SOMETHING 4
****************
หลังจากไปส่งพี่อรุณเสร็จโฟร์ก็พาฉันเลี้ยวไปทางซอยเปลี่ยวที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยมีใครขับรถมาทางนี้ ไฟข้างทางก็ไม่มีมืดไปหมด น่ากลัวชะมัด
อ้อ! ที่ฉันต้องมากับโฟร์แบบนี้เป็นเพราะว่าโฟร์ไปขอร้องพี่อรุณให้ช่วยพูดกับฉัน ทำให้ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยจำใจไปเป็นเพื่อนเขา
ขับมาได้สักพักก็ไม่เห็นว่าจะมีบ้านคนอาศัยอยู่เลย หัวใจเต้นแรงขึ้นมามือไม้สั่นไปหมดด้วยความกลัว ฉันได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร
“ไม่ต้องนั่งเกร็งขนาดนี้ก็ได้มั้งเธอ” เห็นด้วยเหรอมืดขนาดนี้ยังจะมองเห็นอีก อย่าหันมาสนใจฉันได้มั้ย ทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนอยู่ในรถก็ได้ ฉันไม่ตอบและได้แต่นั่งนิ่งเฉยเอาไว้ “หรือกลัว?”
“ปละ...เปล่า”
“ก็เห็นนั่งเกร็งซะขนาดนี้ไม่เป็นเหน็บชาไปแล้วเหรอ” โฟร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเพลงเพื่อให้บรรยากาศมันไม่วังเวงมากเกินไป “ที่จริงก็ไม่ได้อยากพามาทางนี้หรอก แต่หอเพื่อนฉันมันไกลน่ะก็เลยต้องใช้ทางลัด”
“...”
“ส่วนมากไม่ค่อยมีใครใช้เส้นทางนี้กันเพราะมันน่ากลัว แต่พอดีว่าวันนี้ฉันไม่กลัวเพราะมีเธออยู่ด้วย” หน้าฉันร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะเหมือนว่าเขากำลังหยอดคำหวานใส่ฉันอยู่ หรือไม่ก็เนียนๆ จีบไรงี้ พอดีว่าที่ผ่านมาฉันโดนผู้ชายตามจีบเยอะน่ะก็เลยรู้ลูกเล่นหรือคำหวานๆ ออก “เคยมีใครบอกเธอมั้ยว่าเธอเป็นคนหน้าเดียว?”
“อะไร?”
“เหมือนเธอไม่มีความรู้สึกอ่ะ เคยยิ้มเคยหัวเราะบ้างป่ะเนี่ย” ใครบ้างที่ไม่เคยยิ้มไม่เคยหัวเราะ ฉันว่าโลกใบนี้ไม่มีหรอก แล้วทำไมฉันจะต้องยิ้มในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ได้ชวนให้อยากยิ้มหรืออยากหัวเราะเลยสักนิด “ทำหน้าเย็นชาตลอดเวลาเลย”
“หน้าอย่างนี้เหรอเย็นชา?”
ฉันชี้นิ้วมาที่หน้าตัวเอง หน้าของฉันแสดงออกไปในทางนั้นเหรอ ก็ไม่เห็นมีใครบอกนี่นาว่าหน้าฉันมันดูเย็นชา ส่วนมากผู้ชายที่เข้ามาจีบจะบอกว่าฉันน่ารักเหมือนเน็ตไอดอลชื่อดัง แต่โฟร์มาแปลกแฮะ
“เออ! หน้าอย่างเธอนี่ล่ะ เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างหรือเปล่าถึงไม่รู้เลยว่าหน้าเธอมันเย็นชามากแค่ไหน”
“ก็ส่องทุกวันนะ ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย” ฉันยกมืลูบหน้าตัวเองเบาๆ หรือว่าฉันไม่ได้สังเกตเหรอ
อ้าว! แล้วนี่ทำไมฉันจะต้องบอกเขาด้วยว่าตัวเองส่องกระจกทุกวัน ฉันไม่จำเป็นต้องตอบเขาเลยนี่ นี่เขากำลังทำให้ฉันเสียสมาธิอยู่นะ บ้าจริงหลอกถามเรื่องส่วนตัวของฉันเหรอ
“ถามอะไรเนี่ย ไม่ตอบแล้วนะ”
“อยู่ห้องด้วยกันถามเรื่องส่วนตัวก็คงไม่แปลกมั้งเธอ” แปลกสิ มันแปลกตรงที่ว่าไม่ควรยุ่งเรื่องของกันและกัน อีกอย่างฉันก็เขียนเอาไว้ในสัญญาแล้วว่าห้ามก้าวล้ำเส้นกัน “เราจะได้รู้จักกันไง หรือเธอไม่อยากรู้จักฉัน?”
“...” มันก็จริงอย่างที่เขาพูดนะ อยู่ห้องด้วยกันก็ต้องรู้จักกันไว้สิถึงจะถูก ฉันพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย คือเมื่อกี้ฉันก็นั่งเกร็งจริงๆ นั่นแหละ ก็มันกลัวว่าเขาจะพาฉันไปฆ่าข่มขืนนี่นา “อยากรู้อะไรล่ะ?”
“มีแฟนยัง?” ฉันกำลังจะตอบเขาไปว่ายังไม่มี แต่ก็เงียบไปเพราะคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายรู้ก็ได้ พอเห็นว่าฉันไม่ตอบเขาก็หันมามองหน้าฉันแวบหนึ่งก่อนจะอมยิ้ม ไม่ชอบให้เขาทำหน้าแบบนี้เลยมันทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก “ก็แค่อยากรู้จะได้ไม่แหกกฎไง”
“ถ้าฉันไม่บอกนายจะแหกกฎเหรอ?”
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อันตรายจังนะ ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่ไว้ใจพี่อรุณให้เลือกรูมเมทให้แบบนี้ หนึ่งปีที่ฉันต้องอยู่กับโฟร์มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะ แค่จะผ่านไปวันเดียวยังยากลำบากเลย อยากย้ายไปอยู่หอนอกจังจะได้ไม่อึดอัดแบบนี้
“นั่นไงหอเพื่อนฉัน” โฟร์ไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันหันไปมองทางข้างหน้าก็เห็นว่าเริ่มมีไฟข้างทางแล้วและมองเห็นหอพักชายอยู่ตรงหน้าอีกไม่ไกล ค่อยยังชั่วหน่อยที่เห็นแบบนี้ ฉันก็นึกว่าเขาจะลวงฉันมาฆ่าทางเปลี่ยวซะขนาดนั้น “นั่งรอที่รถเนี่ยแหละเดี๋ยวฉันมา”
โฟร์เดินเข้าไปในห้องของเพื่อนเขาที่พักอยู่ชั้นล่าง เขาไปนานเลยทีเดียว จะเดินเข้าไปเรียกก็ไม่กล้า นี่ขนาดนั่งอยู่ในรถยังกลัวเลยอ่ะ ไม่กล้าลงจากรถด้วย นี่เขาลืมไปแล้วเหรอว่ามีฉันติดสอยห้อยตามเขามาด้วย
เมื่อไม่มีอะไรทำฉันก็มองโน้นนี่นั่นไปเรื่อยจนสายตาไปปะทะเข้ากับสิ่งของบางอย่างหลังรถ เพ่งมองไปดีๆ ก็เห็นว่ามันเป็นซีดีหนังอะไรสักอย่าง เหมือนซีดีเถื่อน แต่พอกำลังจะหยิบมันขึ้นมาดูโฟร์ก็เดินออกมาจากห้องเพื่อนก่อน เขาถือถุงอะไรบางอย่างมาด้วย เพื่อนเขาก็เดินมาส่งที่รถก่อนจะหันมามองหน้าฉันอย่างมีเลศนัย
“คนนี้เหรอรูมเมทที่ว่า?” เพื่อนโฟร์มองหน้าฉันอย่างจาบจ้วงก่อนจะไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนที่โฟร์มองฉันเมื่อตอนกลางวัน ที่หายเข้าไปนานเป็นเพราะเอาเรื่องของฉันไปบอกเพื่อนเขาอย่างนั้นเหรอ “น่ารักนี่หว่าแล้วจะอยู่ได้กี่วันวะอยากรู้จัง”
“มึงก็พูดไปเดี๋ยวรันนี่ของกูก็กลัวหรอก”
รันนี่ของกู? ฉันไปเป็นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไอ้ที่เพื่อนเขาพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง ที่เขาต้องอยู่ห้องคนเดียวเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยู่กับเขาได้อย่างนั้นเหรอ หรือเขามันเป็นพวกโรคจิตไรงี้ป่ะ เอาแล้วไงเริ่มคิดมากขึ้นมาแล้วนะเนี่ย พูดซะให้ฉันผวาเลย
“ไม่กลัวหรอกมั้งวิ่งเข้าหามึงขนาดนี้” ใคร ใครวิ่งหาโฟร์พี่รหัสเขาต่างหากที่หยิบยื่นเขาให้ฉันเอง อย่าเข้าใจผิด ได้ข่าวว่าฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อนถ้าพี่อรุณไม่แนะนำให้ฉันรู้จักฉันกับเขาก็คงเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นปีเท่านั้น ไม่ได้ร่วมห้องพักกันหรอก “ไอ้โฟร์มันฟันแล้วทิ้งนะเธอ”
“...” ฉันแทบผงะเมื่อได้ยินเพื่อนของโฟร์พูดแบบนั้น ฟันแล้วทิ้งคืออะไร นี่ฉันมาอยู่กับอะไรเนี่ย ฉันกำไอโฟนตัวเองเอาไว้แน่ ถ้าเกิดว่ามีคนใดคนหนึ่งเข้ามาใกล้ฉันจะได้หยิบมันออกมาขว้างใส่หัวคนนั้นทันทีเลย
“กูไปแล้วนะ” โฟร์โบกมือลาเพื่อนก่อนจะขึ้นรถ เขาหันมามองฉันก่อนจะโยนของที่เขาถือมาไปไว้ด้านหลัง “เพื่อนฉันมันพูดเล่นน่ะ มันก็ชอบแซวเพื่อนผู้หญิงฉันแบบนี้ประจำ” ฉันว่าไม่ได้เรียกว่าแซวหรอกเรียกว่าพูดความจริงเลยดีกว่า
“...”
“นี่กลัวเหรอ?” เมื่อเห็นว่าฉันนั่งตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าเขาก็ดับรถไม่ยอมออกรถไปไหน เพื่อนของเขาก็ยังไม่ได้เข้าห้องด้วย อย่าเข้ามานะไม่อย่างนั้นฉันจะขว้างไอโฟนใส่หน้าจริงๆ ด้วย โฟร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันฉันก็เขยิบถอยห่างจากเขาจนหลังไปชิดกับประตูรถ “มีอะไรติดหน้าเธอด้วยอ่ะ”
“ดะ...เดี๋ยวฉันเอาออกเอง” ฉันลูบหน้าตัวเองแรงๆ หลายทีเพื่อให้สิ่งที่มันติดหน้าฉันหลุดออกไป โฟร์เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมแล้วออกรถไปอย่างช้าๆ
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะเช็ดให้ซะหน่อย”