขององค์หญิงและบุตรของท่านมาข้องเกี่ยว”
ความปวดร้าวที่ต้นแขนข้างซ้ายเล่นงานหลิวฟางซวงอีกครั้ง กลิ่นคาวที่ลอยคลุ้งอบอวลอยู่ในปากทำให้เจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่าคำสาปจากเทพมังกรเริ่มเล่นงานเข้าให้แล้ว
“แค่พระราชลัญจกร” นางเว้นจังหวะพลางตวัดสายตาไปยังสตรีท้องแก่ที่หลบอยู่ทางด้านหลังสามี “หรือทั้งเจ้า องค์หญิง บุตรในครรภ์ และพระราชลัญจกร”
ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไตร่ตรอง แค่ชั่งน้ำหนักก็รู้แล้วว่าสิ่งใดควรรักษาไว้มากกว่ากัน
“ส่งพระราชลัญจกรมา แล้วศิษย์พี่รองจะพาพวกท่านไปส่งถึงเผ่าปักษา” หลิวฟางซวงพูดได้เพียงเท่านั้นก็กระอักโลหิตออกมา
“ซวงซวง!” หลี่ลู่หันมามองนางอย่างไม่เห็นด้วย “ก่อนหน้านี้เจ้าเผชิญหน้ากับอี้ปั๋วตามลำพังก็ได้คำสาปติดตัวมา คราวนี้หากปล่อยเจ้าไว้ลำพัง หากข้ากลับมา ไม่ใช่ว่ามาเก็บศพเจ้าหรอกนะ!”
“ศพของข้าต้องงดงามมากแน่ๆ”
“นี่เจ้า!” ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำเผ่ากิเลนกลอกตามองฟ้า “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตาย ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ยังไงก็ห้ามตาย เข้าใจหรือไม่!”
ถ้อยคำที่ระรัวบอกส่งผลให้หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “เอาที่ท่านคิดแล้วสบายใจเถิด”
“คุณหนู” จิ้งฉายกล่าวแทรกสองศิษย์ร่วมอาจารย์ขึ้นมาราวกับตัดสินใจได้แล้ว “เราจะมอบพระราชลัญจกร เพราะนับถือในน้ำใจของเจ้า”
“กล่าวชมเกินไปแล้ว” หลิวฟางซวงสบตาผู้กล่าว นางทำไปก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและการเอาตัวรอดก็เท่านั้น
“หวังว่าครั้งหน้าเราจะมีวาสนาได้พบกันอีก” ชายหนุ่มประสานมือไว้เบื้องหน้าก่อนจะค้อมศีรษะให้แก่นาง “ขอทราบนามของคุณหนู”
ก่อนหน้านี้แม้จะมีการตกลงช่วยเหลือ ทว่าเทพธิดาเผ่าสวรรค์ผู้นี้ก็หาได้บอกนามแก่สองสามีภรรยาไม่
“หลิวฟางซวง” หลิวฟางซวงยิ้มบางเบา นางมีความผิดติดตัว แต่ในเมื่อท่านเทพมังกรทราบชื่อนางก็คงมิอาจหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาได้แล้ว
เจ้าตัวคิดพลางผายมือออกมาเบื้องหน้า “เร็วเข้าเถิด”
ล่วงเข้ายามเย็น ผืนนภาผันเปลี่ยนกลายเป็นสีชมพูอมส้ม เมฆขาวเคลื่อนคล้อยหยอกเย้าสายลมโชยนุ่มนวล แลดูสบายตายิ่ง
พวกเขาพลัดหลงกับเทพธิดานับตั้งแต่นางอันตรธานไปในอากาศ ทว่ากลิ่นหอมจางๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยังคงหลงเหลืออยู่ เมื่อติดตามมาสักพัก กลิ่นหอมนั้นก็พาพวกเขามาถึงทางเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และเผ่าปักษา
จินกุยก้มหน้าขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าท่านราชบุตรเขยมีมิตรสหายจากชนเผ่าปักษา
สายลมแรงพัดเอาฝุ่นผงลอยคลุ้ง ทหารเผ่ามังกรไม่สามารถใช้พลังปราณต่างเดินเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านหน้ามีเฒ่าสายตายาวอย่างจินกุยคอยสอดส่องเส้นทาง ยามเห็นเงาสีเข้มอยู่ไกลสุดสายตาก็ตะโกนขึ้นมา
“อยู่ตรงนั้น!”
ชายฉกรรจ์ต่างเงยหน้าขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน และยังไม่ทันที่ชายชราจะสั่งการ พวกเขาทั้งหลายต่างก็วิ่งนำลิ่ว ปล่อยให้ผู้สูงวัยเดินตามหลัง
เจ้าพวกสมองหมูไร้น้ำใจ!
จินกุยบ่นไปหอบไป ยามที่เริ่มเหนื่อยล้าก็หันซ้ายเหลียวขวา เห็นกิ่งไม้แห้งหักอยู่ข้างทางก็รีบใช้มันมาช่วยพยุงเดิน แม้จะมีพลังตบะแกร่งกล้ามากเพียงไร หากพอพลังถูกผนึกไปจนหมดสิ้นก็ไม่ต่างจากคนเฒ่าคนหนึ่ง
ตุ้บ!
ทหารต่างล่วงไปไกลแล้ว ส่วนบุรุษหนวดขาวสะดุดล้มหล่นตุ้บลงบนพื้น
กร็อบ!
เสียงคล้ายกระดูกแตกหักดังตามมาติดๆ
น้ำตาของคนเฒ่าหยดแหมะลงบนพื้น สีหน้าเจ็บปวดดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ความอัปยศอดสูในครานี้ เขาจินกุยจะจดจำไปจนวันตาย ทหารไร้หัวคิดเหล่านั้นจะต้องโดนลงโทษอย่างหนักที่ปล่อยให้ตัวแทนของท่านเทพมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ผู้ที่ล้มเองเจ็บเองพานโมโหใส่ผู้อื่น พยายามจะฝืนตัวลุกขึ้น ทว่าความรวดร้าวของข้อเท้าทั้งสองก็ทำให้ล้มตึงลงไปอีกรอบ
ในขณะที่จินกุยจมปลักอยู่กับอารมณ์เกรี้ยวกราดนั่นเอง เงาสีดำเงาหนึ่งก็ทาบทับลงมา ครั้นเจ้าตัวแหงนหน้ามอง ก็ถูกเจ้าของร่างเงาดังกล่าวพยุงให้ยืนขึ้น
“จะ...เจ้า”
ชายชราอ้ำอึ้งเมื่อพบว่าอีกฝ่ายคือหญิงสาวที่เขาลอบติดตามมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“เป็นข้าเอง” หลิวฟางซวงตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวของจินกุยเพราะนึกว่าท่านผู้อาวุโสจะยืนเองได้ ทว่าผลกลับตรงกันข้ามเมื่อเต่าเฒ่าล้มตึงลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอีกรอบ
“อ้ากๆๆ!”
“อือ...” เทพธิดาพึมพำก่อนจะนั่งยองลงข้างๆ “ดูท่ากระดูกข้อเท้าจะหัก”
กุยจินน้ำตาเล็ด ถลึงตามองโฉมสะคราญที่สีหน้าหาได้มีความสำนึกผิดแม้แต่เศษเสี้ยว เจ้าเทพเด็กผู้นี้ช่างไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ใช้ได้ที่ไหนกัน!
“นี่ของเจ้านายเจ้า เอาไปเสีย”
สิ้นเสียงหวานโดดเด่นดุจระฆังแก้ว วัตถุสีทองก็ลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าจินกุย
คนที่ผงกศีรษะขึ้นมาจากพื้นชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาสีเข้มหรี่มองของที่อยู่หน้าอย่างพิจารณา หินหยกดำทรงแปดเหลี่ยมซึ่งสลักเป็นรูปมังกรแปดเศียรเยี่ยงนี้ กลิ่นอายของท้องสมุทรที่เข้มข้นเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งอื่นมิได้นอกจากพระราชลัญจกรรูปมังกรตงไห่
นางเอาของสำคัญเช่นนี้มาคืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่นางไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ เทพธิดาอายุเพียงหมื่นปีจะสามารถหมางเมินต่อสิ่งที่สามารถเคลื่อนกำลังพลหลายร้อยหมื่นได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ความสับสนวาดผ่านนัยน์ตาของผู้เจนโลก กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ร่างอรชรผู้ส่งกลิ่นหอมสดชื่นก็หมุนกายหันหลังให้เสียแล้ว
จินกุยเอื้อมมือคว้าพระราชสัญจกรขณะที่เอ่ยรั้งนางไว้ “ช้าก่อน เทพธิดาน้อย”
หลิวฟางซวงผินเสี้ยวหน้ากลับมา เรือนผมสีดำที่ยาวถึงข้อเท้าสะบัดพลิ้วไหว จินกุยมองผ่านๆ แล้วถึงกับชะงักไป เหตุใดเทพธิดาผู้นี้จึงดูคลับคล้ายคลับคลาชอบกล
หญิงสาวยืนรออยู่นานพอสมควร แต่อีกฝ่ายไม่ยอมกล่าวอันใดเสียที “ท่านมีอันใดจะสั่งสอนข้าหรือไม่”
จินกุยสะบัดหน้าเล็กน้อย ตำหนิตนเองในใจที่เมื่อครู่เผลอเหม่อคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดไปเสียได้ “เจ้าจะไม่ไปพบท่านเทพมังกรหรอกหรือ”
“ข้าต้องกลับไปก่อนตะวันตกดิน” นางตอบไปตามความจริง แน่นอนว่าเรื่องคำสาปคือสิ่งที่น่าวิตก แต่นางก็ไม่อยากปล่อยเด็กๆ เหล่านั้นไว้ตามลำพังนานกว่านี้
สีหน้าของผู้เฒ่าเต่าดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด เทพธิดาตนนี้เสียสติไปแล้วใช่หรือไม่!
“แล้วเรื่องคำสาปเล่า เจ้าไม่อยากถอนรึ!”
หลิวฟางซวงพยักหน้าเฉื่อยชา แม้อวัยวะภายในจะร้อนรุ่มราวกับถูกไฟแผดเผาทั้งเป็นอยู่ก็ตามที
“ย่อมอยากถอน...” นางเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาที่มุมปาก “แต่จะถอนคำสาปหรือไม่ สุดท้ายล้วนขึ้นอยู่กับสัจจะของท่านเทพมังกรแล้ว”
ยิ่งจินกุยพิจารณาอีกฝ่ายก็ยิ่งไม่เข้าใจ เทพธิดาตนนี้มีพลังปราณเทพอยู่จำนวนหนึ่งก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่แกร่งกล้าพอที่จะรับมือกับคำสาปอันแกร่งกล้าของท่านเทพมังกรผู้ปกครองตงไห่ได้อยู่ดี
“รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว” หลิวฟางซวงกล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็เริ่มออกตัวเดิน เจ้าของร่างอรชรในอาภรณ์สีครามห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไปจากสายตาของผู้มอง